ตอนที่ 142-1 สุดแล้วแต่ท่านจะเลือก

 

 

 

ภายในห้องโถงมีโต๊ะขนาดใหญ่สองตัววางอยู่ เหล่าเจ้านายของจวนจงอู่โหวกำลังกินอาหารค่ำด้วยกัน โดยแบ่งแยกชายหญิง อ้อ จริงสิ คืนนี้เป็นงานเลี้ยงเล็กๆ ภายในครอบครัวที่จะจัดขึ้นทุกเดือน มีสองคนที่ไม่ได้มาร่วมงานก็คือเสิ่นเวยและเสิ่นเจวี๋ยสองพี่น้อง 

 

“ทุกคนอยู่ที่นี่กันหมดเลยหรือ ผู้อาวุโสและพี่น้องทุกท่าน มื้อค่ำรสชาติดีหรือไม่” มุมปากของเสิ่นเวยเกลื่อนไปด้วยรอยยิ้ม กวาดตามองทุกคนอย่างไม่รีบร้อน 

 

เหล่าผู้อาวุโสต่างรู้สึกกระอักกระอ่วน “เวยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าไม่สบายไม่ใช่หรือ ตอนนี้ทุเลาลงบ้างหรือไม่” เหล่าไท่จวินชิงเอ่ยปากขึ้นก่อนด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก ความหมายนั้นชัดเจนมาก ไม่ใช่พวกเราไม่ได้เรียกเจ้า แต่ว่าร่างกายของเจ้าไม่แข็งแรง พวกเราทำไปเพราะหวังดีกับเจ้า 

 

เสิ่นเวยมองเหล่าไท่จวินเหมือนจะยิ้มให้ ก่อนจะส่งเสียงตอบรับไปหนึ่งคำเท่านั้น 

 

ฮูหยินสวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เมื่อครู่ก่อนที่จะเริ่มกิน นางยังถามอยู่เลยว่าเหตุใดเวยเจี่ยเอ๋อร์ไม่มา เหล่าไท่จวินบอกกับนางว่าร่างกายของเวยเจี่ยเอ๋อร์ไม่แข็งแรงจึงไม่ร่วมด้วย เท่าที่ดูในตอนนี้ เหล่าไท่จวินไม่อยากเรียกเวยเจี่ยเอ๋อร์มากินอาหารด้วยมากกว่า 

 

ฮูหยินสวี่ไม่พอใจต่อการกระทำของเหล่าไท่จวิน….ท่านลำเอียงจนถึงที่สุดแล้ว เหตุใดยังไม่พอใจอีก ทำให้เวยเจี่ยเอ๋อร์ต้องลำบากใจอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ หรือว่าจะให้นางทำให้ท่านลำบากใจด้วยเล่า 

 

“เวยเจี่ยเอ๋อร์ มานี่ มานั่งข้างป้าสะใภ้ใหญ่ ข้าจำได้ว่าเจ้าชอบต้มจืดมากที่สุด ลั่วเสีย ตักข้าวให้คุณหนูสี่” ฮูหยินสวี่ทักทายเสิ่นเวยด้วยรอยยิ้ม สาวใช้สองคนด้านหลัง คนหนึ่งรีบตักต้มจืดเพิ่ม ส่วนอีกคนก็ยกเก้าอี้เข้ามาเพิ่มข้างฮูหยินสวี่ 

 

แต่เสิ่นเวยไม่ยอมขยับ สีหน้ายังคงประดับด้วยรอยยิ้มบาง  

 

เสิ่นหงเซวียนนึกโมโหขึ้นมา ผู้อาวุโสยอมอ่อนข้อให้นางแล้ว นางยังจะเอาอะไรอีก เขากระแทกตะเกียบลงบนโต๊ะ ระงับโทสะก่อนจะเอ่ยออกไปว่า “เจ้าไม่สบายก็ควรจะพักผ่อนอยู่ในเรือน เจ้าถ่อมาทำตัวอันธพาลอะไรที่นี่” เมื่อมองไปเห็นหญิงรับใช้กลุ่มใหญ่ติดตามมาด้านหลัง สีหน้าของเขาก็ยิ่งดุดันขึ้น พาคนกลุ่มใหญ่ขนาดนี้มาแสดงอำนาจต่อหน้าผู้อาวุโส นางคิดจะทำอะไร ช่างไม่รู้กฎระเบียบ 

 

“หืม ท่านพ่อได้ยินใครบอกหรือเจ้าคะว่าข้าไม่สบาย ฮูหยินหลิวหรือ คำพูดของนาง ท่านก็กล้าเชื่อด้วยหรือ” มุมปากของเสิ่นเวยเหยียดยิ้มประชดประชัน คนผู้นี้ช่างความจำสั้นจริงๆ เพิ่งจะผ่านไปสามสี่วันก็ยอมอภัยให้ฮูหยินหลิวแล้ว เฮ้อ พวกผู้ชายเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใช้ร่างกายท่อนล่างไตร่ตรอง เจ้าจะหวังอะไรในตัวของเขาได้ 

 

เสิ่นเวยไม่สนใจสีหน้าถมึงทึงของบิดา แต่หันไปทางฮูหยินสวี่ พูดอย่างมีมารยาทว่า “ขอบคุณความเมตตาของท่านป้าเจ้าค่ะ อาหารมื้อนี้หลานไม่กินแล้วเจ้าค่ะ หลานมีเรื่องบางอย่าง สะสางเสร็จแล้วจะกลับเลยเจ้าค่ะ” 

 

เสิ่นเวยกล่าวจบก็ชี้ไปที่ฮูหยินหลิว พลางเอ่ยว่า “ฮูหยิน ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกท่านแล้ว หากท่านล่วงเกินข้าอีก ข้าจะไม่เห็นแก่หน้าท่านพ่อกับท่านย่า และให้โอกาสท่านอีก คำพูดนี้ท่านจำได้หรือไม่” 

 

ฮูหยินหลิวยังไม่ทันได้เอ่ยคำใด เสิ่นเสวี่ยก็ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว “พี่สี่ ท่านแม่ของข้ามีศักดิ์เป็นมารดาของท่าน ท่านพูดจากับผู้อาวุโสเช่นนี้หรือ ท่านยังมีกฎระเบียบอยู่บ้างหรือไม่” 

 

เสิ่นเวยมองเสิ่นเสวี่ยอย่างดูแคลน รู้สึกสนใจขึ้นมา “เจ้าพูดเรื่องกฎระเบียบกับข้า เจ้าที่ลอบกับนัดพบกับบุรุษ แย่งชิงคู่หมายของพี่สาว หญิงเช่นเจ้ากล้าพูดเรื่องกฎระเบียบกับข้าหรือ เจ้ารู้หรือว่ากฎระเบียบเขียนอย่างไร ดูแล้วการอบรมของแม่นมฉินคงไม่ได้ผลกระมัง” เสิ่นเวยชายตามองแม่นมฉิน พลางพูดอย่างเอื่อยเฉื่อย 

 

สีหน้าของเสิ่นเสวี่ยเผือดสีในทันที นางกัดริมฝีปากของอย่างคับแค้นใจ น้ำตาเอ่อคลอดในดวงตา “เจ้า เจ้า” 

 

เสิ่นอิงที่อยู่ข้างๆ กันเหยียดยิ้มมุมปาก แสดงออกอย่างชัดเจนว่าอยากดูเรื่องสนุก ในขณะที่เสิ่นเยว่ก้มหน้าลงแทบจะมุดลงไปในด้วย ในขณะที่ฮูหยินจ้าวแห่งเรือนสองไม่เอ่ยคำใด แต่สีหน้าสุขใจที่ได้เห็นความอับโชคของคนอื่น มีเพียงเสิ่นซวงที่ขมวดคิ้ว คิดจะลุกขึ้นมาพูดบางอย่าง แต่ถูกฮูหยินสวี่รั้งตัวไว้ พลางส่ายหน้าเล็กน้อยเพื่อปรามบุตรสาว 

 

“พอที เวยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าทำเกินไปแล้ว” เหล่าไท่จวินตะคอกออกมา “เจ้าพูดกับผู้อาวุโสอย่างนี้หรือ” จะโทษนางที่ไม่เรียกเวยเจี่ยเอ๋อร์มาร่วมงานไม่ได้ มีเด็กคนนี้คอยพูดจาทิ่มแทง นางจะกินข้าวลงได้อย่างไร 

 

“ผู้อาวุโส มีผู้อาวุโสที่ลงมือทำร้ายลูกเลี้ยงหลายต่อหลายครั้งเช่นนี้หรือ” เสิ่นเวยจับจ้องไปที่ฮูหยินหลิว แววตาเย็นชาขึ้นมา “ฮูหยิน สิ่งที่ข้าพูดหมายความว่าอย่างไร ท่านคงรู้ดีแก่ใจใช่หรือไม่” 

 

ตั้งแต่เสิ่นเวยเข้ามา ฮูหยินหลิวก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาแล้ว นางกินปูนร้อนท้อง นางไม่รู้ว่าเสิ่นเวยรู้เรื่องที่ตนเองทำมากน้อยแค่ไหน แต่เวลานี้เสิ่นเวยเอ่ยนามจองนาง นางจะหนีไปที่ใดได้เล่า “เวยเจี่ยเอ๋อร์พูดเข้า  ข้าเก็บตัวอยู่ในเรือนหลังทุกวัน จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าหมายความว่าอย่างไร เวยเจี่ยเอ๋อร์อย่าได้ฟังคำยุยงของคนอื่นและมาปรักปรำข้าเลย” นางร้องว่าถูกปรักปรำก่อน  

 

 “วางใจเถอะ ข้าคงปรักปรำท่านไม่ได้ เถาฮวา พาตัวคนเข้ามาให้ฮูหยินดู” เสิ่นเวยยกมือกอดอกท่าทีสงบนิ่ง “ข้านับถือวิธีการของฮูหยินจริงๆ ตั้งแต่เรื่องการทาบทามของจวนเสนาบดีฉิน จนกระทั่งถึงเรื่องงานเลี้ยงของพวกเขา เหตุใดที่ไหนๆ ก็มีเงาของฮูหยินอยู่ทั้งนั้น ฮูหยินช่างมือยืดยาวเสียจริง ยาวไปถึงเรือนหลังของจวนเสนาบดีฉินได้ ว่าอย่างไร คิดจะบงการงานแต่งงานของข้าหรือ ท่านคิดว่าตัวเองหน้าใหญ่ปานนั้นเชียวหรือ” 

 

คำพูดนี้ของเสิ่นเวยราวกับโยนก้อนหินก้อนใหญ่ลงไปในน้ำ ทุกคนต่างตกตะลึง 

 

อะไร เรื่องที่จวนเสนาบดีฉินบีบบังคับสู่ขอเวยเจี่ยเอ๋อร์เกี่ยวข้องกับฮูหยินหลิวหรือ เป็นไปไม่ได้กระมัง ฮูหยินหลิวเป็นแค่หญิงในจวนของขุนนางเท่านั้น จะบงการความคิดของเสนาบดีฉินได้อย่างไร แต่ว่าเสิ่นเวยก็พูดอย่างมั่นใจ ดูเหมือนแม้แต่พยานนางก็มี ดูไม่เหมือนปั้นน้ำเป็นตัว 

 

           เสิ่นเวยสังเกตท่าทีของทุกคน นางพอจะคาดเดาความคิดของพวกเขาได้ นางเหยียดยิ้มมุมปาก ส่งสัญญาณให้เถาฮวา “ให้นางบอกกับเหล่านายท่านไปว่าฮูหยินทำอะไรไว้” 

 

เถาฮวาพาตัวหญิงรับใช้วัยกลางคนเข้ามา ปากของนางถูกยัดเศษผ้าเอาไว้ เด็กหญิงออกแรงผลักนาง “พูดความจริง ไม่อย่างนั้นจะตีให้ตาย” 

 

           หญิงรับใช้ผู้นั้นถลาไปกองที่พื้นทันที เนื้อตัวสั่นเทาขึ้นมา “ฮูหยินช่วยด้วย ช่วยด้วยเจ้าค่ะ” คุณหนูสี่น่ากลัวมาก แต่สาวใช้ข้างกายคุณหนูน่ากลัวกว่า แค่ครั้งเดียวก็เตะอ่างน้ำขนาดใหญ่เป็นรูได้ 

 

 ฮูหยินหลิวได้ยินดังนั้น ดวงตาพลันเบิกกว้าง นี่ หญิงรับใช้ที่ถูกต่อยจนหน้าพังยับเยินผู้นี้คือคนที่นางสั่งให้นำจดหมายไปส่งไม่ใช่หรือ  เหตุใดจึงตกอยู่ในกำมือเสิ่นเวยได้เล่า นางลนลานขึ้นมา 

 

“นี่เป็นหญิงรับใช้จากที่ใด เหตุใดจึงมาพูดจาเหลวไหลต่อหน้าเจ้านายเช่นนี้ ยังไม่รีบไล่ออกไปอีก” ฮูหยินหลิวตำหนิเสียงกร้าว ดูแล้วคงเตรียมจะปากแข็งไม่ยอมรับจนถึงที่สุด 

 

เสิ่นเวยเหยียดยิ้มเย็น ปรายตามองหญิงรับใช้ที่ล้มอยู่บนพื้น เอ่ยว่า “คงจะเห็นแล้ว นี่ก็คือเจ้านายของเจ้า เจ้าจงรักภักดียอมแลกชีวิตเพื่อนาง แต่นางกลับเห็นเจ้าเป็นภาระที่คิดจะผลักออกไป” 

 

หญิงรับใช้ผู้นั้นทั้งตื่นตระหนกทั้งหวาดกลัว เงยหน้าจ้องเขม็งไปที่ฮูหยินหลิว ตะโกนเรียกเหมือนไม่กล้าเชื่อ “ฮูหยินเจ้าค่ะ ท่านให้บ่าวส่งจดหมายไปให้หลิวอี๋เหนียงของจวนเสนาบดีฉินไม่ใช่หรือเจ้าคะ ยังบอกอีกว่าขอเพียงหลิวอี๋เหนียงช่วยท่านทำเรื่องนี้สำเร็จ ท่านจะช่วยหาคู่ครองที่ดีให้แก่บุตรสาวของนาง ฮูหยิน บ่าวทำเพื่อท่านนะเจ้าคะ ท่านจะไม่สนใจบ่าวไม่ได้นะเจ้าคะ” 

 

หลิวอี๋เหนียงของจวนเสนาบดีฉินหรือ แซ่หลิว สายตาของทุกคนมองไปยังฮูหยินหลิวก็ยิ่งรู้สึกแปลกใจขึ้นมา 

 

“หลิวอี๋เหนียงอะไร หลี่อี๋เหนียงอะไร ข้าไม่รู้ว่านางกำลังพูดเรื่องอะไร เวยเจี่ยเอ๋อร์พาตัวหญิงรับใช้ผู้นี้มาพูดจาเหลวไหล คิดจะทำสิ่งใดกันแน่ เป็นแค่บ่าวแต่คิดจะแว้งกัดเจ้านาย รีบพูดมา ใครเป็นคนบงการเจ้า” ความลนลานฉายชัดในแววตาของฮูหยินหลิว นางกัดฟัน รู้ว่าเรื่องในวันนี้จะยอมรับไม่ได้เด็ดขาด ก็แค่บ่าวคนหนึ่งเท่านั้น คำพูดของบ่าวเชื่อได้หรือ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮูหยินหลิวก็หนักแน่นขึ้นมา 

 

แปะ แปะ แปะ เสิ่นเวยตบมือให้กับฮูหยินหลิวสำหรับวิธีการแก้ต่างทั้งยังสามารถย้อนกลับมาเล่นงานนางได้ด้วย “เป็นตายอย่างไรฮูหยินก็คงไม่ยอมรับสินะ” ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ ถ้าหากยอมรับแต่โดยดี บางทีเสิ่นเวยอาจจะให้นางรับโทษสถานเบาสักหน่อย แต่เวลานี้ฮูหยินหลิวกลับพูดแก้ต่างเสียมากมาย น้ำลายที่เสียไปใครจะรับผิดชอบ 

 

ฮูหยินหลิวแสร้งทำหน้าเศร้า “ยอมรับอะไร ข้าไม่ได้ทำอะไรผิดเสียหน่อย เวยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าจะไม่ยอมปล่อยข้าเลยใช่หรือไม่ แต่ไหนแต่ไรมาข้าไม่เคยละเลยเจ้า ดูแลเจ้าเหมือนกับที่ดูแลเสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ แต่วันนี้เจ้า เจ้ากลับ…” นางปิดหน้าร้องไห้ 

 

 ในใจของเสิ่นเวยนึกขบขัน สีหน้าเผยความประหลาดใจอยู่บ้าง ไม่ได้ละเลยนาง ฮูหยินหลิวยังมีหน้ามาพูด หน้าหนาเท่ากำแพงเมืองจริงๆ 

 

“ฮูหยินอย่าแสร้งทำหน้าซื่อดีกว่า หญิงสาวสิบห้าสิบหกยังพอทำให้คนอื่นสงสารได้ แต่ท่านอายุปูนนี้แล้ว น่าเกลียด ท่านคงไม่ได้คิดว่าแค่ร้องไห้ออกมา พูดจาเล่นลิ้นไม่กี่คำ ก็สามารถเอาตัวรอดจากเรื่องนี้ได้ หากข้าไม่มีพยานหลักฐานมากพอคงไม่มาหาท่านหรอก” เสียงเยือกเย็นของเสิ่นเวยดังขึ้นในห้องโถง “มาๆ หาได้ยากที่ผู้อาวุโสทุกท่านจะอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน ข้าก็ถือโอกาสนี้ขอให้ผู้อาวุโสทุกท่านให้ความเป็นธรรมแก่ข้าด้วย พี่น้องทุกคนก็ไม่ต้องออกไป อยู่ฟังกันก่อน ฟังวิธีการที่ร้ายกาจของคนในจวน ไม่แน่ว่าอาจจะได้ใช้ในการแต่งงานของพวกท่าน แน่นอนว่าท่านไม่ไปทำร้ายใคร แต่ก็สามารถป้องกันไม่ให้คนอื่นทำร้ายท่านได้” 

 

เดิมทีเสิ่นซวง เสิ่นเชียน พี่น้องคนอื่นคิดจะปลีกตัวออกไปก็ไปไม่ได้แล้ว จำต้องก้มหน้าลงอย่างกระอักกระอ่วน ทำราวกับว่าตนเองไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย