ตอนที่ 667 เรือนพักตากอากาศ
“เก็บของให้ดีเถิด เรื่องที่ไม่ควรถามก็ไม่ต้องถาม เลียนแบบเมี่ยวอวี้เสียบ้าง เจ้าดูนางสิ ไม่พูดอะไรเลยสักคำเดียว” อวี้อาเหราว่า ไม่ลืมที่จะเปรียบเทียบเมี่ยวอวี้และนาง
เมื่อเอ่ยถึงเมี่ยวอวี้ เจาเอ๋อร์ก็ไม่พูดอะไรอีก หันกลับไปพับเสื้อผ้าอย่างเรียบร้อย
ผ่านไปไม่นาน นางกำนัลประจำตัวของหลิงอ๋องก็แย้มยิ้มแล้วเดินเข้ามา “คุณหนูรอง เตรียมของเสร็จหรือยังเจ้าคะ ตอนนี้ก็สายมากแล้ว ท่านควรออกนอกเมืองเสียเร็วหน่อย มิเช่นนั้นจะไม่ปลอดภัย เมื่อไปถึงที่นั่นแล้วก็คงถึงเวลาอ่านอาหารเย็นพอดี”
“เตรียมเสร็จแล้วล่ะแม่นม” อวี้อาเหราพยักหน้า
เมื่อมองไปทางด้านหลังของนาง ก็เห็นหลิงอ๋องกำลังยืนอยู่ด้านนอก นางส่งสายตาไปทางเมี่ยวอวี้และเจาเอ๋อร์ ให้พวกนางถือของตามหลังมา แล้วทำความเคารพหลิงอ๋องที่อยู่ด้านนอก “ลูกถวายบังคมเสด็จพ่อ วันนี้ทำให้เสด็จพ่อไม่สบายพระทัย เป็นลูกที่ผิดไปแล้วเพคะ”
“ช่างเถิด เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว” หลิงอ๋องยิ้มขมขื่น โบกมือ แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจังขึ้นมา “เรือนพักตากอากาศไม่เหมือนจวนบ้านเรา เจ้าต้องทำตัวดีๆ อย่าได้ล้มป่วยไป หากไม่คุ้นเคย ก็ให้คนมารายงาน พ่อจะส่งคนไปรับเจ้ากลับมา”
“เพคะ ลูกเข้าใจแล้ว ขอให้เสด็จพ่อโปรดวางพระทัย” สายตาของอวี้อาเหราเปียกซึมขึ้นมา หลิงอ๋องยังคงรักใคร่เอ็นดูนางซึ่งเป็นลูกสาวอยู่ ชีวิตของนางที่ผ่านมานี้ จะมีเรื่องใดที่ไม่สบายอีกหรือ เมื่อได้ยินหลิงอ๋องว่าเช่นนี้ นางจึงจำต้องรับคำแต่โดยดี
น่าเสียดายนัก ที่นางไม่รู้ว่าตัวจริงของคุณหนูรองหลิงเป็นเช่นไร
สถานะนี้เป็นของนาง ไม่ช้าก็เร็วก็คงต้องกลับคืนสู่เจ้าของ หากหลิงอ๋องทราบว่าหญิงตรงหน้าไม่ใช่ลูกสาวแท้ๆ ของตัวเอง ไม่รู้ว่าจะปวดใจเพียงใด หลังจากที่คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย นางก็หยุดความคิดทั้งหมดลง
หลิงอ๋องเดินนำนางไปที่หน้าประตู เมื่อมาถึงแล้ว ก็ให้พวกของชิงอวิ๋นตามไปคุ้มกันด้วย
อวี้อาเหราไม่ได้ปฏิเสธ หากไม่พาพวกเขาไปด้วย หลิงอ๋องก็คงไม่วางใจปล่อยให้นางออกไปอยู่ที่เรือนพักตากอากาศโดยลำพัง นางต้องยอมรับ อีกอย่าง อาจจะมีคนที่ต้องการชีวิตของนาง เอาคนไปช่วยคุ้มกันเสียบ้างก็คงไม่เสียหาย
เมื่อขึ้นบนรถ ฝุ่นฟุ้งตลบ
ขับเคลื่อนโขยกไปยังเรือนพักตากอากาศนอกเมือง
เรือนพักตากอากาศแห่งนี้มีความงดงามหรูหราเป็นอย่างมาก เป็นเรือนพักโบราณที่ตั้งอยู่อย่างอิสระ แม้ว่าจะไม่ได้ดีพร้อมเท่ากับจวนหลิงอ๋อง แต่สำหรับนางแล้ว สถานที่แห่งนี้ไม่ได้คับแคบเลย อย่างไรก็ดีกว่านอนอยู่ในป่ารกร้างเสียตั้งมาก
เมื่อเข้ามาด้านในแล้ว ก็เก็บของทำความสะอาด ท้องฟ้าก็มืดครึ้มลงเสียแล้ว
หลังจากทานอาหารเย็น ก็นอนหลับไปจนฟ้าสาง อวี้อาเหราเป็นคนที่กลมกลืนกับสถานที่แปลกๆ ได้ง่าย นางจึงไม่มีอาการนอนไม่หลับจากการแปลกที่นอนเลย
เช้าวันต่อมา เจาเอ๋อร์เห็นนางตื่นเช้าถึงเพียงนี้ก็ตกใจ
อวี้อาเหราเบื่อหน่าย “เจ้ามองข้าทำไม”
“คุณหนู ท่านจะทำอะไรเจ้าคะ” เจาเอ๋อร์ถามขึ้นอย่างแปลกใจ
“กินข้าวเช้าน่ะสิ” อวี้อาเหราว่า
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว…”
ท่านตื่นมาทำไมแต่เช้าเล่า? ก่อนหน้านี้ หากตะวันไม่ขึ้นจนสายโด่ง นางก็ไม่ยอมตื่น เห็นทีวันนี้ดวงตะวันจะขึ้นทางทิศตะวันตกเสียแล้วกระมัง
ที่อวี้อาเหราตื่นเช้านั้น แน่นอนว่าต้องมีเหตุผล แต่เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าเหตุผลนี้นางไม่อาจบอกเจาเอ๋อร์ได้
เจาเอ๋อร์เองก็ไม่ได้ถาม ยังคงเตรียมอาหารเช้าต่อไป
หลังจากกินโจ๊กแล้ว ก็เห็นว่ามีเพียงเจาเอ๋อร์คนเดียวที่วุ่นๆ อยู่ จึงอดไม่ได้ที่จะถามด้วยความสงสัย “เมี่ยวอวี้ไปไหนแล้วเล่า”
“อ้อ ก่อนหน้าที่จะมาที่นี่ ท่านอ๋องมีคำสั่งต่อนาง เพราะกลัวว่าคุณหนูอยู่ที่นี่จะไม่สะดวกสบายและจะหนีออกไปเที่ยวเล่นข้างนอก ดังนั้นจึงให้เมี่ยวอวี้ไปรายงานต่อท่านที่จวนทุกเช้าเจ้าค่ะ” เจาเอ๋อร์เอ่ยอย่างระมัดระวัง ราวกับกลัวว่าอวี้อาเหราจะโกรธ
ตอนที่ 668 เยี่ยมเยือน
อวี้อาเหราฟังแล้วก็จำได้ ไม่ได้โกรธอะไร หลิงอ๋องเพียงเป็นห่วงนางเท่านั้น นางเข้าใจดี
เมื่อทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้ว มองไปด้านนอกเห็นหิมะปลิวว่อน ทันใดนั้นความเบิกบานก็แผ่ซ่านเต็มหัวใจ นางหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ข้างนอกนี้บรรยากาศดีกว่าในจวนยิ่งนัก อากาศสดชื่นกว่ามาก ผ่านไปชั่วครู่เจาเอ๋อร์ที่เก็บกวาดถ้วยชามตะเกียบเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้ามา เมื่อเห็นนางหลับตา ก็สงสัยขึ้น
“คุณหนู ท่านทำอะไรน่ะเจ้าคะ”
“ไม่มีอะไรนี่”
อวี้อาเหราส่ายหน้า มองไปที่หิมะด้านนอก ยามนั้นหิมะไม่ได้ตกหนักมากนัก เพียงปลิวบางๆ อยู่บนท้องฟ้า เพราะเมื่อคืนก่อนนั้นมีหิมะตก ทั่วทุกบริเวณกลายเป็นสีเงินยวงครอบเอาไว้ คงไม่มีสถานที่ให้เที่ยวเตร่หรอกกระมัง
คงเป็นเพราะเหตุนี้ หลิงอ๋องจึงยอมปล่อยให้นางอยู่นอกจวนอย่างสบายใจ
แม้ว่านางจะอยากออกไปไหนก็คงไม่มีหนทาง เพราะมีหิมะกั้นอยู่ และนางยิ่งเป็นคนไม่ชอบความหนาวและไม่ชอบความยุ่งยาก นางยอมที่จะอยู่ในห้องอุ่นๆ เสียยังดีกว่า ไหนเลยจะอยากออกไปไหนได้
ยามที่กำลังมองอย่างลังเล ด้านนอกก็บังเกิดเสียงขึ้น “โอ้ เรือนหลังนี้อุ่นสบายยิ่งนัก”
ฉู่เกอก้าวเข้ามา มือเท้าหนาวเย็นเสียจนสั่นเทา นางพยายามที่จะถูมือทั้งสองเข้าด้วยกัน
เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว ความอบอุ่นก็แผ่กลบความเหน็บหนาวไปเสียหมด นางสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ
“พวกเจ้า…” อวี้อาเหรามองออกไป ยามที่กำลังจะเอ่ยปาก คนสองสามคนเดินตามหลังมา
ผู้ที่เดินนำหน้าเป็นชายหนุ่มที่สวมชุดสีขาว สวมเสื้อคลุมขนสัตว์คลุมกาย ดูแล้วช่างอุ่นสบายนัก มุมปากของเขาเหยียดออก น้องสาวของตัวเองหนาวถึงเพียงนั้นก็ไม่ยี่หระ เป็นพี่ชายที่จิตใจแปลกประหลาดนัก
นางเคลื่อนสายตาไปจากฉู่ป๋าย แล้วหันไปมองอวี้จื้อ เขาสวมเสื้อผ้ามากชิ้น พันทบกันหลายชั้นราวกับคลุมทั่วทั้งเนื้อตัว สองแก้มยังถูกลมหนาวพัดจนแดงก่ำ คิดว่าคงเป็นเพราะอนุรองเป็นห่วงเขานั่นเอง กลัวว่าเขาจะหนาว จึงสวมเสื้อผ้าให้หลายชั้นถึงเพียงนี้
เด็กที่มีแม่ก็ดีเช่นนี้
เมื่อมองไปทางคนที่อยู่ด้านหลังที่หนาวเสียจนต้องกอดตัวเอง สวมเสื้อผ้าบางๆ บนร่าง เมื่อก้าวเข้ามาในห้องก็ไม่วายจะบ่นว่า “อากาศบ้านี่ ไม่คิดเลยว่าด้านนอกจะหนาวถึงเพียงนี้ เสด็จพ่อโกหกข้าแล้วที่บอกว่าข้างนอกไม่หนาว จนข้าสวมเสื้อผ้าบางๆ เช่นนี้ หนาวจนจะตายเสียอยู่แล้ว”
ที่แท้ก็เป็นหนานหยางอ๋องที่ตั้งใจทำเช่นนี้
ในใจของอวี้อาเหราอยากจะหัวเราะ มุมปากของนางก็เหยียดออกเป็นรอยยิ้ม
หนานหยางอ๋องผู้นี้ช่างน่าขันนัก แม้แต่ลูกชายแท้ๆ ของตัวเองก็ยังหลอกเล่นได้ เมื่อเห็นดังนั้น ฉู่ป๋ายยังมีความเป็นพี่ชายที่สมเหตุสมผลเลยทีเดียว ใจของนางคิดดังนี้ก็หันไปทางเจาเอ๋อร์ “ไปต้มน้ำชาร้อนๆ มาให้ท่านอ๋องน้อยเร็วเข้า และรีบไปหยิบเสื้อมาด้วย มิเช่นนั้นคงจะหนาวเสียจนล้มป่วยแน่ แล้วคนจะเอาไปพูดว่าคนของจวนหลิงอ๋องรังแกท่านได้”
“เจ้าค่ะ” มุมปากของเจาเอ๋อร์แฝงรอยยิ้ม ทำตามที่นางสั่ง
อวี้อาเหรามองไปทางพวกเขา “พวกเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”
ก่อนอื่น ริมฝีปากของฉู่เกอก็แย้มออกมาเป็นรอยยิ้ม “พี่เหราเอ๋อร์ ได้ยินมาว่าเมื่อวานนี้ที่จวนหลิงอ๋องเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น จนท่านถูกไล่มาอยู่ที่นี่ ข้าอยู่ในจวนก็นึกเบื่อ ดังนั้นจึงมาหาท่านที่นี่ ไม่คิดว่าที่นี่จะน่าอยู่เหลือเกิน ไม่เห็นเหมือนโดนลงโทษอยู่เลยแม้แต่น้อย”
“คนข้างนอกพูดกันเช่นนี้หรือ เจ้าก็เชื่อหรืออย่างไร?” อวี้อาเหราว่าเสียงเยาะ
“จะว่าไปก็ใช่อยู่หรอก” ฉู่เกอพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
สายตาของอวี้อาเหรามองไปยังร่างของอวี้จื้ออีกครั้ง แล้วเอ่ยขึ้นด้วยแววขี้เล่น “จื้อเอ๋อร์ เจ้าสวมเสื้อผ้าหนาเช่นนี้ ทำไมจึงไม่มอบให้จวินอู๋เหินสวมสักตัวเล่า เขาแทบจะหนาวตายเหมือนสุนัขเสียแล้ว จวนหลิงอ๋องของเรานั้นล้วนแล้วแต่มีจิตใจเมตตา ควรจะเอื้อเฟื้อให้เขาบ้างสิ”