หนีตามกัน

สวี่โย่วฟังเจียงเฮยรายงานด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก มุมปากกระดุกเล็กน้อยจนยากจะสังเกต เจียงเฮยสีหน้าไร้ความรู้สึกเช่นเดียวกับเจ้านายของเขา เมื่อรายงานจบแล้วก็ยืนก้มหน้าอยู่ตรงนั้น ในขณะที่เจียงไป๋กลับตกตะลึงตัวแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ ท่านพี่พูดถึงใคร คุณหนูสี่แห่งตระกูลเสิ่นที่เขารู้จักหรือ เป็นไปได้หรือ เป็นไปได้หรือ

 

สวี่โย่วโบกมือ เจียงเฮยจึงถอยออกไป เห็นเจียงไป๋ยืนนิ่งอยู่กับที่ก็เผลอถอนหายใจออกมา ก่อนจะออกแรงลากน้องชายออกไปด้วยกัน

 

เมื่อมาถึงประตู เจียงไป๋เพิ่งจะดึงสติกลับมา ดึงเสื้อของพี่ชายไว้ พร้อมเอ่ยถามอย่างไม่อยากเชื่อ “ท่านพี่ คุณหนูสี่ผู้นั้นบุกไปด่าเสนาบดีฉินถึงจวนกลางดึก แล้วก็กลับออกไปอย่างปลอดภัยหรือ”

 

เป็นไปไม่ได้ คุณหนูสี่ผู้นั้นแม้จะนิสัยดุร้ายไปสักหน่อย แต่จะมีความสามารถปานนั้นเชียวหรือ อีกอย่างการป้องกันของจวนเสนาบดีฉินหละหลวมเหมือนตลาดที่ใครจะเข้าก็ได้อย่างนั้นหรือ ก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสียหน่อย เมื่อสองเดือนก่อนเขาเคยลอบเข้าไปครั้งหนึ่งก็เกือบจะถูกจับได้เชียวนะ

 

 หรือว่า วรยุทธ์ของคุณหนูสี่แข็งแกร่งกว่าเขา ไม่ เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด ชายหนุ่มรีบส่ายหน้า ไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป

 

เมื่อเผชิญกับสายตาจดจ่อของน้องชาย เจียงเฮยจึงพยักหน้าหนักๆ มองท่าทีแปลกประหลาดของน้องชาย เขาก็รู้สึกเห็นใจ

 

 เขากลับมาจากทำภารกิจข้างนอก คุณชายก็มอบหมายงานนี้ให้เขา ถึงแม้เขาจะรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แต่ก็ปฏิบัติตามคำสั่ง คิดไม่ถึงว่าจะได้เห็นละครฉากเด็ด คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าเสนาบดีฉินจะตกอยู่ในกำมือของแม่นางน้อยผู้หนึ่ง หากพูดออกไปใครจะเชื่อ

 

เจียงไป๋ร้องออกมาเสียงดัง “อะไร แม่นางที่ดุร้ายคนนั้นมีวรยุทธ์ร้ายกาจกว่าข้าอีกหรือ” สีหน้าของเขาตกตะลึงเหมือนถูกโจมตีอย่างรุนแรง

 

เจียงเฮยพยักหน้าอีกครั้ง “วรยุทธ์ของนางเหนือกว่าข้าด้วย” และดูเหมือนข้างกายของนางมีคนคุ้มกันที่เป็นยอดฝีมืออยู่หลายคน ดังนั้นตอนที่เขาซุ่มอยู่บนหลังคาจึงไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว

 

 วรยุทธ์เหนือกว่าท่านพี่? เป็นไปไม่ได้ นี่เป็นความคิดที่ปรากฏขึ้นในหัวของเจียงไป๋ แต่เมื่อเห็นท่าทีจริงจังของพี่ชาย เขาจำต้องยอมรับความจริงเรื่องนี้ มิน่าเล่า มิน่าเล่าคุณชายจึงใส่ใจคุณหนูสี่เพียงนี้

 

   เมื่อคิดได้อย่างนี้ ความคิดบางอย่างผุดขึ้นในใจ ดวงตาเป็นประกาย “ท่านพี่ ท่านว่าคุณหนูสี่ผู้นี้จะกลายเป็นนายหญิงของพวกเราหรือไม่ ข้าจะบอกท่าน คุณชายใส่ใจคุณหนูสี่มาก ครั้งก่อนเพียงเพราะเรื่องคำเล่าลือ คุณชายถึงขนาดขอให้องค์หญิงใหญ่ช่วย ครั้งนี้ก็ส่งท่านพี่ไปดูว่านางถูกรังแกหรือไม่ แต่ไหนแต่ไรมาคุณชายไม่เคยดีกับแม่นางคนใดเช่นนี้มาก่อนเลย”

 

   คุณชายจะต้องมีใจให้คุณหนูสี่แน่ๆ เจียงไป๋ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกอย่างนั้น อืม อย่านึกว่าเขามองไม่ออก ทุกครั้งที่ได้ยินข่าวของคุณหนูสี่ คุณชายจะอารมณ์ดีมาก ถ้าหากคุณชายมีใครสักคนเคียงข้าง ท่านคงไม่เย็นชาเช่นนี้

 

  แต่คำพูดของเจียงเฮยเป็นเหมือนน้ำเย็นที่สาดเข้ามา “ความคิดของเจ้านายเป็นสิ่งที่เจ้ากับข้าคาดเดาได้หรือ”

 

    เจียงไป๋พลันก้มหน้าอย่างเศร้าใจ จริงด้วย ใครจะรู้ว่าในใจของคุณชายคิดอย่างไร คุณชายยังคิดจะช่วยหาคู่ครองที่ดีให้คุณหนูสี่อยู่เลย ในความคิดของเขา บรรดาคุณชายทุกคนในเมือง คุณชายของเขาโดดเด่นที่สุดแล้ว

 

สวี่โย่วที่อยู่ในห้องกำลังลูบคางด้วยรอยยิ้ม ช่างเป็นแมวน้อยที่ร้ายกาจจริงๆ แต่ว่าไม่ถูกเอาเปรียบก็ดีแล้ว ดูแล้วไม่ต้องให้เขาช่วยนางก็สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างเชี่ยวชาญ เช่นนั้นเขาก็วางใจ

 

  สวี่โย่วคิดมาตลอดว่าเสิ่นเวยเหมือนกับแมวน้อยที่เขาเลี้ยงไว้ตอนเด็ก สายตาที่ใช้มองคนอื่นทอแววสดใส ชวนให้รู้สึกเอ็นดู จนอยากจะยื่นมือไปสัมผัส แต่มันจะกางกงเล็บคมกริบ ไม่ยอมให้คนอื่นเข้าใกล้

 

เสิ่นเวยกำลังนอนอย่างสุขใจอยู่บนเตียงใหญ่ในเรือนเฟิงหวา ดีจริงๆ เรื่องวุ่นวายใจก็สะสางเสร็จแล้ว ก็จะได้สำราญกับวันเวลาที่มีความสุขต่อไป นางเอนกายนอน มีคนพัดลมให้ มีคนนวดขาให้ มีคนอ่านนวนิยายให้ฟัง และมีคนคอยบอกองุ่นป้อนให้ถึงปาก ช่างเป็นชีวิตที่สุขสำราญจริงๆ

 

แต่น่าเสียดายความสำราญอยู่ได้ไม่นาน วันเวลาที่สุขสบายของเสิ่นเวยเพิ่งจะผ่านไปสามวันก็ถูกทำลายลง ผู้ที่ทำลายวันเวลาที่สงบสุขก็คือคนที่นางคิดไม่ถึงอย่าง จืออี๋เหนียง

 

ตอนที่สาวใช้เข้ามารายงานว่าจืออี๋เหนียงมาขอพบ เสิ่นเวยรู้สึกแปลกใจมาก ถึงอย่างไรเสีย นางกับจืออี๋เหนียงไม่ได้ข้องเกี่ยวกัน นางกลับจวนมานานขนาดนี้เคยบังเอิญพบหน้าอีกฝ่ายในสวนแค่ครั้งเดียวเท่านั้น อีกอย่างนางกับเสิ่นอิง พี่สาวคนที่สามก็ไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ถึงแม้ว่าไม่ได้ชิงชังกันเหมือนอย่างเสิ่นเสวี่ย แต่ต่างฝ่ายต่างก็ไม่ชอบหน้ากันเท่าใดนัก จืออี๋เหนียงมาเยือนถึงเรือนด้วยเหตุใด

 

“คุณหนูสี่” ถึงแม้ว่าจืออี๋เหนียงจะพยายามสงบสติอารมณ์ แต่เสิ่นเวยก็มองเห็นความร้อนรนของนางจากฝีเท้าที่เร่งรีบ

 

“จืออี๋เหนียง” เสิ่นเวยทักทายเสียงเรียบ “หลีฮวา ยังไม่รีบยกชาของเรือนเฟิงหวาของเรามาให้จืออี๋เหนียงอีก”

 

  จืออี๋เหนียงกล่าวขอบคุณ เห็นเสิ่นเวยไม่ได้ถามไถ่ถึงการมาของนาง ในใจของสงบลงบ้าง ฝืนดื่มชาได้สามสี่อึกก็ทนต่อไปไม่ไหวอีก “คุณหนูสี่ อี๋เหนียงของพูดกับท่านเพียงลำพังได้หรือไม่” ใบหน้าของนางแสดงความอ้อนวอน

 

เสิ่นเวยรู้สึกใจขึ้นมาจึงโบกมือสั่ง หลีฮวาจึงพาเหล่าสาวใช้ถอยออกไป เสิ่นเวยมองไปที่แขกของเรือน จืออี๋เหนียงกัดฟัน ก่อนจะคุกเข่าลง “คุณหนูสี่โปรดช่วยชีวิตด้วย”

 

การกระทำของอีกฝ่ายทำให้เสิ่นเวยสะดุ้งตกใจ “อี๋เหนียงทำอะไร รีบลุกขึ้นมาเร็วเข้า”

 

นางลุกไปประคองอีกฝ่ายขึ้นมา แต่จืออี๋เหนียงกลับไม่ยอม “คุณหนูสี่ อี๋เหนียงขอร้องท่านล่ะ ท่านโปรดช่วยคุณหนูสามด้วยเถอะ” ใบหน้าของนางเผยความเสียใจ

 

“เกิดเรื่องอะไรขึ้น พี่สามเป็นอะไรไปหรือ” เสิ่นเวยยิ่งรู้สึกแปลกใจ “อี๋เหนียงลุกขึ้นมาพูดกันก่อนเถอะ”

 

ในหัวของเสิ่นเวยใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ที่ไม่ไปคารวะเหล่าผู้อาวุโสของเรือนหลังในตอนเช้า จำนวนครั้งที่นางพบหน้าเสิ่นอิงแทบนับครั้งได้ นางรู้แต่เพียงว่าการแต่งงานของอีกฝ่ายกำหนดลงมาแล้ว สินสอดทองหมั้นของฝ่ายเจ้าบ่าวก็ไม่เลวทีเดียว ส่วนเรื่องอื่นนั้นนางไม่รู้แล้ว

 

จืออี๋เหนียงยอมลุกขึ้นมาตามแรงประคอง เอ่ยว่า “คุณหนูสามหายตัวไปเจ้าค่ะ” กล่าวจบดังนี้ นางก็รู้สึกเหน็บหนาวไปทั้งตัว นางไม่รู้ว่ามาขอร้องคุณหนูสี่เป็นเรื่องที่ถูกหรือไม่ แต่ในวินาทีที่รู้ว่าบุตรสาวหายตัวไป ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาก็คือมาขอร้องที่เรือนเฟิงหวา ส่วนสามีของนางหรือ หึๆ อย่ามองว่าทุกวันนางแสดงท่าทีรักลึกซึ่งต่อสามี แต่ในใจรู้ดีว่าสามีเป็นคนไร้ประโยชน์

 

“หายตัวไป หายตัวไปเมื่อไหร่ หาในจวนแล้วหรือยัง หรือไม่พี่สามอาจจะไปชมดอกไม้ในสวนก็ได้” เสิ่นเวยไม่ค่อยเชื่อนัก เรือนหลังที่มีการดูแลเข้มงวด หญิงสาวบอบบางคนหนึ่งจะหายตัวไปได้อย่างไร

 

 จืออี๋เหนียงส่ายหน้า “หาแล้ว หาหมดแล้วเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่มี” นางร้อนใจจนน้ำตาแทบไหล แต่ไหนแต่ไรมานางพยายามเข้มแข็งมาตลอด ครั้งนี้เพื่อบุตรสาวของตัวเอง นางจำต้องบากหน้ามาขอร้องคนอื่น

 

“ตอนเที่ยงของวันนี้ นางยังนักปักชุดแต่งงานในห้องอยู่เลย ข้ากลัวว่านางจะเหนื่อยยังบอกให้นางรีบพักผ่อนอยู่เลย เมื่อข้าตื่นจากนอนกลางวัน ไปหานางอีกครั้ง ก็ไม่เห็นแล้ว เฝิ่นหง สาวใช้ใหญ่ข้างกายของนางถูกปิดปากมัดมือมัดเท้ายัดไว้ในตู้เสื้อผ้า เครื่องประดับกับเงินในกล่องของคุณหนูสามหายไปหมด” จืออี๋เหนียงกำมือแน่น สงบสติอารมณ์ “ข้าสอบส่วนเฝิ่นหงจึงได้รู้ว่า เมื่อหลายวันก่อนหน้านี้คุณหนูสามได้รู้จักกับคุณชายผู้หนึ่งนอกจวน นาง เหตุใดนางจึงโง่เขลาเช่นนี้ คุณหนูสามไม่พอใจกับการแต่งงานที่กำหนดขึ้น แต่ว่าคุณชายตระกูลเหวินเป็นคนดีจริงๆ หลายวันมานี้นางเก็บตัวปักชุดแต่งงานอยู่ ข้านึกว่านางคิดตกแล้ว ใครจะคิดว่านางจะกล้า กล้า…”

 

จืออี๋เหนียงน้ำตาไหลลงมาเป็นสาย หญิงที่หนีตามผู้ชายไปจะมีจุดจบที่ดีได้หรือ ตนมีบุตรสาวเพียงคนเดียว หากเสิ่นอิงเป็นอะไรไปแล้วนางจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างไร เหตุใดชีวิตของนางจึงลำบากปานนี้

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ จืออี๋เหนียงคุกเข่าขอร้องอีกครั้ง “คุณหนูสี่ อี๋เหนียงรู้ว่าคุณหนูสามไม่รู้ความ มักจะคิดชิงดีชิงเด่นกับท่าน ดังนั้นอี๋เหนียงมักจะห้ามปรามนาง คุณหนูสี่มีอำนาจมาก อย่าได้ถือสาพี่สาวผู้โง่เขลาคนนั้นเลย ได้หรือไม่เจ้าคะ อี๋เหนียงขอร้องท่าน ท่านช่วยคุณหนูสามสักครั้งเถอะเจ้าค่ะ จะให้อี๋เหนียงเป็นวัวเป็นม้าให้ท่านก็ได้” หญิงสาวแม้จะปราดเปรื่องเพียงใด แต่เมื่อเกิดเรื่องกับบุตรของตนเอง หญิงผู้นั้นย่อมต้องร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก

 

เสิ่นเวยอิจฉาเสิ่นอิงมากจริงๆ แม้พี่สาวผู้นั้นจะดื้อรั้นไม่รู้ความอย่างไร จืออี๋เหนียงก็คิดถึงนางอยู่เสมอ

 

ในขณะที่ตัวนาง ไม่มีอะไรทั้งนั้น จำต้องพึ่งตัวเอง

 

เห็นแก่ความรักของแม่ที่จืออี๋เหนียงมีต่อบุตรสาว เสิ่นเวยไม่อาจนิ่งดูดาย อีกอย่างถึงอย่างไรนางกับเสิ่นอิงก็เป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน ไม่มีความแค้นใดที่ไม่อาจอภัยให้ได้ ช่วยได้ก็ช่วยแล้วกัน อีกทั้งจืออี๋เหนียงก็รู้จักวางตัว ตอนที่ฮูหยินหร่วน มารดาของนางยังมีชีวิตอยู่ อี๋เหนียงผู้นี้ก็ไม่เคยมาระราน ทั้งยังให้ความเคารพนางมาตลอด เป็นคนรู้ความที่หาได้ยาก

 

เสิ่นเวยพยักหน้า “อี๋เหนียงใจวางใจเถอะ พี่สามเป็นพี่สาวของข้า ข้าไม่สนใจนางไม่ได้” ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “พี่สามรู้จักคุณชายแปลกหน้าผู้นั้นได้อย่างไร เขามีความเป็นมาอย่างไร อี๋เหนียงรู้ได้อย่างไรว่าการหายตัวไปของพี่สามเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้น” ก่อนอื่นต้องสอบถามเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อน

 

จืออี๋เหนียงเห็นเสิ่นเวยยอมตกปากรับคำ ก็โล่งใจลงครึ่งหนึ่ง ไม่รู้เพราะเหตุใด

 

จิตใต้สำนึกของนางรู้สึกว่าคุณหนูสี่มีความสามารถมาก

 

นางเช็ดน้ำตา เอ่ยว่า “เฝิ่นหงบอกว่าเรื่องนี้เกิดขึ้นมาได้ครึ่งเดือนแล้ว เมื่อครึ่งเดือนก่อนคุณหนูสามออกจากจวนไปสั่งทำเครื่องประดับศีรษะ ระหว่างทางบังเอิญพบกับอันธพาลคนหนึ่ง และได้คุณชายผู้นั้นได้ช่วยเหลือไว้ เฝิ่นหงบอกว่าคุณชายผู้นั้นแต่งกายงดงามหรูหรา ต่อมาคุณหนูสามออกจากจวนไปหาซื้อรูปภาพบางอย่าง และบังเอิญพบกับคุณชายผู้นั้นอีกครั้ง เฝิ่นหงบอกว่าเขาเชิญคุณหนูสามไปนั่งเล่นที่เรือนชั่วคราวของเขา ทั้งสองคนพูดคุยกันถูกคอ หลังจากที่กลับมาที่จวน คุณหนูสามมีท่าทีผิดปกติ บางครั้งก็นั่งไม่สงบ บางครั้งก็แอบยิ้มคนเดียว มีบางคราที่ถอนหายใจโดยไม่มีเหตุผล เฝิ่นหงเคยรายงานข้าแล้ว ข้ายังคิดว่านางตื่นเต้นเพราะกำลังจะแต่งงาน ยังเคยปลอบใจนางตั้งหลายครั้ง ใครจะคิดว่านางจะทำเรื่องที่โง่เขลาเช่นนี้” จืออี๋เหนียงรู้สึกเสียใจยิ่ง เหตุใดนางจึงมองความผิดปกติของบุตรสาวไม่ออก ท่าทีเช่นนั้นเป็นเพราะความตื่นเต้นเสียที่ไหนเล่า เป็นเพราะหญิงสาวกำลังมีความรักชัดๆ

 

เสิ่นเวยพยักหน้าอีกครั้ง และถามต่อไปว่า “เรือนที่คนผู้นั้นพักอยู่ เฝิ่นหงจำได้หรือไม่ เอาอย่างนี้ ให้เฝิ่นหงแอบมาที่นี่ อีกอย่าง จะแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปไม่ได้ อี๋เหนียงกลับไปดูแลคนในเรือนให้ดีเถอะ บอกไปว่าพี่สามป่วย หากมีใครมาก็ถ่วงเวลาไว้ก่อน ข้าจะส่งคนออกตามหาเดี๋ยวนี้”

 

จืออี๋เหนียงฟังแล้วน้ำตาไหลอีกครั้ง กุมมือเสิ่นเวยเอาไว้ ละล่ำละลักพูดว่า “อี๋เหนียง อี๋เหนียงคำนับเจ้าแล้ว” นางรู้สึกโชคดีที่ยามเมื่อคุณหนูสี่กำลังย่ำแย่ ตนเองไม่ได้ซ้ำเติมอีกฝ่าย