กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 986

กู้ชูหน่วนจับเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ขึ้นมาและฉีกยิ้มราวกับกระต่ายน้อยบริสุทธิ์ตัวหนึ่ง ทว่าเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์กลับตัวสั่นสะท้านอย่างไม่รู้ตัว

“นาย……นายท่านต้องการจะทำอะไร คง……คงไม่คิดอยากจะย่างข้าหรอกใช่หรือไม่”

“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์น่ารักออกขนาดนี้ ข้าจะย่างเจ้าลงได้อย่างไร”

“ก็ว่าอยู่ นายท่านจะทำกันลงได้อย่างไร แต่……นายท่าน รอยยิ้มของนายท่านช่างน่ากลัวเหลือเกิน หุบยิ้มได้หรือไม่”

“เจ้าบอกข้ามาว่าสถานการณ์ภายนอกเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ท่านอ๋องเสวี่ยทำการกบฏแล้ว และทหารที่เห็นด้วยก็ต่างพากันเข้าร่วมกองกำลังของท่านอ๋องเสวี่ย อีกทั้งยังมีขุนนางชั้นสูงอีกมากมายที่เข้าร่วม และตอนนี้ก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นครอบคลุมหลายเมืองและหมู่บ้านแล้ว และได้ทำการบุกทำสงครามไปถึงเมืองว่านจีแล้ว”

“เมืองว่านจี? เร็วเช่นนั้น?”

เมืองว่านจีเป็นเมืองสำคัญด่านปราการของรัฐปิง หากบุกจู่โจมทำลายได้ ก็จะสามารถเข้าควบคุมได้

“นั่นก็เป็นเพราะแผนการที่เฉียบแหลมของนายท่าน หากไม่มีแผนการอันชาญฉลาดของนายท่าน ท่านอ๋องเสวี่ยจะรวบรวมกองกำลังพลได้มากมายเช่นนี้ได้อย่างไร”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแกว่งไปมาหน้ากู้ชูหน่วนและยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ราวกับแผนการอันชาญฉลาดนี้เป็นมันเองที่คิดขึ้นมา

“ข้าบำเพ็ญเพียรไปนานแค่ไหน?”

“อืม……ประมาณสามเดือนกระมัง”

กู้ชูหน่วนเกือบเป็นลมหมดสติ

สามเดือน?

เหตุใดถึงนานเช่นนั้น?

นางเพียงเพิ่มระดับจากระดับห้าขั้นกลางไปถึงระดับห้าขั้นสูงสุดเท่านั้น ก็……ก็ใช้เวลาไปกว่าสามเดือน?

“นายท่าน มีคนตั้งมากมายที่ใช้เวลาทั้งชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากระดับห้าขั้นกลางไประดับห้าขั้นสูงสุดไม่ได้ ท่านใช้เวลาเพียงสามเดือนก็ถือว่าได้ทำลายสถิติแล้ว”

“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์แอบบอกอะไรนายท่าน เยี่ยจิ่งหานใช้เวลาไปห้าปีสามเดือนในการเพิ่มระดับวรยุทธ์จากระดับห้าขั้นกลางไปถึงระดับห้าขั้นสูงสุด เหวินเส่าอี๋ใช้เวลากว่าห้าปีสี่เดือน และจอมมารใช้เวลาห้าปีสองเดือนยี่สิบเจ็ดวัน แต่พวกเราก็นับเป็นฝีมือผู้มีพรสวรรค์ที่ไม่มีใครเทียบได้”

“แล้วดูท่านสิ ใช้เวลาเพียงสามเดือน สามเดือนเท่านั้น……ต่อให้นายท่านคนก่อนยังมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีทางเพิ่มระดับวรยุทธ์ไปถึงระดับห้าขั้นสูงสุดได้ในระยะเวลาเพียงสามเดือนได้”

“จอมมารแข็งแกร่งกว่าเยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋หรือ?”

“แน่นอน แม้ว่าสมองของจอมมารจะไม่ปกติเท่าไรนัก แต่ความสามารถของเขากลับไม่ด้อยเลยสักนิด หากเขาออกพละกำลังขึ้นมา เยี่ยจิ่งหานและเหวินเส่าอี๋ก็ไม่มีทางรอด และสิ่งที่สำคัญก็คือ เขามีความสามารถอย่างมากในเรื่องของค่ายกล แม้แต่นายท่านก็เทียบไม่ได้”

“นายท่านที่เจ้าพูดถึงคือใคร?”

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์หัวเราะและรีบเลื้อยขึ้นร่างกายของนางเพราะกลัวว่านางจะจับขึ้นมาอีก

“แน่นอนว่าเป็นท่านยังไงล่ะ ตอนนี้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์มีท่านเป็นเจ้านายเพียงคนเดียว เมื่อสักครู่เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์พูดผิดไปเอง ทักษะค่ายกลของนายท่านแข็งแกร่งกว่าจอมมารมาก นายท่านเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดและไม่มีใครเทียบนายท่านได้”

“หยุดพูดประจบสอพลอได้แล้ว เราไปเมืองว่านจีกันเถอะ”

“เมืองว่านจีเป็นสถานที่ที่อันตรายอย่างมาก มันง่ายต่อการป้องกันและยากที่จะโจมตีได้ ต่อให้ท่านอ๋องเสวี่ยจะมีกองกำลังมากแค่ไหนก็ยากที่จะบุกทำลายได้ในระยะเวลาอันสั้นนี้ เราไปช่วยพวกเขากันเถอะ”

“ไม่ต้องแล้ว อาม่อได้ไปที่เมืองว่านจีแล้ว มีเขาคอยช่วยเหลือ เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์เชื่อว่าไม่นานเมืองว่านจีก็จะถูกโจมตีได้”

“อาม่อ?”

อาม่อทำการศึกสงครามเป็นด้วยหรือ?

“ใช่แล้ว เขาเก่งกาจมาก อย่าคิดว่าเขาสติไม่ค่อยดี เมื่อทำการสงครามขึ้นมาก็ทำให้ศัตรูเกิดความเกรงกลัวขึ้นมาได้”

“เขาไปที่เมืองว่านจีได้อย่างไร?”

“เพราะเยี่ยจิ่งหานบอกเขาว่า เพียงแค่สามารถโค่นล้มจักรพรรดินีชั่วร้ายได้ก็สามารถเจอท่านได้ จากนั้นอาม่อก็อาสาเป็นคนไปช่วยท่านอ๋องเสวี่ยด้วยตัวเอง”

“ตอนนี้เยี่ยจิ่งหานเป็นอย่างไรบ้าง?”

“ไม่รู้ ดูเหมือนว่าจะหายสาบสูญไปยังไงยังงั้น หลายวันนี้มานี้เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ยุ่งอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ได้สนใจเขา แต่……วันนี้เป็นวันแต่งงานของเหวินเส่าอี๋และจักรพรรดินีชั่วร้ายนั่น”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ? เหวินเส่าอี๋แต่งงานกับจักรพรรดินีชั่วร้าย?” กู้ชูหน่วนคิดว่าตัวเองได้ยินผิดไป

“ใช่แล้ว เดิมทีพวกเขาก็ควรจะแต่งงานกันนานแล้ว แต่เพราะร่างกายของเหวินเส่าอี๋ไม่แข็งแรงเท่าไรนัก การแต่งงานจึงจำเป็นต้องเลื่อนออกไปเรื่อยๆ และวันนี้……เอ๊ะ……นายท่าน ท่านจะไปไหนหรือ รอเสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ด้วยสิ หมูย่างของข้าล่ะ……ท่านยังไม่ทำหมูย่างให้ข้ากินเลย”

เสียงการต่อสู้นอกเมืองว่านจีดังขึ้นอย่างกึกก้อง เสียงการฆ่าฟันและอาวุธต่างๆ ดังอย่างไม่ขาดสาย และกลิ่นคาวเลือดก็คละคลุ้งล่องลอยไปบนอากาศ และทุกบริเวณก็เต็มไปด้วยเศษอวัยวะที่กระจัดกระจาย

ภายในเมืองหลวงกลับมีความรื่นเริงครื้นเครงไปด้วยเสียงแห่งความสนุกสนาน และทุกหนทุกแห่งก็เต็มไปด้วยกระดาษสีแดงที่มีความหมายถึงการแต่งงาน ซึ่งแตกต่างกันอย่างชัดเจนกับเมืองว่านจีอย่างมาก

ประชาชนต่างแอบวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา

“การศึกสงครามเคร่งเครียดขนาดนี้ และท่านอ๋องเสวี่ยเองก็บุกมาถึงเมืองว่านจีแล้ว ฝ่าบาทยังมีกะจิตกะใจจัดการแต่งงานอีก เงินในการจัดการแต่งงานก็ไม่ใช้จากท้องพระคลัง แต่กลับมาเอาจากเงินภาษีของเรา เงินที่ข้าทำงานได้มาทั้งปีก็ไม่พอจ่ายค่าภาษี แล้วคนในครอบครัวทั้งหมดจะเอาอะไรกิน”

“ใช่ เจ้าดูแถวนี่สิ เพียงแค่สินสอดก็ยาวไปไม่รู้กี่เส้นสายถนน จักรพรรดิพระองค์ก่อนก็ไม่ได้เรียงยาวมากขนาดนี้”

“เจ้าว่า ฝ่าบาทคงไม่ได้มอบสินสอดทั้งหมดให้กับพระสวามีไปแล้วหรอกหรือ ฉะนั้นก็เลยมาขูดรีดค่าภาษีจากพวกเราเพื่อนำไปจัดการแต่งงาน”

“คงไม่ใช่หรอก ข้าได้ยินมาว่าฝ่าบาทสั่งให้ข้าราชการขุนนางน้อยใหญ่ทุกคนบริจาคสมบัติล้ำค่าคนละสามสิ่ง เพื่อเป็นสินสอดให้กับพระสวามี และการเก็บภาษีของฝ่าบาทก็คงใช้ในการทำศึกสงครามมากกว่า”

“แม้ว่าจะให้ขุนนางข้าราชการบริจาค แต่ขุนนางข้าราชเหล่านั้นก็มาขูดรีดเอาจากประชาชนอย่างเราๆ ทำไปทำมาคนที่ซวยก็คือพวกเราเอง”

“เก็บภาษีหนักเช่นนั้น แต่ฝ่าบาทก็ยังทรงโกรธและยังสั่งฆ่าล้างอย่างไร้เหตุผล หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ต่อให้เราไม่ถูกฝ่าบาทฆ่าตายก็คงต้องอดตายอย่างแน่นอน ข้ากลับคาดหวังว่าท่านอ๋องเสวี่ยจะบุกเข้ามาโจมตีถึงเมืองหลวงได้ และโค่นล้มจักรพรรดินีลง เช่นนี้ไม่แน่เราอาจยังพอมีทางยอดได้บ้าง”

“ชู่ว เจ้าไม่อยากมีชีวิตต่อไปหรือไง? พูดเช่นนี้ออกมา ระวังจะถูกตัดศีรษะเสียบประจานล่ะ”

“พระเจ้า ข้าพูดอะไรออกไป ไม่มีใครได้ยินที่ข้าพูดหรือไง”

ประชาชนอีกคนกล่าวอย่างไม่แยแส “ฟังอะไร ไม่เพียงแค่สิ่งที่เจ้าพูด ทุกคนก็คิดเช่นนั้นไม่ใช่หรือ? น่าเสียดายที่แม่ทัพเสิ่นอยู่ ทำให้ท่านอ๋องเสวี่ยโจมตึเข้ามาในเมืองหลวงได้ยาก”

“ท่านแม่ทัพเสิ่นคือเทพแห่งการปกป้องคุ้มครองอาณาจักรรัฐปิงของเรา เพียงแค่มีเขาอยู่ ใครก็ไม่อาจบุกเข้ามาทำลายรัฐปิงของเราได้ เมื่อก่อนข้าเปรียบเขาเสมือนเป็นเทวดาคนหนึ่ง แต่ตอนนี้……เฮ้อ……”

“ได้ยินมาว่าพระสวามีของฝ่าบาทเป็นผู้นำตระกูลเหวิน และมีหน้าตาหล่อเหลา อีกทั้งความสามารถทางการต่อสู้และวิชาการก็ไม่ธรรมดา”

“ผู้นำตระกูลเหวินเป็นหนึ่งในผู้นำตระกูลใหญ่ทั้งสี่? ที่ว่ากันว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์และมีวรยุทธ์ระดับหกขั้นสูงสุดที่อายุยังน้อยน่ะหรือ?”

“ใช่ ใครก็คิดไม่ถึงว่าเขาจะแต่งงานกับฝ่าบาท ทำให้ผู้หญิงโสดทั้งเมืองหลวงต่างพากันอกหักไปตามๆ กันและร้องไห้ออกมาอย่างเสียใจ”

“ถึงว่าทำให้ฝ่าบาทถึงใช้เงินจำนวนมากเพื่อต้อนรับและแต่งงานกับเขา ถ้าเป็นข้า ข้าก็คิดทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เขามาเหมือนกัน”

“ยิ่งพูดก็ยิ่งเลยเถิดไปใหญ่ หากถูกใครได้ยินเข้า หัวของเราคงถูกตัดออกจากบ่าแน่”

“หยุดพูดได้แล้วๆ รักษาชีวิตให้รอดดีกว่า อย่างไรเสียฝ่าบาทแต่งงานกับใครก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเรา”

กู้ชูหน่วนยืนอยู่ในตรอกๆ หนึ่งและฟังการสนทนาของพวกเขาทั้งหมด

แววตาที่มืดมนของกู้ชูหน่วนจับจ้องไปยังขบวนส่งเจ้าบ่าว

ไม่ต้องพูดถึงว่าจักรพรรดินีได้มอบสินสอดอะไรไปบ้าง แต่สินสอดของเหวินเส่าอี๋มีจำนวนมากจริงๆ และไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเท่าไรกว่าขบวนจะจบลง

เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ชูคอและคิดจะเลื้อยออกมาข้างนอก และปากของมันก็พยายามเปล่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยหอบ

“นายท่าน นายท่าน เมืองว่านจี……เมืองว่านจีถูกโจมตีสำเร็จแล้ว ท่านอ๋องเสวี่ยและอาม่อกำลังมุ่งหน้ามายังเมืองหลวง”

กู้ชูหน่วนแทบสำลัก

เมืองว่านจีทำจากดินเหนียวหรือไงกัน?

เหตุใดถึงโจมตีได้ง่ายดายเช่นนั้น?

นางไม่ได้ฟังผิดไปใช่ไหม

“ท่านแม่ทัพเสิ่นอยู่ที่เมืองว่านจีไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงถูกโจมตีได้ง่ายดายเช่นนั้น?”

“ไม่ง่ายเช่นนั้นหรอก พวกเขาได้แอบซุ่มอยู่ที่เมืองว่านจีมากว่าหนึ่งเดือนแล้ว นายท่านรู้หรือไม่ว่าใครไปที่เมืองว่านจี?”

“ใคร? หรือว่าเซี่ยวอวี่เซวียนแอบหนีออกมาได้”

“คนในใจของนายท่าน”

“เจ้ารู้หรือว่าคนในใจของข้าเป็นใคร?”

“รู้สิ ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็เป็นเขา”