ตอนที่ 589 ฟู่เจวี๋ยเยมาเยือน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 589 ฟู่เจวี๋ยเยมาเยือน

หยูเวิ่นชูตื่นตกใจขึ้นมาทันพลัน หันซ้ายแลขวา มีเพียงตนที่สวมชุดขาว

“เอ่ยถึงเจ้านั่นแหละ ดูเจ้าก็เติบใหญ่มิน้อยแล้ว เจ้าแต่งงานแล้วหรือยัง หากยังมิได้แต่งงาน วันที่ห้า เดือนห้า ท่านนายอำเภอจะจัดงานดูตัวให้ชายหญิงทั่วทั้งอำเภอ เมื่อถึงเวลาจงมาเข้าร่วมด้วย มิเช่นนั้น ก็ต้องไปเป็นแรงงานซ่อมถนน ! ”

หยูเวิ่นชูชะงักไปชั่วครู่ นี่… คือพิธีอันใดกัน ?

ราชสำนักมิมีนโยบายเยี่ยงนี้ นายอำเภอผู้นี้จะต้องเป็นผู้ที่ไร้สาระมากเป็นแน่ถึงได้ทำเรื่องเยี่ยงนี้ขึ้นมา ยังมีการจับคู่ดูตัวชายหญิงในใต้หล้าอยู่อีกหรือ ?

“พวกเจ้าก็เช่นกัน…” ผู้ช่วยคนนั้นกล่าวอีกว่า “เด็กสาวในบ้านที่อายุครบ 15 ปีและยังมิได้แต่งงาน หากยังมิได้ออกเรือนก่อนวันที่ห้าเดือนห้า จะต้องเข้าร่วมงานจับคู่ครานี้ด้วยเช่นกัน”

“เมื่อถึงเวลานั้น จะทำการจับฉลากเพื่อจับคู่ เมื่อการจับคู่เสร็จสิ้นแล้ว มิว่าฝ่ายใดก็มิสามารถเปลี่ยนแปลงได้ มิสามารถละเมิดได้ จะต้องแต่งงานภายในครึ่งเดือนนี้เท่านั้น หากมีผู้ใดฝ่าฝืน ต้องไปใช้แรงงาน 2 ปี ! ”

“อย่าได้คิดหนี เจ้าบ้านของพื้นที่นี้ หากมีคนในบ้านคิดหนี เจ้าบ้านจะต้องไปใช้แรงงานแทน 2 ปี ผู้ที่มาจากต่างถิ่น พวกเรายินดีต้อนรับผู้ที่มาตั้งรกรากถิ่นฐานในเขตหยุนไหลนี้ หากเป็นผู้ที่ไร้ทะเบียนบ้าน จะให้เจ้าบ้านท้องที่เป็นผู้จัดการ”

“……”

หยูเวิ่นชูรู้สึกมิดีไปทั้งร่าง ตนมิมีทะเบียนบ้าน !

การจัดการเรื่องทะเบียนบ้านของราชวงศ์หยูหละหลวมยิ่ง มิเหมือนแคว้นอี๋ เวลาเดินทางไกลในแคว้นอี๋จำต้องมีทะเบียนบ้านและใบอนุญาต

ข้าเพียงหาที่ห่างไกลเพื่อหลบซ่อนเท่านั้นมิใช่หรือ เหตุใดถึงเกิดเรื่องไร้สาระในพื้นที่นี้ขึ้นมาได้กัน ?

ตอนนี้จะทำเยี่ยงไรดี ?

จะไปหรือมิไปดี ?

หยูเวิ่นชูโศกเศร้าอย่างไร้ที่เปรียบ เขาหันหลังกลับไปยังโรงเตี๊ยม อยู่อย่างเชื่องช้าโดยมิอาจตัดสินใจได้

……

……

ฟู่เสี่ยวกวนและพรรคพวกใช้เวลาเดินทางถึง 13 วันเต็ม ในที่สุดก็เดินทางออกจากทางสายเก่าจินหนิว และได้มาถึงร้านค้าตระกูลเว่ยในช่วงเวลาพลบค่ำของวันที่สิบเอ็ด เดือนสี่

ที่นี่ไม่มีจุดพักของทางการ และไม่มีโรงเตี๊ยม ดังนั้นเว่ยเซียงหานจึงได้เชิญฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ไปยังบ้านของนางด้วยไมตรีจิต

ในตอนนั้นเอง บ้านของเว่ยฉางเจิ้งก็เต็มไปด้วยความครึกครื้น กลุ่มนายพรานเพิ่งกลับมาถึงยามเว่ยวันนี้พอดี ผลผลิตเก็บมาได้เป็นกอบเป็นกำ ทุกคนในครอบครัวของเหล่านายพรานแทบจะมาอยู่ที่นี่กันทั้งหมด เพื่อรอแบ่งเนื้อ

เว่ยเซียงหานพาคนกลุ่มนี้ไปยังบ้านของตนด้วยความตื่นเต้น ฟู่เจวี๋ยเยสนทนากับเจ้าซื่อบื้อมาตลอดทางอย่างถูกชะตา ดูแล้วเจ้าเซ่อผู้นี้ยังมีความรู้ที่แท้จริงอยู่หลายส่วน แรกเริ่มยังดูระแวดระวังมากจนเกินไป ในภายหลังช่วงหลายวันมานี้ เขากลับใจกว้างขึ้นมา

ฟู่เจวี๋ยเยน่าสนใจ ขุนนางระดับสูงผู้นี้ มีพรสวรรค์ที่สูงส่ง มิได้วางมาดแต่อย่างใด ดูแล้วยังมิคร่ำเคร่งเท่าบิดาของเจ้าเซ่อด้วยซ้ำ ทำให้ผู้คนเข้าใกล้ได้เป็นธรรมชาติ คนแบบนี้สิถึงจะเรียกมังกรและหงส์ในหมู่มวลมนุษย์อย่างแท้จริง ไม่แปลกใจเลยที่เขาสามารถเป็นขุนนางขั้นสูงได้

วันนี้พาฟู่เจวี๋ยเยมาพักผ่อนที่บ้านของนาง แต่ป้ายหลุมบรรพบุรุษในบ้านกลับเต็มไปด้วยเขม่าควัน !

ในตอนนี้ พี่ชายก็ได้เข้าร่วมกับกองกำลังดาบเทวะของฟู่เจวี๋ยเยแล้ว ข่าวคราวที่ฟู่เจวี๋ยเยพักอยู่ที่บ้านของนางหนึ่งคืนน่าจะไปถึงเมืองเปาในวันพรุ่งนี้ บิดาของเจ้าซื่อบื้อจะต้องได้ยินเป็นแน่ ภายหลังพอข้าเหยียบย่างเข้าไปในบ้านของเขา ก็จะไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยว่าข้าเป็นหญิงสาวบ้านป่าอีกต่อไปแล้ว !

เว่ยเซียงหานรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ในยามที่กลุ่มของนางเดินไปถึงประตูบ้านกลับต้องชะงักงัน… ภายในบ้านเต็มไปด้วยผู้คน !

ต้องมาเพื่อแบ่งสัตว์ที่ล่าได้เป็นแน่ ประจวบเหมาะ ให้ผู้เหล่านั้นได้เห็นรูปลักษณ์ของฟู่เจวี๋ยเยสักหน่อยดีกว่า ให้พวกเขาได้รับรู้ว่าคืนนี้ฟู่เจวี๋ยเยจะพักที่บ้านของข้า !

“ท่านลุงท่านป้าทั้งหลายขอทางด้วย ฟู่เจวี๋ยเยมาแล้ว ! ”

เว่ยเซียงหานแหงนคอตะโกนเสียงดังราวกับรูปปั้นล้ำค่า ทันใดนั้นเสียงครึกครื้นก็เงียบลงในชั่วพริบตา เหล่านายพรานตรงกลางที่กำลังแบ่งเนื้อกันอยู่ก็ได้ยืดตัวขึ้นพร้อมกัน

ว่าเยี่ยงไรนะ ?

ฟู่เจวี๋ยเยมาแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

เว่ยฉางเจิ้งผงะ รีบมองออกไปด้านนอกทันที ทุกคนในที่นั้นต่างก็มองออกไปเช่นกัน และแหวกทางตรงกลางให้โดยมิรู้ตัว

ฟู่เสี่ยวกวนก้าวข้ามธรณีประตูบ้านของเว่ยฉางเจิ้งด้วยรอยยิ้ม มีดในมือของเว่ยฉางเจิ้งตกลงพื้นเสียงดัง เคร้ง !

เมื่อตอนที่ไปส่งเสบียงที่ทางสายเก่าจินหนิว เขาได้เห็นฟู่เจวี๋ยเยด้วยตาของตนเอง เดิมทีคิดว่าการได้พบหน้าฟู่เจวี๋ยเยสักคราในชีวิตก็เป็นเกียรติที่ยิ่งใหญ่แล้ว พอมาบอกเล่าหลังจากกลับมา ทุกคนในร้านค้าตระกูลเว่ยต่างก็อิจฉากันทั้งสิ้น

คาดมิถึงว่าตอนนี้บุตรีจะพาฟู่เจวี๋ยเยมาถึงในบ้าน… นี่ถือว่าเป็นเกียรติอย่างถึงที่สุด !

“อันใดกัน มิรู้จักกันแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวพร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน เว่ยฉางเจิ้งจึงได้สติขึ้นมา รีบเก็บมีดที่ทำหล่น มาถือไว้ในมือ “ข้าน้อย ข้าน้อยรู้สึกเป็นเกียรติยิ่งขอรับ ! ”

‘ปึก’ กล่าวจบ เว่ยฉางเจิ้งก็คุกเข่าลงไป คนที่เหลือต่างก็เหลือบตามอง ใช่ ! เจวี๋ยเยนี่ ต้องคุกเข่าลงคำนับ !

ดังนั้น คนทั้งกลุ่มจึงลงไปคุกเข่ากันถ้วนหน้า

ฟู่เสี่ยวกวนผงะ รีบย่างเข้าไปประคองเว่ยฉางเจิ้งให้ลุกขึ้น “ลุกขึ้นเถิด ช่วยลุกขึ้นเถอะ… มิใช่ ! หรือว่าต้องให้ข้าเข้าไปประคองทีละคน ? ”

“ข้าเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินเท่านั้น มิได้มีพิธีรีตองอันใด พวกเจ้าอย่าทำเยี่ยงนี้เลย กำลังทำอันใดอยู่กัน… นี่คือหมีเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

สายตาของฟู่เสี่ยวกวนเพ่งไปยังเหยื่อที่อยู่ตรงกลาง เหยื่อนี้ถูกถลกหนังออกมาแล้ว เว่ยฉางเจิ้งรีบกล่าวขึ้นมาว่า “เรียนเจวี๋ยเย นี่คือหมี หมีดำขอรับ”

ฟู่เสี่ยวกวนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และกล่าวกับคนอื่น ๆ ว่า “ลุกขึ้น ลุกขึ้นกันเถอะ เหลืออุ้งเท้าหมีให้ข้าคู่หนึ่ง และพวกเจ้าจะทำอันใดก็ทำกันต่อเถอะ”

เมื่อเหล่านายพรานและภรรยาได้ยินดังนั้น ต่างก็ดีใจขึ้นมาทันพลัน พวกเขาค่อย ๆ ลุกขึ้น และมองไปทางฟู่เสี่ยวกวนด้วยใบหน้าปิติ ชายหนุ่มที่หล่อเหลา ขุนนางที่ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ราวกับ…ค่อนข้างจะเรียบง่าย

“ข้ากล่าวว่าอุ้งเท้าหมีนี้ให้ข้า แบบที่มิต้องจ่ายเงินนะ” ฟู่เสี่ยวกวนกล่าวขึ้นมาอีกหนึ่งประโยค ซึ่งได้เรียกเสียงหัวเราะของทุกคนขึ้นมาในทันใด “อย่าว่าแต่อุ้งเท้าหมีเลย หมีทั้งตัวก็ควรมอบให้เจวี๋ยเย นี่คือโชคของพวกเรา”

ฟู่เสี่ยวกวนรีบโบกมือเป็นพัลวัน “แบกมิไหว พวกเจ้าแบ่งกันต่อเถิด ถือเสียว่าข้ามิอยู่ ข้าเพียงขอมองดูเท่านั้น”

กลิ่นเลือด ลิ่มเลือดกระจายไปทั่วทั้งพื้น แต่อย่าให้เลอะรองเท้าของฟู่เจวี๋ยเยล่ะ

เว่ยฉางเจิ้งก็ได้กล่าวกับเว่ยเซียงหานว่า “พาเจวี๋ยเยและแขกท่านอื่นไปนั่งก่อนเถอะ ต้มชาให้สักกา ใช้เหยียนฉาที่ข้าเด็ดเอาไว้เมื่อฤดูหนาวปีที่แล้วมาต้ม”

กล่าวจบเขาก็หันมาเอ่ยกับฟู่เสี่ยวกวนอีกเล็กน้อยว่า “เจวี๋ยเย… นี่ ละเลยท่านเกินไปแล้ว”

“กล่าวผิดแล้ว เป็นข้าที่ถ่วงเวลาของพวกเจ้า เอาล่ะ พวกเราไปนั่งทางด้านนั้นกันเถอะ ค่ำนี้ข้าจะอยู่ทานเนื้อที่บ้านของเจ้า ! ”

“ดีเลย ! ค่ำนี้พวกเรามาทานเนื้อย่างกัน ! ”

เนื้อยังคงถูกแบ่งต่อไป แต่เหล่านายพรานกลับมิได้สนใจการแบ่งเนื้อสักเท่าใดนัก

ฟู่เจวี๋ยเยเชียวนะ !

พบเจอได้ยากเสียยิ่งกว่าหมีตาบอดอีก !

เป็นความโชคดีที่ได้พบกันในวันนี้ แต่มิทราบว่าชั่วชีวิตนี้จะยังมีโชคเยี่ยงนี้อีกหรือไม่ ?

เหล่าสตรีออกเรือน เด็กเล็ก และสตรีน้อยใหญ่ที่ยังมิออกเรือน แต่ละคนต่างลอบมองฟู่เสี่ยวกวน ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกมีความสุข ยิ่งมองก็ยิ่งหล่อ ราวกับมีแสงสว่างปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของเขา

เว่ยเซียงหานต้มชา บนใบหน้ามีความพึงพอใจที่ปิดมิมิดเผยให้เห็น ในยามนั้นเอง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้หันไปทางจงสือจี้ “เจ้ากล่าวว่าเดิมทีด้านนอกร้านค้าตระกูลเว่ยมีที่นาจำนวนมากใช่หรือไม่ ? ”

“เป็นเช่นนั้น เพียงแต่การเบิกทางไถดินในตอนนี้มิใช่เรื่องง่ายอีกต่อไปแล้ว เพราะมีต้นไม้ขึ้นเป็นจำนวนมากขอรับ”

“อือ…” ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าเล็กน้อย “พรุ่งนี้เช้า พาข้าไปดูสักหน่อย”

“ดูที่รกร้างเหล่านั้นเพื่ออันใดกัน ? ”

เฮ้อซานเตามองฟู่เสี่ยวกวนอย่างนึกประหลาดใจ รู้สึกว่าคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงผู้นี้ราวกับแตกต่างออกไปเล็กน้อย

“ซานเตาเอ๋ย ช่วงหลายวันมานี้ เจ้าเรียนอักขระได้เท่าใดแล้ว ? ”

เฮ้อซานเตานึกชิงชังเสียจนอยากจะตัดหูของตนเองออก เป็นหายนะที่ร่วงออกจากปากอย่างแท้จริง !