บทที่ 1741 - ไข่มุก 5 ธาตุ พลังที่เพิ่มพูน และการหยอกล้อ

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

AST
  บทที่1741 – ไข่มุก 5 ธาตุ พลังที่เพิ่มพูน และการหยอกล้อ
  การล่าขุมทรัพย์คือสิ่งหนึ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดการให้พบเจอกับสมบัติใหม่ๆ ความอยากรู้อยากลองในสิ่งที่ไม่อาจหาคำอธิบายได้ ถือเป็นความสนุกอย่างหนึ่ง
  ในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเขาจะค้นพบห้องสมบัติห้องใหม่อีกหรือไม่และก่อนจะค้นพบห้องสุดท้าย เขารู้สึกได้ว่านี่คือส่วนลึกที่สุดแล้ว มันไม่ควรจะมีห้องที่ซ่อนอยู่อีกต่อไป
  เวลายังคงผ่านไปอย่างช้าๆชิงสุ่ยและคนอื่นๆใช้เวลาเดินวนทุกห้อง และแล้วสมมติฐานที่ชิงสุ่ยคิดก็ถูกต้อง ภายในสถานที่แห่งนี้ไม่มีสิ่งอื่นสิ่งใดหลงเหลืออยู่อีกแล้ว
  วันเวลากว่าครึ่งวันผ่านไปโดยไม่รู้ตัวและเมื่อทุกคนออกจากห้องสมบัติ กลุ่มของชิงสุ่ยยังไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย พวกเขายังคงใช้สัตว์อสูรสยบมังกรตามล่าขุมสมบัติที่ต่อไป
  ในระหว่างการตามหาเพื่อไม่ให้เสียเวลา ชิงสุ่ยปล่อยให้ตำราสวรรค์ไร้นามจดจำเจ้าของของมัน เพื่อให้เขาบรรลุในพลังที่เพิ่มขึ้นในระดับทวีคูณ การเปิดใช้ตำราสวรรค์ไร้นามเป็นสิ่งที่แทบไม่เสียเวลา มันคือสมบัติมายาที่สามารถเพิ่มความแข็งแรงของเจ้าของได้โดยไม่จำเป็นต้องฝึกฝน
  ในตอนนี้พลังของชิงสุ่ยอยู่ในระดับ 45,000 เต๋า ซึ่งถือว่าเป็นพละกำลังที่น่าหวาดกลัว ความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นทำให้เขาคลายกังวลเรื่องของกลุ่มพระราชวังอสูรแดนสมุทร แม้ว่าเขาจะไม่แน่ใจว่าตัวเขาเองหลงระเริงกับพลังหรือไม่ แต่เขารู้สึกได้ว่ากลุ่มคนจากพระราชวังอสูรแดนสมุทรที่เขาเคยพบ ไม่ใช่ภัยคุกคามของเขาอีกต่อไป
  มูหยุนชิงเก้อมองดูชิงสุ่ยด้วยความประหลาดใจเธอรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบตัวชิงสุ่ย นี่คงเป็นครั้งที่สองที่เธอรู้สึกเช่นนั้น ครั้งแรกคือตอนที่ชิงสุ่ยยืนอยู่หน้าภาพวาดปกครองโลกา
  เธอมั่นใจในสิ่งที่เธอรู้สึกอย่างมากเนื่องจากเธอเองก็รับรู้ถึงสิ่งที่เปลี่ยนแปลงตอนที่เธอได้รับ ซึ่งมันก็เกิดขึ้นกับชิงสุ่ย
  ในตอนนี้หากนับในแง่ของพลังมูหยุนชิงเก้อเกือบจะแข็งแกร่งเทียบเท่าประมุขพระราชวังสุริยา ทั้งที่แต่ก่อนเธอยังคงเป็นรองมาตลอด
  เนื่องจากทิศทางที่ชิงสุ่ยเลือกเดินทางเป็นทิศทางที่ผู้คนเชื่อว่าไม่มีทางค้นพบขุมทรัพย์ได้ จึงทำให้ในละแวกทั้งหมดไม่มีผู้คนแม้แต่คนเดียว อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยเลือกใช้เส้นทางนี้มันเป็นเพราะสัตว์อสูรสยบมังกรของเขา ซึ่งคนอื่นที่เข้ามาพร้อมกันต่างก็ไม่มีใครรู้เหตุผล แต่ตัวของชิงสุ่ย ยังคงเชื่อมั่นในการตัดสินใจที่อสูรของเขาเลือกเดิน
  ชิงสุ่ยที่ยืนอยู่ระหว่างกลางหญิงสาวทั้งสองคนชุดที่หญิงสาวทั้งสองคนใส่เป็นชุดเกราะที่ปิดถึงบริเวณทรวงอก ทำให้เขามองเห็นหน้าอกกลมโตขาวนวลเนียนดุจหิมะ ทั้งรูปร่างและทรงเป็นสิ่งที่ดึงดูดสายตาของชิงสุ่ยตลอดทั้งการเดินทาง
  มูหยุนชิงเก้อเอามือท้าวสระเอว”สุภาพหน่อย” จากนั้นเธอก็เอามือแตะหลังของชิงสุ่ย”ชิงสุ่ย เจ้ากำลังมองอะไรอยู่?”
  ชิงสุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึกๆพร้อมปรากฏให้เห็นเป็นรอยยิ้มที่แฝงอยู่ในใจ เขากำลังมองดูเนินภูเขาหิมะอันแสนยั่วยวนรัญจวนใจ จนไม่ทันรู้ตัวว่ามีสายตา 2 คู่กำลังจ้องมองมาที่เขา และคำพูดของมูหยุนชิงเก้อทำให้เขารู้สึกละอาย
  ประมุขพระราชวังสุริยาหลัวชิงเฉิง จ้องเขม็งมาทางชิงสุ่ย “เจ้าของกำลังมองดูหน้าอกน้องสาวของข้าอย่างเพลิดเพลินใจสินะ?”
  โชคดีที่สุ่ยหยุนเฟิงเดินทางตามหลังกลุ่มชิงสุ่ย จึงทำให้กลุ่มที่อยู่หน้าสุดมีเพียงแค่ 3 คน และเนื่องจากระยะทางที่ห่างไกลจึงทำให้กลุ่มของสุ่ยหยุนเฟิงไม่ได้ยินบทสนทนา
  มูหยุนชิงเก้อถึงกับพูดไม่ออกเธอเขินอายและหันสายตาบ่ายเบี่ยง “น้องชิงเฉิง ทำไมเจ้าไม่พูดเรื่องนี้ภายหลังละ?” novel-lucky
  ”ชิงสุ่ยเจ้ามองดูขนาดนี้ เจ้าคงอยากรู้อยากเห็นสินะ? เดี๋ยวข้าจะสัมผัสให้เจ้าต้องอิจฉา”ขณะที่หลัวชิงเฉิงกล่าว เธอก็เอื้อมออกไปค่อยๆบีบนวดคลึงหน้าอกมูหยุนชิงเก้อ
  ชิงสุ่ยได้แต่ยืนอึ้งเกราะผ้าบางๆพริ้วไหวไปตามผิวหนังภูเขาหิมะ แสดงให้เห็นถึงหน้าอกที่ดึงดูดใจอย่างชัดเจน
  มูหยุนชิงเก้อร้องออกมาด้วยความประหลาดใจจากนั้นเธอก็ตีมือประมุขพระราชวังสุริยาหลัว ชิงเฉิง พร้อมแสดงให้เห็นถึงใบหน้าที่แดงกล่ำเหมือนแสงตะวันยามเย็น ก่อนที่เธอจะกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่พึงพอใจนัก “น้องชิงเฉิง เจ้ามันคนใจร้ายยิ่งนัก!!”
  ………………
  ”ชิงสุ่ยเจ้ายังไม่ตอบคำถามของข้าเลย นางดูดีมากใช่หรือไม่?”ประมุขพระราชวังสุริยาหลัว ชิงเฉิงระเบิดเสียงหัวเราะ
  ชิงสุ่ยได้แต่เอามือลูบหัวก่อนจะถูจมูกและกล่าวว่า “เออ ข้าเองก็อยากรู้ มันดูน่าสนใจดี”
  ประมุขพระราชวังสุริยาหลัวชิงเฉิงเผยรอยยิ้มบนใบหน้า “เจ้าตอบเช่นนี้ นั่นก็หมายความว่าก่อนหน้านี้เจ้าแอบดูหน้าอกของน้องชิงเก้อ?”
  ชิงสุ่ยตกใจและตอบกลับอย่างเร่งรีบ”ไม่….ข้า ข้าไม่ได้แอบดู….”
  ชิงสุ่ยไร้คำพูดเขาได้แต่ยืนเงียบ ตัวของเขาจิตใจกระวนกระวายอยากลองสัมผัสแต่ก็ไม่อาจพูดออกมาตรงๆได้
  ”ชิงสุ่ย!!”ประมุขพระราชวังสุริยาหลัวชิงเฉิงกล่าวเรียกชิงสุ่ยด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและเขินอาย เสียงของเธอนั้นยิ่งฟังยิ่งดูมีเสน่ห์
  มูหยุนชิงเก้อที่อยู่ด้านข้างระเบิดเสียงหัวเราะเมื่อเห็นภาพชิงสุ่ยกำลังเขินอายผิดปกติแต่ทันทีที่เธอเห็นสายตาของประมุขพระราชวังสุริยาจับจ้องมาที่เธอ เธอก็หยุดหัวเราะทันทีเพราะกลัวว่าเธอจะตกเป็นเป้าหมายในการถูกล้อเล่น
  ชิงสุ่ยยิ้มขณะมองดูประมุขพระราชวังสุริยาหลัวชิงเฉิง”ข้าทำอะไรผิดรึ?”
  ”เอาเป็นว่าเมื่อเราออกจากสถานที่แห่งนี้ข้าจะให้เจ้าดูหน้าอกพวกเราให้เต็มตา เจ้าจะได้บอกถูกว่าหน้าอกของเรายอดเยี่ยมเพียงใด เจ้าตกลงหรือไม่?”
  เสียงที่เย้ายวนพร้อมกับข้อเสนอที่ดึงดูดใจถึงขั้นทำให้ชิงสุ่ยปวดหัวชิงสุ่ยกำลังหน้าแดงแม้จะเป็นรอยริ้วสีแดงระเรื่อ ก่อนจะตอบสั้นๆว่า “ตกลง!!”
  หลัวชิงเฉิงจับมือชิงสุ่ย”ถือว่าเราบรรลุข้อตกลง!! หลังจากจบภารกิจ ข้าจะมาหาเจ้าทันที”
  ขณะที่หัวใจของชิงสุ่ยกำลังเต้นอย่างรุนแรงมูหยุนชิงเก้อที่กำลังมองดูข้างหน้าก็กล่าวอย่างเร่งรีบว่า “ดูนั้นสิ เจ้าสัตว์อสูรหยุดการเคลื่อนไหวอีกแล้ว!!”
  ชิงสุ่ยมองดูสัตว์อสูรสยบมังกรของเขาที่อยู่ห่างไกลทันทีที่มันหยุดการเคลื่อนไหว ชิงสุ่ยก็ยิ่งรู้สึกตื่นเต้น “หรือว่ามันจะพบห้องเก็บขุมสมบัติอีกแห่ง?”
  ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วสิ่งที่อยู่ตรงหน้าชิงสุ่ย ปรากฏให้เห็นเป็นห้องขุมทรัพย์ แต่เบื้องหน้าของห้องขุมทรัพย์ ย่อมต้องปรากฏให้เห็นเป็นสัตว์อสูรเฝ้าสมบัติ แต่สิ่งที่น่าตกใจสำหรับชิงสุ่ยก็คือว่ามีคนอีกกลุ่มนึงกำลังพุ่งตรงมายังสถานที่แห่งนี้เช่นกัน ซึ่งนั่นก็คือกลุ่มของอสูรแดนสมุทร แต่พวกเขายังอยู่ห่างไกลจากห้องสมบัติมากหากเทียบระยะกับกลุ่มชิงสุ่ย
  ชิงสุ่ยขมวดคิ้วขณะที่เขาใช้ความคิดเขาควรไปต่อ หรือถอยเพื่อหลีกเลี่ยงดี?