ตอนที่ 610 ต้องชอบเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
เมื่อตอนกลางวันมั่วไป๋ดื่มนมไปแล้วแก้วหนึ่ง นี่ยังหิวอยู่ไม่เบาจริงๆ ไป๋จิ่งวิ่งไปต้มมะกะโรนีให้เขาชามหนึ่ง
มั่วไป๋กินมะกะโรนีนั่งขัดสมาธิอยู่บนเก้าอี้ ไป๋จิ่งมองเขาอยู่ข้างๆ
มั่วไป๋ถูกเขามองจนไม่รู้ว่าจะถือตะเกียบอย่างไรแล้ว เสียงต่ำอดจะเอ่ยขึ้นไม่ได้ “ฉันกินข้าวอยู่นายก็อยากดูด้วยเหรอ”
ไป๋จิ่งพยักหน้าทันที “ขอเพียงแต่เป็นคุณ ผมก็อยากดูทั้งนั้น”
มั่วไป๋ถอนหายใจด้วยความจนใจ ปล่อยให้เขามอง
หลังจากกินมะกะโรนีเสร็จ ทั้งสองคนก็ไม่อยากขยับตัว ไป๋จิ่งลากตัวคนขึ้นไปชั้นบนห้องเรือนกระจก เวลาแสงแดดอุ่นกำลังดีๆ
ทั้งสองคนเอนหลังอยู่บนเก้าอี้ แอบแสงแดดไปพลาง พูดคุยกันไปพลาง
แน่นอนว่าเวลาส่วนใหญ่จะเป็นไป๋จิ่งที่พูดเองเออเองอยู่คนเดียว มั่วไป๋หรี่ตาลงอยู่ตรงนั้นตลอด
ถึงแม้ว่าจะนอนกันมาค่อนวัน แต่ก็ยังรู้สึกว่าพละกำลังของตัวเองยังไม่ชดเชยกลับมา รอเวลาผ่านไปสักพักต้องออกกำลังกายดีๆ แล้วจริงๆ
ถ้าไม่อย่างนั้นแบบนี้จะดูอ่อนแอเกินไป
เมื่อก่อนเพราะว่าป่วย เขาก็ยังครุ่นคิดอยู่บ้าง แต่ตอนนี้อาการป่วยเขาดีแล้ว ไม่มีอะไรต้องให้คำนึงถึงแล้ว
“มั่วไป๋”
“อืม” เขาหรี่ตาลง เอ่ยขานรับ
“ผมโทรหาแม่ผมแล้ว ท่านถามว่าพวกเราจะไปเมื่อไหร่”
มั่วไป๋ลืมตาขึ้น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ไป๋จิ่งเห็นเขาเงียบงัน จึงตื่นตระหนกไปชั่วขณะ
มั่วไป๋คิดถึงลี่เจิน ตอนนี้ตัวเองกับไป๋จิ่งคบกันแล้ว ที่จริงก็ควรจะไปพบหน้าลี่เจินแล้ว
“ได้ นายกำหนดเวลาได้ก็บอกฉันแล้วกัน”
เขารับปากไปตรงๆ
ในใจไป๋จิ่งดีใจเบิกบาน “แม่ผมท่านชอบคุณ ชอบมากกว่าผมเยอะมาก ผมยังสงสัยเลยว่าผมใช่ลูกแท้ๆ ของท่านหรือเปล่า”
มั่วไป๋ยิ้มหัวเราะเบาๆ “ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้นายไม่น่าดึงดูดคนให้ชอบล่ะ”
ไป๋จิ่งคลอเคลียไปกับใบหน้าเขา “งั้นคุณชอบไหม”
มั่วไป๋คร้านจะสนใจเขา
เจ้าหมอนี้รู้อยู่แล้วยังจงใจถาม เขาไม่อยากจะตอบคำถามเด็กไม่รู้จักโตแบบนี้
มั่วไป๋ไม่พูดจา ไป๋จิ่งก็เอาแต่คลอเคลีย “คุณยังไม่พูดเลย คุณชอบหรือไม่ชอบ”
โดนถามจนใจเย็นไม่อยู่แล้ว มั่วไป๋ถลึงตาใส่เขา “ไป๋จิ่ง นายไม่เบื่อบ้างหรือไง”
“คุณพูดมาก่อนสิ คุณชอบหรือเปล่า”
มั่วไป๋เอียงหน้า ‘ผู้ชายโตๆ แล้วคนหนึ่งจะมาเอาคำว่า ‘ชอบ’ คำว่า ‘รัก’ แขนไว้ที่ปากจนรวมเป็นเนื้อเดียวกันทุกวันเพื่ออะไร’
เขาเบนหน้าหนีไม่คิดจะพูดจา
ไป๋จิ่งเองก็ไม่ถอดใจ เขาเอื้อมมือไปกอดมั่วไป๋พลางเอ่ยเสียงต่ำ “คุณไม่พูด งั้นผมพูดเอง”
เขาจูบใบหูของมั่วไป๋ เอ่ยย้ำๆ ซ้ำๆ “ผมไป๋จิ่งชอบคุณมาก…
…ชอบมากๆๆๆ…
…ชอบเป็นพิเศษ”
เขาพูดเสียงเล็กมาก แต่อยู่ข้างใบหูของมั่วไป๋พอดี ฟังดูแล้วชัดเจนเป็นพิเศษ
มั่วไป๋รู้สึกว่าใบหูของตัวเองเหมือนถูกไฟร้อนแผดเผาอย่างไรอย่างนั้น ร้อนผ่าวไม่หยุด
ทันใดนั้นเขาก็เอื้อมมือไปปิดปากไป๋จิ่งไว้
“นายเก็บอาการสักหน่อยจะได้ไหม”
ไป๋จิ่งหัวเราะแหะๆ ขบกัดฝ่ามือมั่วไป๋เบาๆ
มือมั่วไป๋สั่นสะท้าน รีบหดมือกลับทันที ไป๋จิ่งมองเขาด้วยสีหน้าจริงจัง “สำหรับคุณแล้วผมจะเก็บอาการขนาดนั้นไปเพื่ออะไร”
นี่คือคนที่เขาไป๋จิ่งชอบ คนที่อยากอยู่เคียงข้างไปตลอดชีวิต เขามีอะไรให้น่าเก็บอาการกัน
เห็นมั่วไป๋ทำอะไรเขาไม่ได้ ไป๋จิ่งก็โน้มตัวเข้าไปใกล้อีก “ผมชอบคุณขนาดนี้ แล้วคุณล่ะ คุณชอบผมไหม”
ซ้ายว่าชอบ ขวาว่าชอบ ดังวนไปเวียนมาอยู่ข้างหูเขาไม่หยุด ไป๋จิ่งทำเสียงจนเขาเวียนหัว จึงเอ่ยขานรับไปอย่างไม่เต็มใจนัก “อืม”
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พูดอย่างเป็นทางการว่าชอบ แต่กลับเป็นการตอบคำถามสุดท้ายของไป๋จิ่งแล้ว
‘อืม’ แปลว่า ‘ชอบ’
ไป๋จิ่งดีใจจนไม่ไหว กอดรับกดจูบอย่างหนักหน่วงไปทีหนึ่ง
ทำเอาใบหน้ามั่วไป๋แดงจัด
มั่วไป๋มองไปข้างนอก ยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยความขบขัน เขาชอบคนคนนี้มาหลายปีแล้ว
ความชอบนี้ไม่เคยหยุดมาแต่ไหนแต่ไร
มีหรือจะพูดว่าไม่ชอบ
ต้องชอบเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
ตอนที่ 611 ฟู่เหยี่ยนกับซังจิ่ง (ตอนพิเศษ)
วันนั้นที่เจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนแต่งงานกัน ซังจิ่งกับฟู่เหยี่ยนยืนอยู่นอกประตู
เพียงแต่ว่าทั้งสองคนไม่มีใครเข้าไป นอกจากพวกเขาแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขามาที่นี่
ตอนที่เจียงมู่เฉินหนีไปกับซือเหยี่ยน ซังจิ่งสร้างภาพลวงตา ฟู่เหยี่ยนเชื่อจริงๆ ว่าเจียงมู่เฉินตายแล้ว
ครั้งที่สองที่ได้ยินว่าคนคนนั้นตายแล้ว ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานแบบนั้นไม่มีใครเข้าใจได้ทะลุปรุโปร่งเท่าฟู่เหยี่ยนอีกแล้ว
เขาเริ่มจากเกลียดชังไปจนถึงชอบ แล้วสุดท้ายก็ไปจนถึงสิ้นหวังกับเจียงมู่เฉิน
ตั้งแต่ออกจากเกาะเล็กครั้งนั้น ฟู่เหยี่ยนคิดว่าเจียงมู่เฉินตายไปแล้วจริงๆ
แต่กลับคิดไม่ถึงว่าเจียงมู่เฉินคนที่เขาคิดว่าตายแล้วจะขอซือเหยี่ยนแต่งงานต่อหน้าผู้คนมากมายได้
เวลานั้นฟู่เหยี่ยนถึงได้รู้ว่าว่าวที่เขาอยากจะกำไว้ในมือมาตลอด ล่องลอยไปหาคนอื่นไปตั้งนานแล้ว
ต่อให้เขาทุ่มเทกำสุดกำลัง สายว่าวก็ยังขาดอยู่ดี
วันนั้นเจียงมู่เฉินในงานแถลงข่าวดูองอาจสง่าผ่าเผย แววตาที่มองซือเหยี่ยนลึกซึ้งจนทำให้เขาไม่กล้ามองไปตรงๆ
ฟู่เหยี่ยนไม่เคยเห็นเจียงมู่เฉินในมาดแบบนั้นมาก่อน ช่างแตกต่างกับมาดเย่อหยิ่งที่เคยเป็นมาราวฟ้ากับดิน
แล้วก็เป็นนาทีนั้นเอง ฟู่เหยี่ยนถึงได้เข้าใจได้อย่างถ่องแท้
‘เจียงมู่เฉินไม่ใช่ของเขา ไม่มีวันจะเป็นของเขาได้!’
เขาแพ้แล้ว แต่กลับไม่ได้แพ้ให้ซือเหยี่ยน เขาแพ้ให้เจียงมู่เฉินแล้วต่างหาก
ตอนนั้นเขาแพ้ให้เจียงมู่เฉินตั้งหลายครั้งขนาดนั้น ไม่มีครั้งไหนที่ยอมหมดใจ แต่มีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นที่เขาแพ้อย่างหมดรูป ไม่อยากจะสู้รบเอาชนะกับเจียงมู่เฉินอีกแล้ว
เขาเป็นผู้สืบทอดของตระกูลฟู่ เป็นคุณชายใหญ่ผู้นำของตระกูลฟู่เพียงผู้เดียว
ขอเพียงแต่เขาต้องการ มีคนมากมายแก่งแย่งชิงดีมุ่งหน้ามาหาเขา เขาอยากได้คนแบบไหนก็มีได้ทั้งนั้น
เพียงแต่…
คนพวกนั้นต่างก็ไม่ใช่เจียงมู่เฉิน
เจียงมู่เฉินในชุดสูทสีดำยืนอยู่ในโบสถ์ ชุดสูททำให้ร่างกายสูงเพรียวของเขาเผยความมีชีวิตวาออกมา
เจียงมู่เฉินในวันนี้ดูหล่อเหลากว่าแต่ก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย ดึงดูดสายตาจนใจละลาย
เขายืนอยู่ต่อหน้าซือเหยี่ยน ริมฝีปากทั้งสองคนแต่งแต้มรอยยิ้ม ในมือสวมแหวนแบบเดียวกัน แหวนวงนั้นส่องแสงระยิบระยับภายใต้แสงไฟ
ฟู่เหยี่ยนหลับตาลง หันหลังกลับเดินออกไปทันทีหลังจากนั้น
ฟู่เหยี่ยนมองเห็นเจียงมู่เฉินกับซือเหยี่ยนแต่งงานกันกับตาของตัวเอง ทุกอย่างจบสิ้นแล้ว เขาก็ควรจะตัดใจให้ถึงที่สุดได้แล้ว
ฟู่เหยี่ยนยกยิ้มมุมปากขึ้น ถึงแม้ว่าไม่อยากจะเห็นฉากนี้จริงๆ แต่ว่า…
‘นายแม่งถ้าไม่มีความสุขนะ’ เขาต้องเปิดขวดไวน์แดงฉลองแล้ว
‘ใครใช้ให้เจียงมู่เฉินเจ้าหมอนี่มีตาหามีแววไม่ เลือกซือเหยี่ยน ไม่เลือกเขา…
…ช่างเถอะ ช่างเถอะ คนเก่งยอดเยี่ยมขนาดนี้อย่างเขา เจียงมู่เฉินไม่ได้เลือกคือความสูญเสียของเขา’
ถึงอย่างไรไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าซือเหยี่ยนกล้าจะทำไม่ดีกับเจียงมู่เฉิน เขารับประกันว่าจะลงมือทำลายซือเหยี่ยนให้ตายเอง
……
ซังจิ่งมองดูฟู่เหยี่ยนค่อยๆ เดินจากไปอย่างช้าๆ สายตาของเขาก็จดจ่อที่ใบหน้างามละเอียดได้รูปของเจียงมู่เฉิน
เดิมทีเขาอยากหลอกใช้เจียงมู่เฉิน
แต่กลับคิดไม่ถึง…
ตัวเขาเองสูญเสียหัวใจไปก่อนแล้ว ตกหลุมรักเป้าหมายในภารกิจ
เจียงมู่เฉินเป็นภารกิจแรกที่เขาทำล้มเหลว เป็นเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น
แต่สำหรับซังจิ่งแล้ว เขาไม่เคยเสียใจทีหลังเลยที่ภารกิจครั้งนี้ล้มเหลว
ในโบสถ์เจียงมู่เฉินจับเอวซือเหยี่ยนไว้ แล้วโน้มเข้าไปจูบซือเหยี่ยน ซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉินทำหน้ายิ้มชั่วร้าย
จู่ๆ เขาก็นึกถึงก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ครั้งแรกที่เจอเจียงมู่เฉินที่หลานเยี่ย
ที่จริงบางทีแวบแรกที่เจอเจียงมู่เฉิน หัวใจของเขาอาจจะหายไปหาเจียงมู่เฉินไปเรียบร้อยแล้ว
เสียงหัวเราะดังขึ้นมาในโบสถ์เลือนราง ซังจิ่งไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า ท้องฟ้าวันนี้มีสีฟ้าเป็นพิเศษ เขายกมือปิดตายิ้มหัวเราะ
ยื้อไว้มานานขนาดนี้ เขาอาจจะต้องปล่อยวางแล้ว เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง
ซังจิ่งยิ้มหัวเราะ สายลมพัดผ่านมา พัดโชยเส้นผมที่ปกแก้มของเขา นกพิราบในลานจัตุรัสก็บินขึ้นมารับสายลม
เขาคิดว่าวันนี้อากาศดีเสียจริง