ตอนที่ 142-2 สุดแล้วแต่ท่านจะเลือก
มุมปากของเสิ่นเวยเหยียดขึ้น “เรื่องอะไรน่ะหรือ ง่ายมาก ฮูหยินหลิวรู้สึกขัดใจในตัวข้าจึงฉวยโอกาสตอนที่ข้าต้องหาคู่ครองเกิดความคิดที่ร้ายกาจนี้ขึ้นมา นางรู้อยู่แก่ใจว่าคุณชายเล็กของจวนเสนาบดีฉินเป็นคนไม่เอาไหน ทั้งยังมีความแค้นกับเจวี๋ยเกอเอ๋อร์ เหล่าไท่จวินตระกูลฉินกับสะใภ้ก็ถือหางหลานชายอย่างกับอะไรดีจึงมีความคิดจะส่งข้าเข้าไปในตระกูลฉิน อย่างแรกคือเพื่อกำจัดข้าที่นางเห็นเป็นหอกข้างแคร่ อย่างที่สองคือการได้เห็นข้ามีชีวิตที่ยากลำบากในจวนเสนาบดีฉิน นางจึงจะสะใจ”
เสียงเอื่อยเฉื่อยของเสิ่นเวยดังขึ้น พูดพลางก็ปรายตามองอีกฝ่าย “ฮูหยินทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร ผู้อาวุโสทุกท่านคงไม่ทราบว่าหลิวอี๋เหนียงของจวนเสนาบดีฉินเป็นญาติผู้น้องของฮูหยิน นางจึงสั่งให้หญิงรับใช้ผู้นั้นไปส่งจดหมายให้กับหลิวอี๋เหนียง เสนอผลประโยชน์หลอกล่อ หลิวอี๋เหนียงสนใจขึ้นมาจึงร่วมมือด้วย คอยเป่าหูเสนาบดีฉินให้คล้อยตาม ภายหลังจวนเสนาบดีฉินจึงมาสู่ขอข้าถึงจวน”
เห็นฮูหยินหลิวคิดจะแก้ตัว เสิ่นเวยก็รีบขัดคำพูดของนางทันที “ฮูหยินคิดจะพูดอะไร จะบอกว่าข้าปรักปรำท่านหรือ ท่านมีสิ่งใดคู่ควรที่ข้าจะปรักปรำหรือ อ้อ จริงสิ นอกจากหญิงรับใช้ในเรือนของท่านแล้ว ข้ายังนำตัวสาวใช้ของหลิวอี๋เหนียงที่คอยติดต่อกับหญิงรับใช้ผู้นี้มาด้วย เถาฮวา คนล่ะ”
เถาฮวาผลักสาวใช้วัยสิบหกสิบเจ็ดปีเข้ามา สองมือของนางถูกมัดไว้ด้านหลัง แต่ไม่ได้ปิดปาก หรือทุบตี ถึงอย่างไรนางก็เป็นสาวใช้ในจวนของคนอื่น แค่ยืมตัวมาใช้งานเท่านั้น อีกเดี๋ยวยังต้องนำกลับไปคืน หากซ้อมจนมีสภาพสะบักสะบอมก็คงไม่ดีนัก
“นี่ ชื่อจินเกอใช่ไหม อธิบายให้เหล่านายท่านได้ฟังเถอะ” เสิ่นเวยเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้มีท่าทีรีบร้อนสักนิด
จินเกอตกใจจนเสียขวัญ ตอนนั้นนางกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนมาตบหน้านาง เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนเองอยู่ในสถานที่แปลกตา นางจึงตกใจจนกรีดร้องออกมา
คุณหนูสี่ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มอยู่ตลอดเวลา ไม่ทุบตีหรือก่นด่านาง เพียงแค่บอกนางอย่างอ่อนโยนว่า ‘ชีวิตของเจ้าอยู่ในกำมือของข้า อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าจะพูดความจริงหรือไม่’
จินเกอนึกถึงเรื่องที่คนผู้นี้สามารถพาตัวนางมาจากจวนเสนาบดีฉินได้โดยที่ไม่มีใครรู้ตัว นางยังจะกล้าข้องใจในคำพูดของอีกฝ่ายหรือ ถูกถามสิ่งใดนางย่อมต้องตอบสิ่งนั้น เพื่อให้สามารถรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้
“ประมาณครึ่งเดือนก่อน ฮูหยินเรือนสามของพวกท่านให้คนนำจดหมายไปส่งแก่อี๋เหนียงของพวกเรา ต้องการให้อี๋เหนียงคิดหาทางทำให้คุณหนูสี่แห่งจวนโหวได้แต่งงานกับคุณชายเล็กของพวกเรา ในจดหมายยังเขียนไว้ด้วยว่าขอเพียงอี๋เหนียงทำเรื่องนี้สำเร็จก็จะช่วยหาคู่ครองที่ดีให้กับคุณหนูของพวกเรา” จินเกอพูดความจริงทุกคำ “เจ้า เจ้าพูดเหลวไหล” ฮูหยินหลิวสีหน้าเผือดสี ตะคอกอย่างกราดเกรี้ยว แต่ภายในใจกำลังหวาดหวั่น
จินเกอรีบร้องออกขอความเป็นธรรม “คุณหนูสี่ สิ่งที่บ่าวพูดล้วนเป็นความจริง ต่อมาจวนของท่านไม่ได้ตอบตกลง ฮูหยินสามจึงช่วยออกความคิดให้กับอี๋เหนียงของเรา บอกว่าให้อาศัยโอกาสในงานเลี้ยงของจวนเสนาบดีฉิน ล่อลวงคุณหนูสี่กับคุณชายเล็กของเราให้มาพบกัน หลังจากนั้นก็ให้พาแขกในงานไปเห็นเหตุการณ์นั้น ทำให้ทุกคนเข้าใจว่าทั้งสองคนแอบนัดพบกันตามลำพัง คุณหนูสี่ บ่าวไม่ได้พูดเหลวไหล ท่านต้องเชื่อบ่าวนะเจ้าคะ”
เสิ่นเวยปรายตามองฮูหยินหลิว ก่อนจะเผยรอยยิ้มอ่อนโยน ปากก็เอ่ยคำพูดเย็นขาออกมา “ฮูหยินยังคิดจะแก้ตัวหรือไม่ จดหมายสองฉบับของท่านก็อยู่ที่ข้าแล้ว ท่านพ่อ เห็นท่านมีท่าทีตกใจเช่นนั้น ยังไม่เชื่อข้าใช่หรือไม่ ข้าจะให้ท่านดู งูพิษตัวนี้นอนอยู่ข้างกายท่านทุกคืน ไม่กลัวหรือเจ้าคะ” เสิ่นเวยเอ่ยถามอย่างจริงจัง ทั้งยังแสร้งทำหวาดกลัว ก่อนจะโยนจดหมายไปตรงหน้าเขาโดยไม่แยแสต่อสีหน้าถมึงทึงของเขา
เสิ่นหงเซวียนจะเก็บขึ้นมาก็ไม่ได้ จะไม่เก็บไม่ได้จึงก้มหน้าลงเหลือบมอง เขาแน่ใจว่านั่นคือลายมือของฮูหยินหลิวจริงๆ “ฮูหยินหลิว เจ้า” เสิ่นหงเซวียนมองภรรยาอย่างเย็นชาและชิงชัง เขา เขามีภรรยาเช่นนี้ได้อย่างไร
เสิ่นเวยนึกแค่นเสียงเยาะอยู่ภายในใจ คิดว่าชีวิตนี้ของบิดาช่างน่าขัน แต่จะโทษใครได้เล่า สิ่งที่ห่อหุ้มเท้าของเขาทำให้เดินด้วยตัวเองไม่ได้ อ้อไม่ใช่ ยังมีมารดาของเขาคอยผลักดันอีกแรง
“ดูมันรัดตัวทีละรอบๆ ไม่เพียงมีพิษร้ายเท่านั้น ทั้งยังชาญฉลาดอีกด้วย ฮูหยิน ท่านมีความสามารถมากมายเช่นนี้ ฝ่าบาททรงทราบหรือไม่ เรือนหลังของจวนจงอู่โหวเล็กเกินไป ท่านไม่คิดว่าน่าคับข้องใจเกินไปหน่อยหรือ ด้วยวิธีการที่วางแผนอย่างแยบยลนี้ของท่าน ถึงอย่างไรฝ่าบาทต้องแต่งตั้งให้ท่านเป็นกุนซือแน่” เสิ่นเวยเอ่ยประชดประชัน
ฮูหยินหลิวสีหน้าเ**้ยมโหด หัวเราะออกมาเสียงดัง เสิ่นเวยหันมามองนางอย่างสนใจ ราวกับกำลังมองคนตาย ไม่ได้รู้สึกโกรธสักนิด
“ใช่ เวยเจี่ยเอ๋อร์พูดถูก เรื่องนี้ล้วนเป็นฝีมือของข้า แล้วอย่างไรล่ะ” ฮูหยินหลิวเผยธาตุแท้ออกมา เหยียดยิ้มท้าทายเสิ่นเวย นางไม่เชื่อว่านางเด็กเหลือขอคนนี้จะสังหารนางได้
เสิ่นเวยคลี่ยิ้มจนตาหยี ท่าทีไร้เดียงสา “ใช่ ข้าจะสังหารท่านไม่ได้ หากสังหารท่าน ข้ายังต้องไว้ทุกข์ให้ท่านอีก คิดๆ แล้วก็น่ารำคาญ” เสิ่นเวยถอนหายใจออกมา ราวกับรู้สึกลำบากใจจริงๆ “ท่านย่า ท่านคิดว่าอย่างไร ท่านว่าควรจะลงโทษอย่างไรดี”
เหล่าไท่จวินสีหน้าไม่ดี นางนึกโกรธฮูหยินหลิว มิน่าเล่าหลายวันก่อนหน้านี้ นางมาบอกกับตนว่าคุณชายเล็กแห่งตระกูลฉินเป็นคนที่เหมาะสมมาก โชคดีที่ตนไม่เห็นด้วย หญิงชราหลงลืมไปหมดแล้วว่าตนเองเคยคล้อยตามกับเรื่องนี้
แต่เหล่าไท่จวินโกรธเสิ่นเวยมากกว่า มีเรื่องอะไรพูดกันส่วนตัวไม่ได้หรือ เหตุใดต้องโวยวายให้เป็นเรื่องใหญ่โตด้วย โดยเฉพาะเรื่องที่หักหน้าผู้อาวุโสต่อหน้าลูกหลานคนอื่น ฮูหยินหลิวทำผิดอย่างไรแต่ก็เป็นผู้อาวุโส มีศักดิ์เป็นมารดาของเสิ่นเวย
“กักบริเวณก็แล้วกัน กักบริเวณสักครึ่งปี” เหล่าไท่จวินเม้มปากพูด
ฮูหยินหลิวเป็นหลานสาวของนาง เหล่าไท่จวินย่อมต้องเอ่ยปากปกป้องบ้าง
เสิ่นเวยส่ายหน้า “เบาเกินไป” ฝันไปเถอะ กักบริเวณถือเป็นการลงโทษหรือ นางทุ่มเทไปตั้งมากมายเพื่อหาพยานและหลักฐานไม่ได้ทำเพื่อให้ฮูหยินหลิวแค่ถูกกักบริเวณเท่านั้น อีกอย่าง กักบริเวณแค่ครึ่งปีเท่านั้น ฮูหยินหลิวสบายเกินไป
“ท่านพ่อว่าอย่างไรเจ้าคะ” เสิ่นเวยเคลื่อนสายตามาหยุดที่เสิ่นหงเซวียน
“กักบริเวณหนึ่งปี ให้คุกเข่าหน้าป้ายเซ่นวิญญาณของฮูหยินหร่วนครึ่งเดือน” เสิ่นหงเซวียนกัดฟันพูด
ฮูหยินหลิวได้ยินสีหน้าพลันขาวซีด ให้นางไปคุกเข่าหน้าป้ายเซ่นวิญญาณของฮูหยินหร่วน สำหรับนางแล้วเป็นความอัปยศเพียงใด สายตาที่นางมองไปยังเสิ่นเวยเต็มไปด้วยความอำมหิต ชิงชังจนอยากจะกลืนนางลงท้องไปเสียให้ได้
ถึงแม้เสิ่นเวยจะชอบใจที่ฮูหยินหร่วนไปคุกเข่าหน้าป้ายเซ่นวิญญาณของมารดา แต่นางก็ส่ายหน้าปฏิเสธ “ยังเบาเกินไป” เหตุใดคนเหล่านี้จึงไม่เข้าใจสถานการณ์เช่นนี้ แม้แต่ลงโทษคนก็ทำไม่ได้ ต้องให้ผู้น้อยอย่างนางสอนหรือ
“เจ้าอย่าทำเกินไปนัก” เสิ่นเสวี่ยตบโต๊ะ ก่อนจะชี้หน้าเสิ่นเวยพลางตะคอกออกมา ให้ไปคุกเข่าอยู่หน้าป้ายเซ่นวิญญาณแล้ว นางยังต้องการอะไรอีก
เสิ่นเวยมองเสิ่นเสวี่ยอย่างเย็นชา อยู่ๆ ก็คลี่ยิ้มออกมา “พรุ่งนี้ข้าจะเปลื้องผ้าเจ้าแล้วจับไปโยนบนเตียงผู้ชาย แล้วให้คนมาขืนใจเจ้า น้องสาวไม่ต้องกังวล ข้าไม่กลัวการกักบริเวณ และไม่กลัวต้องไปคุกเข่าในศาลบรรพชนด้วย”
“เจ้า” เสิ่นเสวี่ยโกรธจนน้ำตาไหล ทั้งอายทั้งโกรธ นางทนอยู่ที่นี่ต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงปิดหน้าวิ่งไปที่ประตู แต่ถูกหลีฮวาขวางไว้ทันท่วงที “คุณหนูห้า ท่านรอสักครู่ รอคุณหนูของพวกเราสะสางธุระเสร็จ ท่านค่อยไป” คุณหนูได้สั่งไว้ก่อนแล้วห้ามให้ใครออกไปแม้แต่คนเดียว เมื่อนึกถึงแผนการที่ฮูหยินใช้เล่นงานของคุณหนู ในหัวของหลีฮวาก็เต็มไปด้วยโทสะ
เสิ่นเสวี่ยออกไปไม่ได้ แต่ก็ไม่มีหน้าจะกลับมาจึงถลึงตาใส่หลีฮวา ดวงตาของนางราวกับจะพ่นไฟออกมาได้ ในขณะที่หลีฮซายืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่ยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
เสิ่นเสวี่ยไม่กล้าใช้กำลังในตอนนี้ เคยได้ยินว่าสาวใช้คนสนิทของนางแพศยาเสิ่นเวยมีวรยุทธ์ สุดท้ายเสิ่นเสวี่ยก็กระทืบเท้า เชิดหน้ากลับเข้าไปในห้อง
“เวยเจี่ยเอ๋อร์คิดจะทำอย่างไร” เสิ่นหงเหวินเอ่ยปากขึ้นบ้าง เขาขมวดคิ้ว สายตาที่มองไปยังหลานสาวแสดงความไม่เห็นด้วยอยู่หลายส่วน
ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ฮูหยินหลิวจะทำไม่ถูก แต่ว่าวิธีการของเวยเจี่ยเอ๋อร์ทำให้เขาไม่สบายใจนัก ในยุคสมัยที่พิถีพิถัน ทำอะไรอ้อมค้อม วิธีการจัดการที่เฉียบขาดรุนแรงของเสิ่นเวยทำให้เขารับไม่ได้
เสิ่นเวยเหลือบมองท่านลุงใหญ่ แน่นอนว่านางมองเห็นความไม่พอใจในสายตาของเขา แต่นางไม่ใส่ใจ “หอธรรม วัดของตระกูล หรือหมู่บ้านในปกครองของตระกูล ฮูหยิน ท่านเลือกด้วยตัวเองเถอะ” เสิ่นเวยเอ่ยคำตอบของนางออกไป
เมื่อคำพูดนี้ถูกกล่าวออกไปก็เหมือนได้ยินเสียงสูดลมหายใจของใครหลายคน คนอื่นๆ ต่างรู้ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ ชั่วชีวิตนี้ฮูหยินหลิวอย่าหวังว่าจะได้ออกมาอีก ฮูหยินสวี่มองเสิ่นเวยที่มีท่าทีสุขุมเยือกเย็น ในใจรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นมา เวยเจี่ยเอ๋อร์ช่างมีวิธีการเลือดเย็นนัก
“ว่าอย่างไร ไม่ยอมหรือ เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะส่งมองพยานและหลักฐานให้กับจวนซุ่นเทียน” เสิ่นเวยเลิกคิ้ว หมายจะหมุนกายเดินจากไป
“เวยเจี่ยเอ๋อร์” ฮูหยินสวี่ตะโกนเรียกอย่างร้อนใจ “น้องสะใภ้สามเลือกสักอย่างเถอะ” คนอื่นอาจจะไม่เชื่อว่าเสิ่นเวยจะทำเช่นนั้นจริงๆ แต่นางเชื่อ นางจะปล่อยให้สามีและบุตรชายต้องกลายเป็นตัวตลกเพียงเพราะฮูหยินหลิวเพียงคนเดียวไม่ได้
ฮูหยินหลิวส่งสายตาอ้อนวอนไปยังเหล่าไท่จวิน แต่หญิงชรากลับเบนสายตาลง นางจึงเข้าใจสถานการณ์ “หอธรรม”
คำพูดเพียงไม่กี่คำนี้ราวกับเค้นลอดไรฟันออกมา นางเลือกหอธรรมเพราะว่าสถานที่นั้นตั้งอยู่ในจวน ไม่ต้องออกไปข้างนอก หากไปที่วัดหรือหมู่บ้านในการดูแลของตระกูล ใครจะรู้ว่านางจะมีชีวิตรอดหรือไม่
เสิ่นเวยพยักหน้า “ได้ ในเมื่อฮูหยินเลือกหอธรรมแล้ว ฤกษ์ดีไม่สู้ฤกษ์สะดวก ไปตอนนี้เลยเถอะ เดิมทีก็ไปเพื่อปฏิบัติธรรมคงไม่จำเป็นต้องเก็บข้าวของ ให้พระพุทธองค์ดูความจริงใจของท่านเถอะ เถาฮวาเยว่กุ้ย ส่งฮูหยินไปสักการะพระพุทธองค์ที่หอธรรม”
ทั้งสองคนขยับทันทีที่ได้ยิน พวกนางเข้าไปคุมตัวฮูหยินหลิวเดินออกไปข้างนอก ฮูหยินหลิวคิดจะร้องแต่ถูกเถาฮวาปิดปากไว้
เสิ่นเวยเห็นดังนั้นก็พูดอย่างรื่นรมย์ว่า “ผู้อาวุโสและพี่น้องทุกท่านกินข้าวกันต่อเถอะ ข้าไม่รบกวนแล้ว” เสิ่นเวยพาเหล่าหญิงรับใช้หมุนกายจากไปอย่างเบิกบาน
คนที่เหลือในห้องโถงจะมีแก่ใจกินข้าวได้อย่างไร