ตอนที่ 697 ไปแล้วก็กลับมา
เฝิงเยี่ยไป๋เมื่อเอ่ยถึงฮ่องเต้แล้ว จะทรงบอกว่าตนนั้นไม่ยุ่งเรื่องนี้ก็มิได้ ในเมื่อทรงเป็นฮ่องเต้ นั่นก็หมายถึงทรงเป็นแบบอย่างความดีงามของราษฎร หากเรื่องที่ตนสังหารบิดาเพื่อยึดอำนาจแพร่กระจายไปในหมูราษฎรละก็ จะไม่เป็นการให้โอกาสให้พวกอ๋องและบรรดาขุนนางที่ไม่ภักดีมาก่อกบฏล้มบัลลังก์หรอกหรือ
เจียงเฟิงนั้นเป็นเพราะว่ารู้มากไป ฮ่องเต้จึงจะสังหารเขาเสีย หากเจียงเฟิงตายแล้ว คนพวกนั้นต่อให้ทราบว่าเขาสังหารบิดาเพื่อชิงบัลลังก์ก็หาหลักฐานอะไรไม่ได้ ดังนั้นเจียงเฟิงนับเป็นความน่ารำคาญอย่างหนึ่ง เมื่ออยู่ต่อหน้าข้าราชบริพารทั้งหลาย จะทรงลงโทษเจียงเฟิงเลยก็มิได้ ไหนจะเฟิงเยี่ยไป๋ที่คอยใส่ไฟนั่นอีก สถานการณ์ของพระองค์ตอนนี้เสียเปรียบยิ่งนัก
ตอนนี้เจียงเฟิงถึงจะนับว่าเป็นกุญแจสำคัญ คำพูดของเขาสำคัญมาก ทุกคนในที่นี้ล้วนเอาแต่กะพริบตามองเขาตาปริบๆ เขาเองก็ตื่นตระหนกยิ่งนัก หน้าผากนั้นมีเหงื่อผุดซึมดั่งฝนโปรยปราย ในใจอดคร่ำครวญไม่ได้เลย เขาทำอะไรเหล่าทหารพวกนี้ไม่ได้จริงๆ เขาเหล่านี้ล้วนเกิดมาเพื่อต่อสู้รบรากับเหล่าทวยเทพทั้งนั้น อันดับแรกที่ทำร้ายคือคนที่มีประโยชน์แต่ก็ไม่มีประโยชน์อย่างเขานี่แหละ เมื่อใช้งานเสร็จสิ้นอยากจะโยนทิ้งไปที่ใดก็ได้ เส้นทางยังไม่หลักแหลมนัก เมื่อไม่ระวังตนก็จะไปขวางทางคนอื่น ตอนนี้ไม่ว่าขาวหรือดำ เขาต้องรีบพูดออกมาให้กระจ่าง ในวังหลวงแห่งนี้รังเกียจที่สุดก็คือการลังเลไม่แน่วแน่ จะยืนอยู่ฝ่ายใดต้องรู้จุดยืนตน
เฝิงเยี่ยไป๋อาศัยจังหวะที่เจียงเฟิงกำลังลังเลใจ คิดจนใจลอยไปไกลเสียแล้ว คิดว่าตอนนี้เฉินยางจะออกจากวังอย่างปลอดภัยแล้วหรือยัง หากคราวนี้สามคนพ่อแม่ลูกออกจากเมืองหลวงได้อย่างปลอดภัย เขาจะไม่ยุ่งกับเรื่องเหล่านี้อีก ยิ่งไปให้ไกลได้เร็วเท่าไรยิ่งดี บัลลังก์นั้นไม่เกี่ยวข้องกับเขาแม้เพียงนิด แล้วถือดีอย่างไรมาให้เขาแปดเปื้อนความโสมมอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้งดั่งเป้าลูกกระสุนปืนใหญ่ของทั้งสองฝ่ายเล่า
เมื่อคิดก็คิดใจลอยไปเสียไกล เจียงเฟิงยังคิดหาเหตุผลอันใดไม่ได้ เขาถอนหายใจพลางเงยหน้าขึ้นอย่างเศร้าๆ ดวงตาเหลือบมองไปบนหลังคาพอดี ภายนอกนั้นมืดสนิท แม้แต่คนที่สายตาดีมากก็ยังมองไม่เห็นว่า ด้านบนนั้นมีคนสามถึงสี่คนซ่อนอยู่ หมอบอยู่บนหลังคาเหมือนแมว โผล่มาเพียงครึ่งศีรษะเท่านั้น โบกมือให้เขาอย่างไม่กลัวตาย ทั้งเอามือลงอย่างรวดเร็ว คนพวกนั้นด้านข้างคงไม่ต้องเดา คนหนึ่งต้องเป็นอวี่เหวินลู่แน่ ส่วนอีกสองคน ก็คือ เจี่ยชีและองครักษ์ของเขา
แววตาตกตะลึงของเฝิงเยี่ยไป๋หายไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้ากลับไปราบเรียบตามปกติ แค่ในใจนั้นราวกับพลิกแม่น้ำคว่ำทะเลไปแล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะหนีไปได้ เหตุใดจึงกลับมาอีกเล่า กลับมาก็กลับมาเถอะ ทำไมไม่หาที่หลบซ่อนให้ดี คิดหาทางหนีไป เหตุใดจึงมาที่นี่อีก หากถูกพบเข้าพวกเขาทั้งหมดคงไม่รอดแน่
เฉินยางเห็นว่าเฝิงเยี่ยไป๋นั้นยังปลอดภัย ในใจก็โล่งไปเล็กน้อย หันหน้าไปถามเจี่ยชี “พวกท่านเข้ามาได้อย่างไร ไม่ถูกคนพบเข้าหรือ”
เจี่ยชียิ้มอวดฟันขาว “พวกข้าน้อยนั้นก่อนจะขายชีวิตให้ท่านอ๋องเคยทำงานรับใช้เจ้านายบางท่านในวังบ้าง พระสนมหรือองค์ชายในวังก็มักจะไปตลาดมืดเสมอ วังหลวงนี้พวกเรามาบ่อยก็เลยคุ้นชิน ขอเพียงหลีกเลี่ยงเวลาเดินยามของพวกองครักษ์ได้ หากจะเข้ามาก็มิใช่เรื่องยากอะไร
เฉินยางพยักหน้า มองไปทางอวี่เหวินลู่ ในใจรู้สึกผิดอีกครั้ง ตอนนี้ประตูวังหลวงปิดเสียแล้ว “แล้วท่านจะทำอย่างไรดีเล่า”
อวี่เหวินลู่กัดฟันมองนาง “ข้าจะทำอย่างไร ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าข้าจะทำอย่างไร”
ด้วยรับสั่งฮ่องเต้ ประตูวังที่เข้าออกได้ตอนนี้ถูกลั่นดาลเสียแล้ว พวกเขาทั้งหมดตอนนี้กลายเป็นเต่าในไห อยากหนีก็หนีไม่รอดแล้ว
ตอนที่ 698 ข้ารับใช้ก็มีไว้เพื่อรับผิดแทนนั่นเอง
เดิมทีเฉินยางวางแผนว่าหลังจากออกไปกับอวี่เหวินลู่แล้ว จะขอยืมทหารจากบิดาของเขาเพื่อกลับมาช่วยเฝิงเยี่ยไป๋ หากแต่เมื่อทั้งสองเพิ่งจะถึงประตูวังหลวง ก็เห็นประตูวังหลวงสีแดงตระหง่านที่อยู่ตรงหน้านั้นค่อยๆ ปิดลงต่อหน้าต่อตา ประตูวังยังมีทหารองครักษ์เพิ่มมาจำนวนมากสองกอง ในเมื่อประตูนี้ออกไม่ได้ ก็เปลี่ยนไปเป็นประตูอื่น แต่ผลก็เหมือนกัน ล้วนแล้วแต่ออกไปไม่ได้ เหล่าทหารองครักษ์นั้นเป็นเหมือนดั่งสุนัข แม้แต่หินก้อนเดียวบนพื้นก็ยังยกขึ้นมาดูว่าด้านล่างมีคนซ่อนอยู่หรือไม่ ในเมื่อพื้นดินอยู่ไม่ได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ทำได้เพียงขึ้นไปอยู่บนฟ้าเสีย ที่ที่อันตรายที่สุดก็คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด แอบอยู่บนพระเศียรของฮ่องเต้นี่แหละ ใครจะคิดเล่าว่าพวกเขาจะมาแอบอยู่ที่นี่
ก็เป็นเรื่องที่นับว่าประหลาดใจอยู่ ไม่เพียงแต่คนของฮ่องเต้หาพวกเขาไม่เจอ อีกสักพักอาจจะต้องหนีแล้วก็คงจะลำบากน่าดู นี่เรียกว่ากระไรแล้วนะ ตนนั้นรนหาที่กลับเข้ามาสู่กับดักตัวเอง พูดอีกอย่างก็คือกลับมาหาที่ตายนั่นแหละ
เจียงเฟิงเมื่อมาคิดดูแล้ว อย่างไรเสียตนนั้นก็ได้มาปรากฏตัวต่อหน้าพระพักตร์แล้วในวันนี้ ก็ถือว่าเป็นคนที่อย่างไรก็ต้องตายแน่แล้ว ยังมีอะไรที่ต้องกลัวอีกเล่า เชื่อฟังเฝิงเยี่ยไป๋ไว้ก่อนเป็นดี ไม่แน่ว่าอาจจะยังมีหนทางรอดชีวิต เพราะเมื่ออยู่ต่อหน้าพระพักตร์นี้คงจะมีแต่ตายเพียงอย่างเดียว คนเรานี้ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าการมีชีวิตอยู่แล้ว แต่คงไม่สามารถพูดอะไรออกไปจนหมดสิ้นได้ ก็ยังคงต้องหาทางเหลือรอดให้ตัวเองบ้าง
เขาปัดชายเสื้อตนเอง ก้มตัวค้อมเอวอย่างนอบน้อม น้ำเสียงนั้นใส่ความจริงจังน่าเกรงขามเข้าไปหน่อย “ฮ่องเต้พระองค์ก่อนนั้นมีได้สิ้นพระชนม์ลงเนื่องจากอาการป่วยหนักจริงๆ กระหม่อม แต่ในส่วนที่ว่ามีคนตั้งใจทำร้ายให้เสียชีวิตหรือไม่กระหม่อมไม่ทราบ กระหม่อมในวันนั้นหลังจากกลับมาจากการจัดยาให้ฮ่องเต้พระองค์ก่อน ก็เห็นซื่อหงวิ่งออกมาจากตำหนักหย่างซินอย่างลับๆ ล่อๆ สีหน้ารีบร้อน ทั้งยังดูเหมือนว่าจะตื่นตระหนก หลังจากที่ซื่อหงไปแล้ว กระหม่อมก็เข้าไปจับชีพจรของฮ่องเต้พระองค์ก่อน ถึงได้พบว่าพระองค์ได้…ได้สวรรคตเสียแล้ว
ซื่อหงนั้นคือขันทีข้างกายฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน เรื่องราวเยี่ยงนี้ หากให้คนอื่นไปทำ ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงวางพระทัย ดังนั้นจึงมอบหมายให้แก่ซื่อหง เดิมทีกำชับให้เขาไปทำเรื่องใด เขาล้วนแล้วแต่มือเท้าคล่องแคล่วนัก ใครจะคิดเล่าว่าคราวนี้ยังอุตส่าห์ทิ้งหางเหลือเอาไว้อีก ทั้งยังถูกคนจดจำใบหน้าเอาไว้ได้ แถมยังเห็นเสียชัดเจนด้วย ราวกับพระองค์ถูกตบหน้าเข้าอย่างจัง
ซื่อหงเมื่อได้ยินว่ามีคนชื่อตน เขาก็เหลือบมองไปที่ฮ่องเต้เสียทีด้วยอาการสั่นเทา หากแต่นั่นคือจักรพรรดิของแผ่นดินอย่างไรเล่า ตนป่วยหนักก็ส่วนป่วยหนัก แต่พระองค์นั้นอย่างไรเสียก็ยังคงเป็นจักรพรรดิ หลายปีมานี้กลิ่นอายของความดุดันล้วนถูกปลูกฝังขึ้นมาจากในวังเสียสิ้น เขาเองเป็นเพียงเบี้ยตัวเล็กๆ ตัวหนึ่งที่ไร้ค่า เขาจะไม่กลัวได้อย่างไรเล่า
พอตกใจกลัวขึ้นมาแน่นอนว่าก็ต้องทิ้งพิรุธเอาไว้ คาดไม่ถึงเลยว่าจะถูกคนจับได้เอาเสีย ฮ่องเต้ยังไงก็ไม่ทรงยอมรับเป็นแน่ ถ้าอย่างนั้นก็คงต้องเป็นบรรดาข้ารับใช้อย่างพวกเขาที่ต้องมาแบกรับเอาไว้ ข้ารับใช้มีไว้ทำไมเล่า แน่นอนว่าก็ต้องเอาไว้เป็นแพะรับบาปนี่แหละ แต่ว่าโทษทัณฑ์ครั้งนี้แบกรับไว้ไม่ได้ เขาเองเป็นคนของฮ่องเต้ เขายอมรับว่าลอบฆ่าฮ่องเต้พระองค์ก่อน อย่างไรเสียก็ปัดความสัมพันธ์กับฮ่องเต้ไม่ได้ ดังนั้นตอนนี้สถานการณ์เร่งด่วนเฉพาะหน้าต้องรีบทำให้ตัวเองบริสุทธิ์ที่สุด
“ขอทรงโปรดไต่สวนอย่างถี่ถ้วน ในคืนนั้นกระหม่อมไปที่ตำหนักหย่างซินจริงๆ กระหม่อมรู้ดีว่าในใจพระองค์ตั้งแต่รู้ว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนมีอาการประชวรก็มีความหดหู่ใจยิ่งนัก โทษตัวเองอยู่เสมอ ด้วยเกรงว่าหากเห็นฮ่องเต้พระองค์ก่อนจะทำให้ยิ่งเจ็บปวดใจมากยิ่งขึ้น ดังนั้นกระหม่อมจึงไปที่ตำหนักหย่างซินเพื่อเยี่ยมพระอาการ กระหม่อมเพียงเพิ่งจะผ่านประตูตำหนักหย่างซินเข้าไป ก็พบว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงสวรรคตเสียแล้ว ด้วยความตื่นตระหนกจึงรีบวิ่งออกมาพ่ะย่ะค่ะ”
ข้ารับใช้คู่นี้นับว่ายังมีประโยชน์อยู่ทีเดียว เวลาแบบนี้ยังสามารถคิดวิธีการเอาตัวรอดได้อย่างชาญฉลาด มิเสียแรงที่ฝึกฝนและปลูกฝังอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
เจียงเฟิงที่ฟ้องร้องไม่สำเร็จ กลับถูกทำให้รู้สึกจุกจนพูดไม่ออก จึงไม่รู้จะพูดอะไรไปชั่วขณะ มองไปที่เฝิงเยี่ยไป๋อย่างมึนงง แต่เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ตอบกระไร กลับถามไปอีกประโยค “ถ้าอย่างนั้นก่อนหน้านั้นได้มีผู้ใดได้เข้าไปที่ตำหนักหย่างซินหรือไม่”
เจียงเฟิงตอบว่า “ไม่มีผู้ใดแล้ว ข้าจำได้แม่นยำชัดเจนนัก ยังกำชับกับคนอื่นๆ ว่าฮ่องเต้พระองค์ก่อนเป็นเยี่ยงนี้ไม่สามารถพบเจอผู้ใดได้ ดังนั้นแม้แต่ไทเฮาก็ไม่เคยเข้าไปเยี่ยม นอกจากข้าน้อยและนางกำนัลในวังที่ทำหน้าที่ส่งยาก็ไม่มีผู้อื่นอีก”