ตอนที่ 669 จำเอาไว้ / ตอนที่ 670 อยากไปด้วย

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 669 จำเอาไว้ 

 

 

“พี่รองพูดถูกแล้ว เป็นเพราะข้าไม่รอบคอบ จะจำเอาไว้ขอรับ” อวี้จื้อกลั้นยิ้ม 

 

 

“อาเหรา เจ้าว่าใครเป็นสุนัขกัน!” จวินอู๋เหินโกรธขึ้นมา 

 

 

“ไม่ได้ว่าเจ้า อย่าตีโพยตีพายไปหน่อยเลยน่า” ตีให้ตายอวี้อาเหราก็ไม่ยอมรับ นางทำเพียงแอบหัวเราะเท่านั้นก็พอใจแล้ว 

 

 

จวินอู๋เหินไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ทำได้แต่เพียงส่งเสียงฟึดฟัดเท่านั้น 

 

 

อวี้อาเหราหัวเราะ 

 

 

เจาเอ๋อร์ชงชาเข้ามา แล้ววางถ้วยชาเอาไว้ตรงหน้าทุกคน 

 

 

อวี้อาเหราดื่มชา เม้มริมฝีปาก แล้วเอ่ยถามว่า “นี่มันชาอะไรกัน หอมเหลือเกิน ไม่เคยดื่มมาก่อนเลย” 

 

 

เมื่อพูดจบ ก็ก้มหน้าลงแกว่งถ้วยชาในมือ น้ำชาสีเขียวมรกตเหมือนกับสระน้ำลึกที่มีเงากระเพื่อม สวยงามยิ่งนัก นางเหลือบมองอย่างช่วยไม่ได้ แล้วดื่มลงไป ชานี้ เป็นชาดีอย่างไม่ต้องสงสัยเลย 

 

 

ฉู่เกอได้ยินนางพูดเช่นนี้ นางก็ลองจิบ จากนั้นก็เอ่ยชม “ไม่เวลาเลยจริงๆ ชาดีแบบที่ยากจะหาได้” 

 

 

เจาเอ๋อร์ยิ้มแล้วตอบคำ “คุณหนู นี่คือชาที่ท่านอ๋องให้บ่านำมาชงให้ท่านดื่มโดยเฉพาะ ชานี้ไม่เพียงหอมมากเท่านั้น ทว่ายังอร่อยมากอีกด้วย มีผลช่วยในเรื่องป้องกันอากาศหนาวเย็น เป็นชาบรรณาการที่ได้รับพระราชทานมา แม้จะมีเงินก็ไม่อาจจะซื้อได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นของหายากยิ่งนัก น่าเสียดายที่มีอยู่ไม่มาก ส่วนใหญ่ท่านอ๋องมอบให้ท่าน และมีบางส่วนเหลืออยู่ที่จวนน่ะเจ้าค่ะ” 

 

 

เมื่อได้ยินเจาเอ๋อร์ว่าเช่นนี้ ฉู่เกอก็เอ่ยชมขึ้นมาอีกว่า ชาชนิดนี้ช่างล้ำค่าเสียเหลือเกิน 

 

 

อวี้อาเหราดื่มไปอีกหนึ่งอึก ในใจก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมาก 

 

 

จวินอู๋เหินจ้องมองชาในมือนิ่งๆ จากนั้นก็เอ่ยขึ้นอย่างเกินจริงว่า “ในเมื่อเป็นของล้ำค่าและหายาก เราคงต้องดื่มให้มากหน่อย อาเหรา เมื่อวันก่อนเจ้าโกงเงินข้าไปมาก วันนี้ข้าจะดื่มเสียให้พอเชียว” 

 

 

“เจ้านี่ช่าง…” อวี้อาเหราไม่รู้ว่าจะตอบเขาเช่นไร “ข้าเอาเงินเจ้ามาเพียงห้าสิบตำลึงเท่านั้น หากเจ้าคิดเจ้าแค้นเพียงนี้ รู้เช่นนี้ก็ไม่ควรเอาเงินเจ้ามาแค่ห้าสิบตำลึงหรอก ช่างน้อยเกินไป ก่อนหน้านี้ยังไม่ได้เรียกเงินคืนมาจากหอจุ้ยเซียนเลย เหตุใดถึงมาคิดเงินกับข้าได้เล่า ควรจะไปเรียกเงินคืนกับเกอเอ๋อร์เสียมากกว่า เงินที่นางโกงมาจากเจ้านั้น ข้าสู้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย” 

 

 

“ข้าก็แค่เก็บเงินแทนท่านเท่านั้น มิเช่นนั้นก็จะเอาไปจ่ายเป็นเงินค่าเหล้าไปเสียหมด” ฉู่เกอแจกแจงออกมา 

 

 

จวินอู๋เหินกัดฟัน “พวกเจ้าเพียงมากินแล้วก็จากไปเท่านั้น ค่าเหล้าค่าอาหารเหล่านั้นเป็นข้าต่างหากเล่าที่ต้องจ่ายน่ะ” 

 

 

อวี้อาเหรารู้สึกแปลกใจนัก “เป็นเจ้าจ่ายเองหรือ?” 

 

 

“จะไม่ใช่ได้อย่างไร” จวินอู๋เหินว่า 

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ ฉู่เกอผู้นี้ช่าง… 

 

 

ล้อจวินอู๋เหินเล่นเสียจนไม่มีดี มิน่าเล่าเขาจึงจดจำความแค้นเช่นนี้เอาไว้ตลอดมา 

 

 

ที่แท้เรื่องก็เป็นเช่นนี้เอง 

 

 

“ตอนนั้นข้าลืมไปแล้วนี่ พวกเราไม่จำเป็นต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกแล้ว พูดไปก็ไม่เห็นจะมีประโยชน์” เมื่อฉู่เกอเห็นว่ากำลังจะเสียเปรียบ นางก็รีบยิ้มแย้มพลางเปลี่ยนเรื่อง 

 

 

สำหรับคนอย่างพวกเขาแล้ว การเสียเงินสองสามร้อยตำลึงไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เรียกได้ว่าเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว ทว่าจวินอู๋เหินนั้นไม่ยอม ถูกแกล้งก็เป็นอีกเรื่อง ทว่าเขาเถียงอย่างไรก็แพ้เช่นนี้ จะไปวางใจได้อย่างไรกัน 

 

 

แต่เมื่อเห็นฉู่เกอต้องการที่จะพูดเรื่องอื่น เขาก็ไม่อาจเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้อีก 

 

 

ถือเสียว่าเลี้ยงอาหารนางก็แล้วกัน  

 

 

เมื่อคิดเช่นนั้น ก็รู้สึกดีขึ้นมาก  

 

 

“ใช่แล้วพี่เหราเอ๋อร์ เมื่อวานนี้ท่านพูดเรื่องพระอารามจีซูมิใช่หรือ ที่นั่นเป็นสถานที่เช่นไรกันแน่เล่า” ฉู่เกอนึกถึงเรื่องเมื่อวานนี้ จึงถือโอกาสพูดขึ้นมาเสียเลย ดวงตาของนางเป็นประกายเมื่อพูดเรื่องนี้ 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 670 อยากไปด้วย 

 

 

“เขายังไม่ได้บอกเจ้าหรือ?” อวี้อาเหราว่า แล้วพยักหน้าไปทางฉู่ป๋าย 

 

 

คนที่อยู่ในห้องนี้ ผู้ที่รู้เรื่องพระอารามจีซูดีที่สุดก็มีเพียงฉู่ป๋ายเท่านั้น ทว่าฉู่เกอก็ยังคงรบเร้าถามขึ้นมาอยู่นั่นเอง 

 

 

ฉู่เกอทำปากคว่ำด้วยโดนขัดใจ “ข้าเพียงถามเท่านั้น แต่เขาขี้เกียจพูดกับข้าให้มากความน่ะ จึงต้องมาถามพี่เหราเช่นนี้” 

 

 

“แล้วก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยได้ยินคนด้านนอกคุยกันหรืออย่างไร จะมาถามข้าทำไมเล่า” 

 

 

เมื่อคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ที่จวนเซิ่นอ๋อง นางก็ก้มหน้าลง ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ นางก็จ้องหน้าฉู่ป๋ายอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อวานนี้นางเสียรู้ให้กับฉู่ป๋ายไปแล้ว กลายเป็นผู้ที่เข้าไปจูบเขาเสีย ไม่รู้ว่าฉู่เกอเห็นเข้าหรือไม่ ช่างน่าขายหน้ายิ่งนัก! 

 

 

ฉู่เกอไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น และไม่ได้สังเกตว่าจิตใจของนางไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางพูดขึ้นมาว่า “เมื่อวานนี้ ยามที่ข้าได้ยินท่านพูดเรื่องพระอารามจีซู จากนั้นก็ไม่ค่อยได้ยินอะไร ที่นั่นเป็นเช่นไรหรือ ข้าก็ถามไม่ได้หรือ” 

 

 

“ไม่รู้สิ ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน” อวี้อาเหราส่ายหน้าอย่างสับสน 

 

 

สถานที่ที่หายากถึงเพียงนั้น แน่นอนว่าก็คงจะเชื่อถือได้บ้าง แต่ก็ไม่อาจพูดได้อย่างมั่นใจว่ามันเป็นเรื่องจริงอย่างเต็มร้อย เพราะนางก็ยังไม่เคยไปเลย 

 

 

ฉู่เกอเลิกคิ้วแล้วก็หัวเราะออกมา “พี่เหราเอ๋อร์ ถ้าอย่างนั้น พวกเราลองไปกันไหมเล่า” 

 

 

“ลองไปหรือ?” อวี้อาเหราชะงัก จิตใจสั่นไหวขึ้นมา นางก็อยากจะไปที่นั่นจริงๆ แต่หากไปกันหลายคนเช่นนี้คงไม่ค่อยสะดวกนัก ทว่าประโยชน์ของมันก็คือ หากมีฉู่เกอ ฉู่ป๋ายก็คงต้องตามไปด้วย หากมีเขาอยู่ เรื่องที่จะค้นพระอารามจีซูให้พบก็คงไม่ใช่เรื่องใหญ่ นางกลัวแต่จะมีคนขัดแข้งขัดขา เอาแต่ถามเรื่องของนาง… 

 

 

“ใช่แล้ว!” ฉู่เกอไม่ต้องรอให้อวี้อาเหราต้องพูดอะไรอีก ก็รีบหันไปหาฉู่ป๋ายในทันที “ท่านพี่ พวกเราก็ลองไปดูด้วยดีหรือไม่” 

 

 

นางไม่ค่อยเรียกเขาว่าพี่หรอก แต่หากเรียก แน่นอนว่าคงจะต้องอ้อนเอาอะไรเป็นพิเศษแน่ 

 

 

ฉู่ป๋ายเลิกคิ้วขึ้นสูงตามแบบที่นางทำ “เจ้าจะตามไปที่นั่นทำไมกัน” 

 

 

“เพื่อประสบการณ์สดใหม่น่ะสิ ข้าได้ยินเรื่องลี้ลับของพระอารามจีซูมาตลอด ดังนั้นจึงอยากจะลองไปดู และยังสามารถถามคำถามอะไรก็ได้มิใช่หรือ ท่านพี่ หากท่านพี่อยากจะถามอะไรก็ย่อมได้ ข้าไม่เชื่อว่าท่านพี่จะไม่มีเรื่องอะไรที่จะถาม” ฉู่เกอเท้าเอว เอียงคอแล้วว่าขึ้น 

 

 

ทว่า มุมปากของฉู่ป๋ายโค้งขึ้นอย่างเย็นชา “เจ้าพูดถูก ข้าไม่มีเรื่องอะไรที่จะถามเลย” 

 

 

“…” ใจของฉู่เกอกระตุก พูดให้มันดีๆ หน่อยเขาจะตายหรืออย่างไรกัน 

 

 

เมื่อคิดอยู่สักครู่ ก้าวเข้าไปหาฉู่ป๋ายสองก้าว ยิ้มเบาราวกับกำลังชี้แนะ “ท่านไม่อยากถาม แต่พี่เหราเอ๋อร์คงมีเรื่องที่จะถาม ท่านไปกับพวกเราเถิดหากท่านไม่ไปด้วย พระอารามจีซูแห่งนั้นคงจะกลายเป็นของหายากเลยทีเดียว” 

 

 

“ข้าบอกตอนไหนว่าจะไป?” อวี้อาเหรายังคงไม่ยอมรับ 

 

 

“โอย พี่เหราเอ๋อร์ อย่าเสแสร้งอีกเลยน่า ข้ารู้ว่าท่านอยากไปแน่ มิเช่นนั้นจะถามเสียละเอียเช่นนี้ไปทำไม พวกเราก็ล้วนรู้ดี จะแกล้งโง่ไปให้ได้อะไรเล่า” ฉู่เกอหัวเราะเกินจริง 

 

 

แม้ว่าคำพูดของนางจะฟังดูเหมือนล้อเล่นเสียมาก แต่ทุกคำที่พูดของมานั้นกลับไม่อาจตอบโต้ได้เลย 

 

 

อวี้อาเหราพูดไม่ออก จำต้องปิดปากเอาไว้ ยืนอยู่ข้างๆ ไม่พูดไม่จา 

 

 

ทุกคนล้วนมองมายังฉู่ป๋ายเพื่อรอให้เขาพูดออกมา สายตาอยากรู้อยากเห็นกระจายไปทั่วทุกที่ 

 

 

ในยามนั้น จวินอู๋เหินก็หัวเราะขึ้นมา เสียงหัวเราะของเขาดังขึ้นมาห้องที่เงียบงัน ราวกับเสียงก้อนหินตกลงไปในสระน้ำที่เรียบนิ่ง