ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลอีกครั้ง
จางเซวียนถึงกับจังงัง
เขารีบสลัดตัวเองออกจากภวังค์และเดินเข้าไปฉุดแขนของหลัวชวนฉิง พยุงอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นยืน “ไม่ต้องมีพิธีรีตองหรอก คุณถือเอาผมเป็นมิตรสหายคนหนึ่งก็ได้…”
พูดตามตรง ถึงความหุนหันพลันแล่นของหลัวชวนฉิงจะทำให้เขาต้องปวดหัวหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ชื่นชอบความตรงไปตรงมาของอีกฝ่าย น่าเสียดายที่หลัวชวนฉิงไม่ได้เป็นพี่ชายของว่าที่ภรรยาของเขา แต่ถึงอย่างนั้น ความประทับใจที่จางเซวียนมีให้อีกฝ่ายก็ยังคงเป็นความรู้สึกที่ดี
ผมเห็นคุณเป็นเหมือนพี่ชาย แต่คุณกลับอยากเป็นลูกศิษย์ของผมเสียนี่*…*
“เจ้าจางเซวียนจากตระกูลจางทำลายศักดิ์ศรีของตระกูลหลัวและเหยียบย่ำหัวใจน้องสาวของผม ผมจะไม่มีวันให้อภัยในสิ่งที่เขาทำ! ผมรู้ดีว่าด้วยขีดจำกัดของความสามารถของผม ผมไม่มีทางสู้ตัวต่อตัวกับเขาได้ จึงอยากขอให้คุณถ่ายทอดเคล็ดวิชาการทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติให้ผมด้วย! หลังจากที่ผมเชี่ยวชาญแล้ว ผมก็จะไปล้างแค้นและสังหารไอ้สารเลวนั่น!” หลัวชวนฉิงประกาศพร้อมกับกัดฟันกรอด ยังยืนกรานที่จะไม่ยอมลุกขึ้น
“….” จางเซวียนเซไปเล็กน้อยขณะที่รู้สึกจนปัญญา เขาหัวหมุนจนทำอะไรไม่ถูก จึงได้แต่สูดหายใจลึกและพยายามปลอบชายหนุ่มผู้หุนหันพลันแล่น “เอ่อ…คุณเคยคิดบ้างหรือเปล่าว่าอาจมีความเป็นไปได้ที่จางเซวียนเองก็ไม่ได้ตั้งใจให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้น?”
ผมเห็นคุณเป็นพี่ชาย แต่ไม่เพียงคุณจะอยากเป็นลูกศิษย์ของผม ยังตั้งใจจะใช้ทักษะที่คุณหวังจะเล่าเรียนจากผมไปสังหารตัวผมด้วย*! นี่ชาติก่อนเราทำอะไรไว้ ถึงต้องมาเจอเรื่องแบบนี้?*
“เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น แต่เขาก็เหยียบย่ำหัวใจน้องสาวของผม แล้วทอดทิ้งเธอกลางคันระหว่างพิธีหมั้น! เขาไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น แต่เขาก็ทำลายศักดิ์ศรีของตระกูลหลัวและเหยียดหยามเกียรติยศของเราจนป่นปี้ ราวกับมันเป็นฝุ่นผงที่ไร้ค่า!” หลัวชวนฉิงเงยหน้าขึ้นขณะระบายความแค้นเคืองออกมา “ผู้อาวุโส ผมขอวิงวอนคุณให้ช่วยผมล้างแค้นด้วย ขอแค่คุณเต็มใจรับผมเป็นศิษย์ ผมจะอุทิศทั้งชีวิตของผมเพื่อรับใช้คุณหลังจากที่ผมได้ล้างแค้นแล้ว!”
“คือ…” จางเซวียนไม่รู้จริงๆว่าควรจะพูดอะไร
ถ้าเขารู้เสียก่อนว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ จะไม่มีวันเดินทางมาตระกูลหลัวเลย เขารนหาที่เองแท้ๆ!
การที่เราจะถูกกดดันให้รับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่สหายเพียงคนเดียวของเราก็กลับหมายมั่นจะเป็นลูกศิษย์ของเราให้ได้ และแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เขาอยากทำอย่างนั้นก็คือเพื่อจะได้สังหารเราอย่างเลือดเย็น*…*
แล้วผมควรทำอย่างไร*? ควรสอนคุณดีไหม?*
จางเซวียนจนปัญญาโดยสิ้นเชิงกับสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ เขาส่งสายตาวิงวอนใส่หลัวลั่วชิงเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่สาวน้อยก็มองเขาด้วยรอยยิ้มของคนที่เข้าใจเหตุการณ์ดี ราวกับเธอรู้อยู่แล้วตั้งแต่แรกว่าเรื่องแบบนี้จะต้องเกิดขึ้น
จางเซวียนส่งโทรจิตถามหลัวลั่วชิง “คุณรู้ใช่ไหมว่าผมจะต้องถูกทดสอบสายเลือดตระกูลหลัว? เดี๋ยวก่อน…มันเป็นผลจากเครื่องรางที่ใช้ปลอมตัวของคุณหรือเปล่า?”
ถึงก่อนหน้านี้เขาจะยังสงสัย แต่ข้อเท็จจริงที่ว่าเรื่องราวในอดีตของเขาตรงกันกับเรื่องของทายาทน้อยแห่งตระกูลจาง และความสามารถของเขาในการปลุกสายเลือดตระกูลจาง…ก็มากเกินพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าตัวเขามาจากตระกูลจาง
ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เหตุผลเดียวที่เป็นไปได้ที่เขาพอจะนึกออกว่าทำไมอ่างตรวจสอบเลือดจึงปรากฏตัวเลข ‘9’ ก็คือเครื่องรางแห่งการปลอมตัวที่หลัวลั่วชิงมอบให้เขา!
“ใช่ เครื่องรางนั้นมาจากการรวมตัวของพลังปราณอันเข้มข้นของเหล่านักรบที่มีสภาวะพิเศษ ไม่เพียงแต่จะสามารถปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ภายนอกและรังสีของผู้นั้น ยังสามารถบิดเบือนสายเลือดได้ด้วย ถึงขนาดที่แม้แต่นักปราชญ์โบราณก็ไม่สามารถตรวจจับได้ อีกอย่าง ในเมื่อคุณสำเร็จเคล็ดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ หากคุณสำเร็จวรยุทธขั้นนักปราชญ์โบราณด้วย สายเลือดที่คุณถ่ายทอดให้กับทายาทของคุณก็จะมีความคล้ายคลึงอย่างมากกับสายเลือดตระกูลหลัว ไม่น่าแปลกใจหรอกที่ผลทดสอบของอ่างตรวจสอบเลือดจะแสดงตัวเลข ‘9’” หลัวลั่วชิงตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ฮะ…” จางเซวียนอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำอธิบายนั้น
ลงท้าย ความผิดพลาดก็อยู่ที่เครื่องรางแห่งการปลอมตัว ถ้าเขารู้เสียก่อนว่าจะเป็นแบบนี้ จะไม่มีวันใช้มันเลย!
เพียงแต่…ก็แค่เขาไม่คิดว่าเครื่องรางจะสามารถบิดเบือนสายเลือดได้ด้วย การที่เครื่องรางมีคุณสมบัตินี้ ก็หมายความว่าผู้นั้นจะสามารถปลอมแปลงตัวเองได้อย่างลึกซึ้งและแนบเนียนที่สุด!
ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินเรื่องของเครื่องรางชนิดนี้มาก่อนนะ?
เห็นสีหน้าของจางเซวียนบ่งบอกอารมณ์ที่หลากหลาย หลัวกั้นเจินคิดว่าชายวัยกลางคนกำลังพยายามจะปฏิเสธพวกเขาอีก จึงรีบโค้งคำนับอย่างงามและรุกเร้า “น้องเทียนหยา ได้โปรดอย่าปฏิเสธอีกเลย ตระกูลหลัวของพวกเราต้องการหัวหน้าตระกูลผู้ทรงพลังที่จะนำพาเราผ่านช่วงเวลาคับขันนี้ไปให้ได้”
“ไม่ใช่ว่าผมไม่เต็มใจ แต่ผมไม่เหมาะที่จะเป็นหัวหน้าตระกูลหลัว!” จางเซวียนถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง “ขอเวลาผมสักนิดเถอะ ให้ผมได้ปรึกษากับภรรยาของผมก่อน”
จริงๆเลยนะ หลัวลั่วชิงควรจะบอกเขาสักนิดว่าเครื่องรางแห่งการปลอมตัวมีอานุภาพแบบนี้ด้วย เขาจะไม่มีวันยอมเข้ารับการทดสอบสายเลือดเลยหากรู้ล่วงหน้าว่าจะเป็นแบบนี้
ในเมื่อมันเป็นความผิดของเธอส่วนหนึ่ง เธอก็ไม่สามารถตำหนิเขาได้หากเขาจะใช้เธอเป็นข้ออ้าง
ได้ยินว่าชายวัยกลางคนกำลังจะปรึกษาภรรยา หลัวกั้นเจินแสดงอาการประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะถามว่า “อ้อ? น้องสะใภ้ของเรามาด้วยหรือ?”
“ใช่” จางเซวียนตอบพร้อมกับยิ้มกว้างขณะเรียกใครคนหนึ่งท่ามกลางฝูงชน “หลิงชี มานี่เถอะ”
“…..”
หลัวลั่วชิงไม่คิดว่าจางเซวียนจะโยนต่อให้เธอรับลูก ขณะที่ทุกคนกำลังจ้องมองมา เธอก็รู้ตัวว่าไม่อาจเฝ้ามองดราม่าครั้งนี้ในฐานะผู้ชมได้อีกต่อไป เธอถอนหายใจอย่างจนปัญญา จากนั้นก็กระโจนขึ้นไปบนเวที
“รองหัวหน้าหลัว ผมไม่ได้คิดจะกระด้างกระเดื่องนะ แต่พละกำลังและอำนาจไม่ได้มีความหมายกับตัวผมและภรรยาเลย เราสองคนได้ปฏิญาณเอาไว้ว่าจะใช้ชีวิตของเราท่องโลกอย่างอิสระเสรี ดังนั้น…ผมเกรงว่าคงจะต้องปฏิเสธความปรารถนาดีของคุณ!”
จางเซวียนจับมือหลัวลั่วชิงไว้แน่น เขาส่งโทรจิตหาเธอ “ลั่วชิง ช่วยผมปฏิเสธเขาด้วย”
เมื่อถูกจับมือต่อหน้าฝูงชนมากมาย หลัวลั่วชิงหน้าแดงเรื่อ เธอส่งสายตาเชือดเฉือนใส่จางเซวียนก่อนจะหันไปมองหลัวกั้นเจิน “ในเมื่อสามีของฉันขอความเห็น ฉันก็จะขอพูดถึงเรื่องนี้ อันที่จริง…ฉันไม่คิดว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ที่เทียนหยาจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูล!”
“ฮะ?” จางเซวียนตกตะลึงกับสิ่งที่เพิ่งได้ยิน นัยน์ตาของเขาแทบปะทุออกมา
เราไม่ได้ตกลงกันไว้แบบนี้นี่*!*
จำบทด้วยสิ บทน่ะ*! นี่ไม่ใช่เวลาที่คุณจะมาพลิกแพลงอะไรนะ!*
“แต่สามีของฉันปรารถนาที่จะอุทิศชีวิตให้กับการฝึกฝนวรยุทธ ดังนั้นเขาคงไม่มีเวลาที่จะจัดการเรื่องราวต่างๆในตระกูลหลัว อีกอย่าง จุดประสงค์ที่เขามาที่นี่ก็เพื่อถ่ายทอดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติให้กับสมาชิกตระกูลหลัว เพื่อจะได้เรียกคืนเกียรติยศและศักดิ์ศรีจากการถูกตระกูลจางปฏิเสธเท่านั้น…หากรองหัวหน้าหลัวยอมรับสิ่งนี้ได้ ฉันก็ไม่คิดว่าการที่เทียนหยาจะรับตำแหน่งหัวหน้าตระกูลจะเป็นเรื่องใหญ่” หลัวลั่วชิงพูดพร้อมกับพยักหน้า
เมื่อเริ่มมีความหวัง หลัวกั้นเจินก็คว้าไว้ทันที “ได้สิ ได้เลย! ผมไม่มีปัญหากับเรื่องนั้นหรอก”
ในตอนแรก พวกเขาได้ให้สัญญาว่าจะรับมือกับภารกิจเบ็ดเตล็ดต่างๆด้วยตัวเอง เพื่อที่ชายวัยกลางคนจะได้ไม่ต้องมาวุ่นวายกับภาระเหล่านี้ แต่อันที่จริงแบบนี้ดีกว่ามาก เพราะหากใครสักคนที่ปราศจากประสบการณ์ในการจัดการกิจธุระต่างๆของตระกูลหลัวพยายามเข้ามาก้าวก่าย ก็จะทำให้เกิดความยุ่งยากขึ้นแทน!
อีกอย่าง ในเมื่อชายวัยกลางคนตั้งใจจะถ่ายทอดเคล็ดวิชาแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติให้พวกเขา แล้วพวกเขายังมีอะไรที่จะต้องติติงอีก?
ไม่ว่าจะมองอย่างไร เรื่องนี้ก็เป็นประโยชน์กับตระกูลหลัว
พวกเขาคงโง่เง่าเต็มทีหากปฏิเสธ!
หลัวลั่วชิงชำเลืองมองจางเซวียนที่ยืนเป็นบื้อใบ้อยู่และหัวเราะเบาๆ เธอส่งโทรจิตอธิบาย “ด้วยสถานการณ์ของตระกูลหลัวในตอนนี้น่ะ ไม่มีทางที่พวกเขาจะปล่อยคุณไปง่ายๆหรอก ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ระหว่างนี้ก็ทำตามคำขอของพวกเขาไปก่อน ถึงอย่างไรตัวตนของพวกเราก็ปลอมอยู่แล้ว หากเราอยากจากไปเมื่อไหร่ ก็แค่กลับคืนสู่ร่างเดิม หลังจากที่พวกเขาหาตัวคุณไม่พบอยู่สักพัก พวกเขาก็จะเลือกหัวหน้าตระกูลคนใหม่เองแหละ…”
“อย่างนั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็คงไม่เป็นไร” จางเซวียนพยักหน้าอย่างหมดหนทาง
หลัวลั่วชิงพูดถูก ด้วยการพลิกผันของสถานการณ์ในตอนนี้ เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องตามน้ำไปกับหลัวกั้นเจินและเหล่าผู้อาวุโส
แต่นั่นแหละ…เขามาที่นี่เพื่อชดเชยความผิดพลาดที่เคยทำไว้เท่านั้น แต่การพลิกผันอย่างน่าประหลาดของสถานการณ์ก็ทำให้เขาต้องลงเอยด้วยการกลายเป็นหัวหน้าตระกูลเสียเอง!
เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่จริงๆ
หัวหน้าตระกูลจาง หัวหน้าตระกูลหลัว หัวหน้าปูชนียสถานนักปราชญ์…และที่ลืมไม่ได้ ยังมีสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่อีก…
ตอนนี้เขาลงเอยด้วยการรวบรวมเอากลุ่มอำนาจชั้นยอดของทวีปแห่งปรมาจารย์มาไว้กับตัวเองเกือบหมด ราวกับเป็นผู้นำเผด็จการ!
พูดก็พูดเถอะ ในบรรดาสามตระกูลชั้นนำ ยังมีตระกูลเจียงอีก 1 ตระกูล หากเรื่องแบบนี้ยังคงดำเนินต่อไป ถ้าเขาไปเยือนตระกูลเจียง คงต้องลงเอยด้วยการเป็นหัวหน้าตระกูลเจียงเช่นกัน!
“พวกเราตระกูลหลัวคารวะหัวหน้าหลัวเทียนหยา!”
เมื่อจางเซวียนตอบตกลง ทุกอย่างก็ลงตัวและเข้าที่เข้าทางของมัน
เนื่องจากสมาชิกทุกคนในตระกูลมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ ข้าวของทุกอย่างที่ต้องใช้สำหรับพิธีสถาปนาก็อยู่ที่นี่แล้ว ดังนั้น ในเวลาเพียงไม่นาน การจัดพิธีสถาปนาหัวหน้าตระกูลคนใหม่ก็เสร็จสิ้น
ในระหว่างนั้น…
หลังจากที่เดินทางออกจากตระกูลหลัว หนานกงหยวนเฟิงกับพรรคพวกก็มุ่งหน้าต่อไปอย่างหม่นหมอง
“ท่านอาจารย์ พวกเราปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายไม่สำเร็จ แล้วคราวนี้เราจะทำอย่างไร?”
ชายหนุ่มคนหนึ่งตั้งคำถาม
“เราจะทำอะไรได้ล่ะ? ก็ต้องยอมรับบทลงโทษจากความล้มเหลวของพวกเรา” หนานกงหยวนเฟิงส่ายหน้า “สำหรับตอนนี้ หาที่เหมาะๆเพื่อเยียวยาตัวเองก่อนเถอะ เมื่อเยียวยาความบอบช้ำเรียบร้อยแล้ว เราก็จะมุ่งหน้าไปตระกูลจาง ผมไม่เชื่อหรอกว่าตระกูลจางจะมีปีศาจที่ทรงพลังอย่างหลัวเทียนหยาคนนั้น!”
“ผมก็คิดว่านั่นคงเป็นทั้งหมดที่เราทำได้ในตอนนี้…” ชายหนุ่มพยักหน้า
ในตอนนั้นเอง มิติที่อยู่รอบตัวชายทั้ง 5 คนก็แข็งทื่อไปในทันที ทำให้พวกเขาไม่อาจเดินหน้าต่อได้
แต่ละคนหรี่ตาด้วยความหวาดระแวง พวกเขารีบเหลียวมองไปโดยรอบ ไม่ช้าก็เห็นร่างงดงามร่างหนึ่งยืนอยู่ไม่ห่างจากพวกเขานัก มีมิติรูปทรงกลมหมุนติ้วอยู่ตรงหน้าเธอ แผ่รังสีอันน่าอัศจรรย์ออกมา
“พวกคุณไม่คิดบ้างหรือว่ามันไม่สวยที่จะจากไปง่ายๆแบบนี้ หลังจากที่สร้างความยุ่งยากให้ตระกูลหลัวของเราแล้ว?” สาวน้อยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา