ตอนที่ 143 ท่านจะหลอกข้าเช่นนี้ไม่ได้  

ค่ำคืนนี้อบอุ่นราวกับถูกโอบอุ้มด้วยมือของคนรัก

เวลาล่วงเข้าสู่ยามไฮ่ [1]อยู่ๆ เสนาบดีฉินก็นึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบไปที่ห้องหนังสือที่เรือนนอก

บรรยากาศภายนอกถูกปกคลุมด้วยความมืด คนติดตามใช้โคมไฟส่องแสงนำทาง บนท้องฟ้ามีดวงดาวสุกสกาว ดวงจันทร์เสี้ยววับแวม ทั่วจวนถูกปกคลุมด้วยความเงียบสงบ

คนดูแลตะโกนเรียกหญิงรับใช้ให้มาเปิดประตูกลาง หญิงรับใช้ผู้นั้นกำลังหลับฝันดีก็ไม่อยากตื่นขึ้นมา แต่เมื่อได้เห็นชัดๆ ว่าคนที่เรียกนางคือคนติดตามของท่านเสนาบดี ความง่วงงุนก็หายไปจนหมด

เมื่อเดินผ่านประตูกลางไปไม่ไกลก็มาถึงห้องหนังสือในเรือนนอก นี่เป็นสถานที่สะสางงานของเสนาบดีฉินจึงมีการคุ้มกันอย่างแน่นหนา คนรับใช้ทั่วไปไม่อนุญาตให้เข้ามาใกล้ บ่าวรับใช้สามสี่คนที่คอยปรนนิบัติอยู่ที่นี่ล้วนเป็นคนสนิทของท่านเสนาบดี

           เมื่อเข้ามาในเรือน เสนาบดีฉินก็ขมวดคิ้วแน่น ไม่ใช่เพราะสิ่งใด หากแต่เป็นเพราะภายในเรือนนอกมีแต่ความมืด ไร้ซึ่งแสงสว่าง แต่ไหนแต่ไรมาห้องหนังสือของเขาจะมีคนคอยเฝ้าตอนกลางคืน เพื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน

“พวกเหลือขอเหล่านี้ ทั้งเกียจคร้านทั้งไม่เอาไหน เสียนิสัยกันหมดแล้ว” ในใจของคนติดตามนึกบ่นบ่าวรับใช้เหล่านั้น แต่เขาจำต้องช่วยพูดแก้ต่างให้ เพราะบุตรชายคนเล็กของเขาก็เป็นหนึ่งในคนดูแลห้องหนังสือ

“เจ้าไปตามคนมาเถอะ” เสนาบดีฉินสั่งความจบก็เดินตรงเข้าไปในห้องหนังสือ เมื่อเขาผลักประตูเข้าไป แสงจากเปลวเทียนก็สว่างขึ้น

 เสนาบดีฉินสะดุ้งตกใจ เมื่อสายตาของเขาคุ้นชินแล้วจึงมองเห็นว่าบนเก้าอี้ไท่ซือที่เขานั่งเป็นประจำมีหญิงงามผู้หนึ่งนั่งอยู่ ในตอนนี้นางกำลังแย้มยิ้มหวานมาให้เขา

           เสนาบดีฉินควบคุมท่าทีเป็นปกติ แต่ความตื่นตัวไม่ได้หายไป เขาไพล่มือไปด้านหลัง ก้าวไปเบื้องหน้าหนึ่งก้าว กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “แม่นางมาเยือนจวนเสนาบดีฉินดึกดื่น ไม่ทราบว่ามีเรื่องใดให้ข้าช่วยหรือ” ดวงตาเฉียบแหลมกลับกวาดตามองหญิงสาวลึกลับอย่างสำรวจ เขามองข้ามรูปลักษณ์ของนาง แม้นางจะมีท่าผ่อนคลาย แต่เสนาบดีฉินก็ไม่กล้าประมาท ผู้ที่สามารถลอบเข้ามาในห้องหนังสือของจวนเสนาบดีได้ง่ายดายราวกับเข้าห้องส่วนตัวของตนเอง จะเป็นเพียงหญิงธรรมดาได้หรือ ถึงแม้ว่าผู้ที่ลอบเข้ามา เป็นหญิงงามวัยสิบห้าสิบหกปี เสนาบดีฉินก็ไม่กล้าดูถูก

ใครจะรู้ แม้นางผู้นั้นกลับหัวเราะขบขัน ภายใต้แสงเทียนสาดส่อง รอยยิ้มนั้นงดงามราวกับดอกไม้นับหมื่นนับพันพร้อมใจกันเบ่งบาน เสนาบดีฉินได้ยินเสียงใสรื่นหู “ท่านเสนาบดีหาพวกเขาอยู่หรือ โน่น พวกเขาอยู่ตรงนั้น”

ชายวัยกลางคนมองตามทิศทางที่มือของนางชี้ไป เกลียวคลื่นถาโถมอยู่ภายใจใจ บ่าวรับใช้ในห้องหนังสือของเขาทุกคนถูกมัดกองรวมกันอยู่ที่มุมห้อง ปากถูกปิดไว้ ดูแล้วคนติดตามของเขาที่ออกไปตามคนเหล่านี้มากคงจะเสียแรงเปล่าแล้ว

“แม่นาง แท้ที่จริงแล้วเจ้าเป็นเทพเซียนจากที่ใดกันแน่ ลอบเข้ามาในจวนเสนาบดีด้วยเหตุใด” น้ำเสียงของเขาเย็นชาขึ้น ในใจนึกก่นด่าเหล่าทหารยามในจวน…เศษสวะ เศษสวะทั้งนั้น มีคนลอบเข้ามาในห้องหนังสือยังไม่รู้ตัวอีก หากวันใดข้าถูกศัตรูลอบเข้ามาตัดหัว พวกมันคงไม่รู้ตัว…

แม่นางผูู้นั้นค่อยๆ ลุกขึ้นยืน “ผู้น้อย เสิ่นเวย คุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหวคารวะท่านเสนาบดีฉิน” อากัปกิริยานอบน้อมทำให้เสนาบดีฉินรู้สึกประทับใจมากจริงๆ

เสิ่นเวยก็กำลังกวาดตามองเสนาบดีฉินอย่างสำรวจ ภายนอกมีสีหน้าแย้มยิ้ม ท่าทีสุภาพเรียบร้อย ดูไร้พิษสง แต่เสิ่นเวยก็รู้ว่านี่ก็คือจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ ริมฝีปากเขาบางเฉียบ คนส่วนใหญ่ที่ริมฝีปากบางมักจะเป็นคนเย็นชา ถึงแม้ดวงตาของเขากำลังแย้มยิ้ม แต่ส่วนลึกของนัยน์ตากลับไม่ได้ยิ้มด้วย

อ้อ ที่แท้ก็คือเสิ่นเวย คุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหวนี่เอง ในใจของเสนาบดีฉินรู้สึกประหลาดใจ สีหน้ายิ่งเผยความอ่อนโยน “ที่แท้ก็คือหลานสาวเสิ่นนี่เอง ไม่ทราบว่าเจ้ามาเยือนดึกดื่นด้วยเหตุใดหรือ”

ช่างเป็นคัมภีร์สีดำเล่มหนาผู้คร่ำหวอดในราชสำนัก ไม่เสียแรงที่เป็นหัวหน้าขุนนางฝ่ายบุ๋นของราชวงศ์ต้ายง เพียงไม่นานก็ถือโอกาสเรียกขานนางว่าหลานสาวแล้ว ในใจของเสิ่นเวยรู้สึกหนักใจ คิดอย่างเสียดายว่า ท่านลุงทั้งสองกับบิดาของนางเป็นคนรุ่นเดียวกับเสนาบดีฉิน แต่ไม่มีใครสักคนที่มีความสามารถจนถึงขนาดได้ครองจวน ยิ่งกว่านั้นคนผู้คนนี้ก็สามารถเทียบเคียงกับท่านปู่ของนางได้

           เหตุใดจึงรู้สึกว่ามีอำนาจมากเทียบการมีคนมีความสามารถไม่ได้ แต่ว่าเมื่อนึกถึงคนรุ่นหลัง เสิ่นเวยก็รู้สึกว่าทั้งสองตระกูลเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่าเหล่าหลานชายของจวนจงอู่โหว ส่วนใหญ่จะธรรมดา ไม่โดดเด่นอะไร แต่อย่างน้อยก็ไม่มีคนใดที่เลวระยำเหมือนฉินมู่หราน

“หลานสาวมีเรื่องบางอย่างอยากของคำชี้แนะจากท่านลุง กลางวันมีสายตาผู้คนมากมาย หลานสาวจำต้องเลือกตอนกลางคืน ท่านลุงโปรดอภัย” เสิ่นเวยย่อกายคารวะ มองตรงไปที่เสนาบดีฉิน “ได้ยินว่าเรื่องที่คุณชายเล็ก บุตรชายของท่านส่งคนมาเจรจาสู่หลานสาว เป็นความคิดของท่านลุง”

เสนาบดีฉินกระตุกมุมปาก แววตาเผยความชื่นชม เมื่อครู่เขาเพิ่งเรียกนางว่าหลานสาว นางก็เรียกเขาว่าท่านลุง ช่างเป็นแม่นางที่เฉลียวฉลาดและสายตาแหลมคมจริงๆ ถ้าหากสู่ขอนางให้หรานเกอเอ๋อร์ได้จริงๆ เขายังมีสิ่งใดต้องเป็นกังวลอีก

           เมื่อคิดได้อย่างนี้ เขาก็พยักหน้าไม่หยุด “เจตนาดีของภรรยาของลุงทำเสียเรื่องเสียแล้ว ทำให้หลานสาวเห็นเรื่องน่าอายแล้ว”

แต่เสิ่นเวยไม่ได้หลอกได้ง่ายเช่นนั้น “เช่นนั้นท่านลุงคิดว่าคุณชายเล็กคู่ควรกับข้าหรือ” ไม่รอให้อีกฝ่ายตอบคำถาม ยกนิ้วขึ้นนับ “ไม่ว่าเรื่องรูปโฉม เขารูปโฉมงดงามเหมือนข้าหรือ ด้านการศึกษา เขารู้อักษรเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น แต่ข้าร่ำเรียนมาตั้งสามสี่ปีแล้ว ด้านคุณธรรม เขามีคุณธรรมด้วยหรือ ทั้งเมืองหลวง นามของเขาเป็นเหมือนสัญญาณร้าย และเรื่องของชาติตระกูล ถึงแม้ว่าพวกเราทั้งสองตระกูลจะเหมาะสมกัน แต่ท่านลุงทราบหรือไม่ว่า ภรรยาของท่านไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ท่านลุง หลานลองถามตัวเองว่าเคยทำอะไรที่ผิดต่อท่านหรือไม่ เหตุใดท่านจึงหลอกลวงข้าเช่นนี้”

เสิ่นเวยแสดงท่าทีใสซื่อ ดวงตาแดงก่ำราวกับเด็กที่ถูกรังแก

ใบหน้าของเสนาบดีฉินเผยความกระอักกระอวน แม่นางผู้นี้เฉลียวฉลาดหรือโง่เขลากันแน่ เหตุใดคำพูดใดๆ ก็กล้าพูดออกมาทั้งหมด เขารู้ดีแก่ใจว่าบุตรชายคนเล็กของเขาไม่คู่ควรกับอีกฝ่าย แต่ว่าหลังจากที่ได้พบคุณหนูสี่ผู้นี้ เขาก็ยิ่งไม่อยากยอมแพ้

“หลานสาวไม่ต้องกังวล เป็นความผิดของลุงที่ทำให้เจ้าต้องลำบาก แต่ว่าลุงสู่ขอเจ้าด้วยความจริงใจ ลุงให้คำมั่นกับเจ้าได้ ขอเพียงเจ้ายอมแต่งเข้ามา ทุกเรื่องภายในเรือนของพวกเจ้า เจ้าจะได้เป็นคนตัดสินใจ และทรัพย์สินส่วนตัวทั้งหมดของลุงจะยกให้พวกเจ้า” เสนาบดีฉินกล่าวอย่างจริงใจ

 ในใจของเสิ่นเวยนึกโกรธเคืองขึ้นมา แต่ไม่ได้แสงดออกมาทางสีหน้า ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์ กำลังเกลี้ยกล่อมนางเพราะคิดว่านางเป็นคนโง่อย่างนั้นหรือ…สิ่งที่ข้าไม่ขาดแคลนที่สุดก็คือเงิน ใครอยากได้ทรัพย์สินของเจ้ากัน เหอะ เกลี้ยกล่อมข้าให้ตกนรก ต้องไปช่วยเจ้าเลี้ยงลูกชายอย่างนั้นหรือ นางไม่ได้จิตใจดีเช่นนั้น

“ท่านลุง ท่านอย่าเกลี้ยกล่อมข้าเลย พูดด้วยความสัตย์จริง บุตรชายคนเล็กของท่านเป็นคนดีหรือ อายุจะย่างเข้าสิบสองปีก็ทำลายร่างกายตัวเองเสียแล้ว สองปีมานี้ ผู้หญิงที่เขาหลับนอนด้วยไม่ถึงร้อยก็หลายสิบ ผ่านมือคนอื่นมาหลายคนแล้วก็โยนมาให้ข้า ข้าเป็นคนเก็บของเหลือหรือ ท่านหลอกลวงข้าเช่นนี้ ถ้าหากเป็นบุตรสาวของท่าน ท่านจะไม่ปวดใจหรือ” เสิ่นเวยตำหนิอย่างโกรธเคือง ทำปากยื่นปากยาว พร้อมกระทืบเท้า “ยังมีภรรยาของท่านอีกคน นางชิงชังข้าอย่างกับอะไรดี ท่านคงยังไม่รู้ เมื่อวันก่อนข้ามาเป็นแขกที่จวนของท่าน นางใช้ให้สาวใช้มาล่อข้าไปที่สระน้ำวางแผนจะให้ข้าตกน้ำ ทำให้คุณชายเห็นร่างกายของข้า หลังจากนั้นก็จะบังคับข้าแต่งเข้าจวนเป็นอนุภรรยาให้คุณชายเล็ก ท่านลุงเจ้าคะ ท่านดูเถอะว่านางหน้าใหญ่เพียงใด มีแม่สามีที่สมองปราดเปรื่องเพียงนี้ หลานจะมีชีวิตที่สงบสุขได้อย่างไร”

เสนาบดีฉินพลันตกตะลึง เขาไม่รู้จริงๆ ว่ามีเรื่องเช่นนี้ นี่ฮูหยินต่งก่อเรื่องวุ่นวายอีกแล้วหรือ บุตรสาวในสมรสของจวนจงอู่โหวให้มาเป็นอนุภรรยาแก่บุตรชายของนาง นางช่างหน้าใหญ่เสียจริง ในใจของเสนาบดีฉินมีโทสะปะทุขึ้นมา

“หลานสาว เจ้าดูเถอะ เรื่องนี้ ลุงไม่รู้จริงๆ หากรู้ ลุงจะปล่อยให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นหรือ” ใบหน้าของเสนาบดีฉินร้อนผ่าว บุตรชายของตนถูกหญิงสาวรังเกียจปานนี้ เขารู้สึกขุ่นเคืองใจไม่น้อย แต่ว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง ถึงแม้ตอนที่อยู่ในราชสำนักเขาวางตัวสุขุม ฉลาดหลักแหลม แต่ในตอนนี้กลับแก้ต่างไม่ได้แม้แต่คำเดียว

เสิ่นเวยพยักหน้าอย่างใจกว้าง “อืม หลานก็เชื่อว่าท่านลุงไม่ทราบเรื่องนี้ ถึงอย่างไรท่านก็เป็นเสนาบดีของราชสำนัก จะทำตามเล่ห์อุบายของสตรีได้อย่างไร ท่านก็น่าจะเป็นคนจิตใจสูงส่ง สง่างามน่าเกรงขาม จะใช้แผนการของเรือนหลังได้อย่างไร” เสิ่นเวยกล่าวประชดประชัน แต่สีหน้ายังตรงไปตรงมา

 โทสะอัดแน่นอยู่ในหัวของเสนาบดีฉิน แม่นางผู้นี้ช่างกล้าพูดจริงๆ นี่กำลังชื่นชมหรือก่นด่าเขากันแน่ จะโกรธก็ทำไม่ได้อีก น่าอึดอัดจริงๆ

เสิ่นเวยเอ่ยอีกว่า “เวลานี้ท่านลุงก็ทราบเรื่องแล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ เช่นนั้นท่านลุงคงเลิกหมายตาหลานสาวแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”

           เห็นความลังเลบนใบหน้าของเสนาบดีฉิน เสิ่นเวยคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถึงแม้ข้าแต่งเข้ามาแล้วอย่างไรเล่า ข้าเป็นคนอารมณ์ร้อน ท่านไม่กลัวว่าข้าจะก่อเรื่องวุ่นวายจนทำให้พวกท่านไม่ได้มีชีวิตที่สงบสุขหรือ ท่านคิดว่าสามารถควบคุมข้าได้หรือ หากข้าออกเรือนจะใช้คนคุ้มกันเป็นสินเดิม ทุกคนล้วนเป็นเหล่าทหารที่ข้าเลือกมาจากกองกำลังทหารของท่านปู่ ร้ายกาจมากเลยนะเจ้าคะ และท่านก็ไม่ต้องคิดจะไปขอให้ผู้อาวุโสในตระกูลของข้าช่วย พวกเขาทำอะไรข้าไม่ได้ ท่านคงยังไม่ทราบ เมื่อวานข้าเพิ่งจะส่งฮูหยินของพวกเราเข้าไปกักตัวในหอธรรม เพราะเหตุใดน่ะหรือ เพราะนางล่วงเกินข้าน่ะสิเจ้าคะ ล่วงเกินอย่างไร พูดขึ้นมาแล้วก็น่าเศร้านัก”

เสิ่นเวยใช้ทั้งลูกล่อลูกชน ท่าทีเช่นนั้นต้องแสดงความไร้เดียงสาเท่าใด นางก็แสดงออกมาเท่านั้น “ฮูหยินของพวกเรามือยาวเกินไป ถึงขนาดยื่นมาถึงเรือนหลังของท่านลุงได้ นางกับหลิวอี๋เหนียงในจวนของท่านรวมหัวกันจับคู่ข้ากับคุณชายเล็ก อ้อ จริงสิ เหตุการณ์ตกน้ำเมื่อวันก่อนเกี่ยวข้องกับฮูหยินของเรากับหลิวอี๋เหนียง ท่านว่านางต้องใส่ใจมากมายปานนั้นไม่เหนื่อยบ้างหรือ ดังนั้นข้าจึงเชิญนางไปพักผ่อนที่ศาลของบรรพชนสามสี่ปี” นางอาศัยโอกาสที่ต้องการทดสอบความสามารถของกองกำลังลับ ยังดีที่สามารถหาพยานและหลักฐานมาได้ นางพึงพอใจมาก

ในตอนนี้เสนาบดีตกตะลึงจริงๆ แล้ว มิน่าเล่าหลิวอี๋เหนียงจึงพูดถึงคุณหนูสี่แห่งจวนจงอู่โหวขึ้นมา ที่แท้เพราะมีแผนการเช่นนี้ เมื่อคิดถึงฐานะของตนเองที่เป็นถึงเสนาบดีของราชสำนัก กลับถูกหญิงในเรือนหลังหลอก ช่างน่าขายหน้าจริงๆ

ม่านตาของเขาหดเกร็ง ดวงตาเผยความดุดัน แต่เสิ่นเวยกลับสบตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว “ท่านลุง หากท่านยังคิดจะสู่ขอข้า เช่นนั้นก็ต้องหารือกับท่านปู่ของข้าก่อน ท่านปู่ลั่นวาจาไว้ว่า เรื่องของข้า ท่านเป็นคนตัดสินใจ หรือท่านจะลองเจรจากับเขาดูเจ้าคะ” เสิ่นเวยเสนอขึ้นอย่างหวังดี หลังจากนั้นดวงตาเป็นประกาย เหมือนเพิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “อ้อ จริงสิ ได้ยินว่าท่านลุงมีความสัมพันธ์บางอย่างกับขุนนางแซ่จางทางใต้ สถานการณ์ของเขาไม่ค่อยดีนัก ท่านลุงต้องรีบเตรียมพร้อมไว้นะเจ้าคะ” เสิ่นเวยคลี่ยิ้ม ท่าทีมีเลศนัย

ครั้งนี้เสนาบดีฉินสีหน้าเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ เขากล่าวด้วยสีหน้าถมึงทึงว่า “หลานสาวกำลังข่มขู่ข้าหรือ” ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับคนผู้นั้น แม้แต่บุตรชายคนโตที่เขาให้ความสำคัญมากที่สุดก็ไม่รู้เรื่องนี้ แม้นางน้อยผู้นี้รู้ได้อย่างไร เสิ่นผิงยวน ตาเฒ่าคนนั้นช่างมีความสามารถจริงๆ เสนาบดีฉินหรี่ตามอง แววตาเผยความอันตราย

แต่เสิ่นเวยกลับไม่เกรงกลัวสักนิด หากแต่แย้มยิ้มเอียงอาย พูดอย่างขัดเขินว่า “ดูท่านลุงพูดสิ หลานจะกล้าข่มขู่ท่านได้อย่างไรเล่า เพียงเตือนท่านเท่านั้น ความสัมพันธ์ของพวกเราดีปานนี้เชียวนะเจ้าคะ ท่านให้ความสำคัญกับข้าขนาดนี้ ข้าจะทำร้ายท่านได้อย่างไร” เสิ่นเวยกระพริบตาคู่สวย ก่อนจะยกมือปิดปากหาว “ท่านลุง พวกเราตกลงกันแล้วนะเจ้าคะ เรื่องนี้ก็จบเพียงเท่านี้ อย่าส่งใครไปจวนโหวอีก ทำให้วุ่นวายกันไปหมด น่าอายจริงๆ ดึกมากแล้ว ท่านพักผ่อนเถอะ หลานไม่รบกวนแล้ว ไปก่อนนะเจ้าคะ” นางผลักหน้าต่างด้านหลังให้เปิดออก ก่อนจะกระโดดออกไป ยังไม่ลืมหันกลับคลี่ยิ้มเกียจคร้านให้อีกฝ่ายทิ้งท้าย

ท่าทีหยิ่งผยองนั่นช่างน่าโมโหจริงๆ น่าแปลกที่เสนาบดีฉินกลับโกรธนางไม่ลง

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง คนติดตามก็รีบร้อนเข้ามา กำลังจะเอ่ยปากพูดบางอย่างก็ถูกเจ้านายยกมือห้ามไว้ “แก้มัดให้พวกเขาก่อนเถอะ”

           คนติดตามเพิ่งจะมองเห็นกลุ่มคนที่ถูกมัดไว้ในห้อง สีหน้าพลันเผือดสี ก่อนจะแก้เชือกอย่างรวดเร็ว “เสี่ยวซื่อ ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” เมื่อครู่ ไม่ทันรู้ตัวเขาก็ถูกใครบางคนคุมตัวไว้ ยังคิดว่าจะไม่มีชีวิตรอดกลับมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นกลับปล่อยตัวเขาโดยไม่ทำอะไรเขา เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในห้อง เขาก็รู้ว่ามีคนลอบเข้ามาในจวน

เมื่อคิดได้ดังนี้คนติดตามก็รีบพุ่งออกไปทันที แต่เมื่อวนครบหนึ่งรอบกลับไม่พบอะไร

เมื่อกลับมาที่จวน เสี่ยวซื่อกับบ่าวอีกสามสี่คนพากันส่ายหน้า พวกเขากำลังสับสนมึนงง รู้แต่เพียงว่าไม่ทันรู้ตัวก็ถูกใครบางคนจับมัดเสียแล้ว

           เสนาบดีฉินส่ายหน้า สั่งความไปว่า “เพิ่่มการตรวจตรา” จากนั้นก็ให้พวกเขาออกไป

ชายวัยกลางคนนั่งอยู่ใต้แสงตะเกียงเพียงลำพัง น่าเสียดาย น่าเสียดายจริงๆ คิดไม่ถึงว่าเขาก็มีวันที่ต้องปล่อยให้สิ่งที่หมายตาหลุดมือไป คุณหนูสี่ผู้นี้ เฮ้อ นึกขึ้นมาแล้วเขารู้สึกเสียดาย

ส่วนลึกของนัยน์ตาเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ไม่รู้กำลังคิดสิ่งใดอยู่

[1] ยามไฮ่ (亥时) คือช่วงเวลาตั้งแต่สามทุ่มถึงห้าทุ่ม