หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่อยู่เชิงเขาอวี้ซัน ทุกๆ สิบวันจะมีความสนุกครื้นเครงเป็นอย่างมาก ผู้คนในระยะหลายสิบลี้จะมารวมตัวกันที่นี่เพื่อเปิดตลาด ตระกูลอวิ๋นเองก็จะอนุญาตให้ชาวบ้านต่างหมู่บ้านเข้ามาเพื่อทำการค้ากับตระกูลอวิ๋นทุกๆ วันแรกในรอบสิบวัน ถนนดินที่อยู่กลางหมู่บ้านนั้นได้ถูกปูนซีเมนต์แทนที่แล้ว เพื่ออำนวยความสะดวกแก่การตั้งแผงขายของของชาวบ้าน ตระกูลอวิ๋นได้ทำการซ่อมแซมถนนให้กว้างขึ้นมาก
ฝนรอบแรกในต้นฤดูใบไม้ผลิเล็กดั่งสายไหม ขาวดั่งสายหมอก ค่อยๆ ตกลงมาอย่างช้าๆ ดั่งบทกวีที่ว่า สายฝนพรำหาได้ทำให้ผ้าเปียก สายฝนพรำกลับทำให้เคลิบเคลิ้ม ก็เป็นเช่นนี้เอง ละอองฝนบนท้องฟ้าไม่สามารถทำลายความกระตือรือร้นในการแลกเปลี่ยนสินค้าของชาวบ้านได้ นอกเหนือจากทางเข้าหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่ไม่มีการตั้งแผงขายของแล้ว ถนนที่เหลือก็ถูกชาวบ้านตั้งแผงลอยจนเต็มไปหมด บ้างขายเนื้อ บ้างขายผ้า บ้างชายหัวไชเท้า บ้างขายขนมเปี๊ยะทอดงา บ้างก็ขายเครื่องประดับเงินชิ้นเล็กๆ บ้างก็ให้ลาแบกถุงกระสอบเสบียงอาหารมาขาย บ้างก็เป็นชาวบ้านในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นที่จูงแกะ ต้อนไก่และนำไข่ไก่มาด้วย
การขายรากบัวนั้นไม่แปลกใหม่อีกต่อไป ตอนนี้สิ่งที่แปลกใหม่ในเมืองฉางอันก็คือการตั้งแผงลอยขายของที่ตั้งอยู่ตามร้านค้าขนาดใหญ่หลายๆ แห่ง เครื่องประดับราคาถูกนั้นขายดีที่สุด เห็นเกษตรกรที่แต่งตัวเรียบง่ายหยิบเงินเหรียญทองแดงที่ยังมีความอุ่นเพราะอุณหภูมิของร่างกายอยู่ส่งให้เจ้าของร้าน เจ้าของร้านที่อ้วนพลี่ก็ยิ้มตาหยีและพูดขอบคุณแล้วจึงหยิบจี้อันเล็กๆ ราคาถูกจากบนแผงห่อด้วยผ้าไหมผืนเล็กๆ พร้อมกับเครื่องประดับที่เกษตรกรซื้อ ส่งมอบให้เกษตรกรด้วยสองมือ
เมื่อมองดูฝูงชนที่หนาแน่น สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิของร่างกายบนเหรียญทองแดงที่อยู่ในมือ เจ้าของร้านที่อ้วนพีคิดว่าเขาควรจะเปิดร้านที่หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นสักร้านหนึ่งดีหรือไม่ เกษตรกรที่นี่สามารถซื้อเครื่องประดับได้คิดว่าของอย่างอื่นหากขายที่นี่ก็น่าจะมีคนมาซื้อกระมัง นอกจากนี้ยังมีตระกูลใหญ่อีกหลายสิบตระกูลที่อาศัยอยู่บนภูเขานี้ เมื่อมองดูคู่ต่อสู้ที่ยุ่งไม่แพ้กันที่อยู่ข้างๆ จึงแอบตัดสินใจ เขาเหล่มองพ่อค้าที่แบกหาบน้ำอบแป้งหอม อุปกรณ์เย็บปักถักร้อยจำนวนนับไม่ถ้วนเข้ามาขาย ก็เห็นว่าพวกเขาถูกล้อมรอบด้วยเหล่าหญิงสาวและลูกสะใภ้วัยเยาว์อย่างแน่นขนัด ในใจก็ดีใจมากคราวหน้าที่มีการเปิดตลาด หญิงสาวและลูกสะใภ้วัยเยาว์เหล่านี้จะต้องกลายเป็นลูกค้าของเขาแล้ว
คนขายเนื้อร่างกำยำแกว่งมีดในมือของเขาไปมา แล้วลงมีดตรงกลางอย่างแรงเพียงครั้งเดียวก็แบ่งกระดูกหมูออกเป็นสองเส้น ห่อด้วยใบบัวแล้วก็โยนมันลงในตะกร้าไม้ไผ่ของหญิงชาวนา แล้วแบมือที่เปื้อนเลือดและน้ำมันเยิ้มให้กับหญิงชาวนาแล้วบอกว่า “ราคาสามเหวิน กระดูกท่อนนี้นำไปตุ๋นน้ำแกงให้เด็กเล็กๆ ดื่มนั้นดีที่สุด ถึงจะเห็นข้ารูปร่างเช่นนี้ แต่ก็โตมากับการตุ๋นกระดูกหมูนะ นี่เป็นเคล็ดลับที่หมอเทวะซุนไม่ถ่ายทอดให้คนนอกเชียวนะ”
“เจ้าก็โอ้อวดไปเถอะ ตลาดของหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นเพิ่งเปิดเพียงสี่เดือนเท่านั้น หมอเทวะซุนและอวิ๋นโหวยังอยู่ที่ชายแดน หมอเทวะซุนจะเอาเวลาที่ไหนมาสอนเจ้า” พูดจบก็หยิบเงินสามเหวินออกจากกระเป๋าผ้าปักรูปใบบัว โยนใส่มือของพ่อค้าขายหมู เบะปากหัวเราะพลางด่าว่าเขาคุยโตคุยโม้ ทำให้คนอื่นๆ ที่รอซื้อเนื้อสัตว์หัวเราะกันยกใหญ่
คนขายเนื้อจึงด่าคำหยาบออกไปประโยคหนึ่ง สุดท้ายกลับถูกด่ากลับนับไม่ถ้วน เอนหลบหัวไชเท้าเน่าๆ สองหัวที่ถูกขว้างมา แล้วจึงหัวเราะพลางก้มศีรษะก้มหน้าก้มตาขายเนื้อหมูบนแผงของเขาต่อไป
พ่อค้าเร่ที่ขายเหล้าหมักมองซ้ายมองขวาแต่ก็ไม่เห็นวั่งไฉ ร้อนรนจนเดินวนไปมา เขาจึงตั้งใจเหลือเหล้าหมักไว้ให้หนึ่งกะละมังซึ่งก็คือเหล้าที่เตรียมไว้จะขายให้วั่งไฉ ใครจะรู้ว่าวั่งไฉที่ปกติแล้วเมื่อเขาอุ่นเหล้าหมักพอได้กลิ่นก็จะวิ่งออกมา แต่วันนี้กลับหายไปไม่เห็นแม้เงา
หยิบผ้าเช็ดมือขึ้นมาถูมือแล้วเดินมาที่ทางเข้าหมู่บ้านอย่างระมัดระวัง ประสานมือคารวะองครักษ์ของตระกูลอวิ๋นเพื่อสอบถามข่าวคราววั่งไฉ
“เจ้าขายเหล้าให้คนอื่นเถอะ วั่งไฉไม่สบายนอนอยู่ในคอกไม่ยอมออกมา ก็ไม่รู้ว่าเป็นอะไร” องครักษ์พูดอย่างกังวลกับพ่อค้าขายเหล้า
เมื่อได้องครักษ์พูดเช่นนี้ พ่อค้าขายเหล้าก็รู้สึกกังวลมาก เมื่อคิดถึงว่าปกติแล้ววั่งไฉนั้นกล้าได้กล้าเสีย จึงรีบยกเหล้าหมักที่เพิ่งอุ่นร้อนมา บอกกับองครักษ์ว่า “พี่ชายท่านนี้ วั่งไฉไม่สบายข้าเองก็ไม่มีความคิดดีๆ อะไร เหล้าหมักกะละมังนี้ได้อุ่นร้อนแล้ว รบกวนพี่ชายช่วยส่งไปให้วั่งไฉด้วย หากสามารถดื่มได้แล้วก็ให้ดื่มสักสองคำ หากดื่มไม่ได้ก็เททิ้งก็แล้วกัน ถือว่าเป็นน้ำใจของข้าที่มีต่อลูกค้าประจำ”
เมื่อองครักษ์ได้ยินคนขายเหล้าพูดเช่นนี้จึงไม่ได้บอกปัด จึงยกกะละมังเหล้าขึ้นแล้วเดินเข้าไปในบ้าน มีคนมุงอยู่ที่คอกม้าจำนวนมาก แม่เฒ่าของตระกูลอวิ๋นก็อยู่ในคอกม้าด้วย นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่บนเก้าอี้มองดูวั่งไฉนอนอยู่บนกองหญ้าแห้งหนาๆ ดวงตาของพวกต้ายา เสี่ยวยา เสี่ยวตง น้ำตาคลอมองดูวั่งไฉที่ไม่ขยับ อี้เหนียงเกาให้วั่งไฉเบาๆ ที่แท้หากมีใครบางคนเกาให้มัน มันก็จะนอนตาปรือเสพสุขเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เห็นมันเป็นเช่นนี้แล้ว อี้เหนียงก็อดที่จะน้ำตาไหลไม่ได้
วั่งไฉไม่ได้เป็นโรคอะไร ยกเว้นเรื่องที่กินจนอ้วนก็ไม่มีโรคร้ายแรงอะไร สัตวแพทย์ที่อยู่ในระยะหลายสิบลี้นี้ก็ถูกเชิญมาครบทุกคนแล้ว นับตั้งแต่ที่อวิ๋นเยี่ยจากไป วั่งไฉก็ไม่ค่อยร่าเริงสักเท่าไร นอกจากชอบที่จะเดินเล่นในลานหลังบ้านแล้ว ก็เหลือเพียงการดื่มด่ำกับการดื่มเหล้าหมักเท่านั้นเอง
เมื่อเห็นว่าวั่งไฉไม่เจริญอาหาร คนทั้งตระกูลอวิ๋นก็ร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก ในความรู้สึกของพวกเขา วั่งไฉไม่ใช่ม้าแต่เป็นคนในครอบครัว เห็นไหมว่าวั่งไฉได้รับค่าใช้จ่ายทุกเดือนเทียบเท่ากับลูกชายคนหนึ่ง ใช้ชีวิตราวกับคุณชายของตระกูล
ความรู้สึกที่อวิ๋นเยี่ยมีต่อวั่งไฉนั้นประจักษ์ชัดต่อทุกคนในครอบครัว ที่จริงแล้ววั่งไฉโตพอที่จะให้ขี่ได้แล้วขอเพียงแค่ไม่เดินทางไกล แต่อวิ๋นเยี่ยก็ไม่เคยขี่เลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่าจะเคยเดินเล่นเป็นเพื่อนวั่งไฉแต่ก็ไม่ได้ขี่ ทั้งบ้านมีเพียงเด็กหญิงตัวน้อยๆ ไม่กี่คนที่เคยถูกอวิ๋นเยี่ยอุ้มขึ้นไปนั่ง ทุกคนที่เหลือนั้นไม่กล้าพอที่จะขี่วั่งไฉ หากพวกเขาขึ้นไปขี่เกรงว่าโหวเหยียจะหักขาของเขา
หยกแกะสลักราคาหลายร้อยก้วนในห้องของโหวเหยียถูกหางของวั่งไฉปัดลงพื้นแตกกระจาย โหวเหยียลงโทษเพียงแค่ไม่ให้ดื่มเหล้าหมักเป็นเวลาสองสามวัน พวกที่สายตาไวบางคนก็พบว่าตกดึกโหวเหยียยังแอบนำเหล้าไปให้วั่งไฉดื่ม
วั่งไฉไม่ชอบกินหญ้าแห้ง ดังนั้นพวกเสี่ยวยาจึงเลี้ยงวั่งไฉด้วยขนมถั่วทอดและยังมีขนมหวานอีกด้วย ขณะที่ทำอาหารทาน อี้เหนียงมักจะเด็ดผักกาดก้านขาวและผักปวยเล้งออกมาหลายๆ กลีบโดยไม่ตั้งใจอยู่เสมอ โดยบอกว่ามีโคลนติดอยู่มันไม่สะอาด จึงเด็ดออกเพื่อเลี้ยงวั่งไฉ แม่ครัวเห็นแล้วปวดตับจริงๆ ในฤดูหนาวเช่นนี้มีใครบ้างที่เด็ดผักใบเขียวออกจนหมดเหลือแต่ก้านอ่อนกันบ้าง ครอบครัวของขุนนางใหญ่ก็ใช่ว่าจะได้กินผักใบเขียวทุกวัน
อวิ๋นเยี่ยไม่อยู่วั่งไฉก็ไม่อยากจะขยับตัว คนเลี้ยงม้าทั้งร้องขอทั้งอ้อนวอนก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ วั่งไฉนอกจากอาบแดดแล้วก็อาบแดดอีก อยู่ดีกินดีเกินไปทั้งยังไม่ออกกำลังกาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องช่วยงาน หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่อ้วนขึ้นก็เป็นเรื่องแปลกแล้ว ภายในเวลาห้าเดือน วั่งไฉมีน้ำหนักตัวมากขึ้นครึ่งหนึ่งของเมื่อก่อน
องครักษ์ยกเหล้าหมักเข้ามาวางไว้ตรงปากของวั่งไฉ ใครจะรู้ว่าวั่งไฉจะถอนหายใจแล้วหันหน้าหนี
“ข้าพอจะเข้าใจได้แล้ว วั่งไฉเป็นเพราะคิดถึงเสี่ยวเยี่ย ตั้งแต่เขาไปแนวหน้า วั่งไฉก็ไม่มีความสุขเลยสักวันเดียว สัตว์พวกนี้รู้ดีว่าใครดีกับมัน ไม่เสียทีที่อวิ๋นเยี่ยปฏิบัติเหมือนมันเป็นคนในครอบครัว” แม่เฒ่าพูดพลางก้มตัวลงลูบหัวของวั่งไฉและพูดว่า “เสี่ยวเยี่ยจะกลับมาเร็วๆ นี้แล้ว ได้ยินว่าเขามาถึงด่านชั้นในแล้ว เจ้าจะต้องกินให้ดี ให้มีกำลังวังชาจะได้มีหน้าไปพบเขา”
สายลมเย็นที่ถูกละอองฝนพัดพามาได้พัดเข้าไปในคอกม้า ดวงตาของวั่งไฉดูเหมือนจะเปล่งประกายขึ้น หายใจฟืดฟาดสองครั้งแล้วลุกพรวดขึ้น อ้าปากส่งเสียงร้องแล้วก็วิ่งออกไปข้างนอก คนเลี้ยงม้าจะขวางไว้ สุดท้ายถูกวั่งไฉดันจนหงายหลัง เมื่อออกจากคอกม้า วั่งไฉก็วิ่งตรงไปที่ประตูใหญ่ เมื่อไปถึงถนนก็เร่งฝีเท้าควบพุ่งออกไป ไม่รู้ว่าชนแผงลอยล้มไปกี่ร้าน เหล่าพ่อค้าหาบเร่เพียงแค่ด่าสองสามคำ แต่ก็ไม่กังวลเกี่ยวกับความเสียหายเพราะตระกูลอวิ๋นจะชดใช้ให้แน่ พ่อค้าขายเหล้าที่ถังเหล้าถูกเตะกระเด็นคนละทิศละทางยังยกนิ้วหัวแม่มือคุยโวโอ้อวดให้องครักษ์ตระกูลอวิ๋นฟัง “เห็นไหมล่ะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าวั่งไฉคิดถึงเหล้าหมักของข้า ดื่มลงไปเพียงแค่กะละมังเดียวก็คึกคักมีกำลังวังชาขึ้นมาทันที หายเป็นปลิดทิ้งเลย”
ในตอนแรกแม่เฒ่าอวิ๋นตกตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นรีบพูดกับพ่อบ้านว่า “โหวเหยียกลับมาที่จวนแล้ว กวาดถนน เปิดประตูใหญ่ทุกคนในครอบครัวออกไปรอต้อนรับ! พ่อบ้านไปแจ้งให้ฮูหยินน้อยรู้ด้วย”
สายฝนเย็นๆ กระทบบนใบหน้ารู้สึกชุ่มฉ่ำเป็นอย่างมาก อวิ๋นเยี่ยกำลังขี่ม้าห้อตะบึงอยู่ ระยะเวลาสองปีทำให้คนโง่ที่ขี่ม้าไม่เป็นขัดเกลาจนเป็นยอดนักขี่ม้า โน้มตัวไปตามแรงพุ่งของม้าศึก ร่างกายขยับขึ้นลงตามม้า ทั้งส่ายไปส่ายมา เสื้อคลุมที่บังสายฝนก็ถูกลมพัดจนเป็นเส้นตรง ชอบขี่ม้าบนถนนดินที่เปียกชื้นเป็นที่สุดเพราะไม่มีฝุ่นลอยคละคลุ้งเต็มท้องฟ้า เหลือเพียงแต่ความสุขและความห้าวหาญ
พวกซุนซือเหมี่ยวยังมาไม่ถึงจิงหยาง คาดว่าน่าจะถึงในวันมะรืน หลังจากข้ามแม่น้ำหวงเหอแล้ว ความรู้สึกที่อยากกลับบ้านก็พุ่งพล่นขึ้นมา บอกหลี่จิ้งเพียงคำเดียวก็พาองครักษ์ตระกูลอวิ๋นรีบเริ่งเดินทาง เส้นทางที่ต้องใช้เวลาเดินทางหกวันเขาเร่งเดินทางเหลือเพียงสองวันก็มาถึง ผ่านฉางอันแต่ไม่เข้าเมือง ลัดเลาะไปตามคูน้ำรอบเมืองตรงกลับบ้านตลอดทาง
ทันทีที่มาถึงซุ้มประตู ม้าหนึ่งตัวหรือม้าอ้วนๆ ตัวหนึ่งก็พุ่งออกมา อวิ๋นเยี่ยจ้องดูเมื่อเห็นก็ถึงกับตกใจมาก อดไม่ได้ที่จะตะโกนว่า “วั่งไฉ เจ้าเป็นอะไรไป”
ทันทีที่วั่งไฉมาถึงด้านหน้าอวิ๋นเยี่ยก็ยื่นหัวโตๆ เข้ามาบนใบหน้าของอวิ๋นเยี่ย ทั้งยังใช้เท้าหน้าถีบเข้าที่ม้าศึกของอวิ๋นเยี่ยด้วย ทำให้แม่ม้าที่เชื่องตัวนี้ต้องถอยไม่หยุด ม้านั้นขี่ต่อไปไมได้แล้วจึงพลิกตัวลงจากม้า กอดวั่งไฉไว้แล้วก็แสดงความรักอันเร่าร้อนด้วยการเกาให้มันทั่วตัว วั่งไฉก็เอาหัวดันชุดเกราะบนตัวของอวิ๋ฯเยี่ยไม่ยอมหยุด คนและม้าหยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน
องครักษ์ตระกูลอวิ๋นพยายามมองซ้ายมองขวาด้วยความอยากรู้อยากเห็น เห็นผู้คนทั้งหลายแปลกประหลาดใจ หมู่บ้านตระกูลอวิ๋นมีคนเหล่านี้อยู่ด้วยหรือ เหล่าเฉียนรีบวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว เห็นคนสิบกว่าสวมเสื้อคลุมและชุดเกราะก็รู้ว่าโหวเหยียกลับมาแล้ว วิ่งมาข้างหน้าสองก้าวแล้วหันหลังวิ่งกลับ วิ่งพลางตะโกนว่า “เล่าฮูหยิน โหวเหยียกลับมาแล้ว เล่าฮูหยินโหวเยี่ยกลับมาแล้วจริงๆ!” น้ำเสียงเริ่มสั่นเครือ
บนถนนเงียบสงบลงในทันใด ผู้ใหญ่และเด็กในตระกูลอวิ๋นวิ่งกรูออกมาจากประตูบ้านเพื่อมาต้อนรับเจ้าของของพวกเขา ก่อนอื่นเลยคือเหล่าทหารผ่านศึกที่ไม่ได้ติดตามอวิ๋นเยี่ยไปออกศึก ยกมือทุบอกคุกเข่าลงข้างหนึ่งแล้วตะโกนเสียงดังติดต่อกันสามครั้งว่า “ยินดีต้อนรับโหวเหยียคว้าชัยกลับมา โหวเหยียผู้เกรียงไกร!”
อวิ๋นเยี่ยและเหล่าองครักษ์ที่ออกศึกยกมือทุบอกตะโกนกลับว่า “ต้าถังจงเจริญ ต้าถังเกรียงไกร!” ซึ่งก็ตะโกนสามครั้งเช่นกัน นี่เป็นขั้นตอนที่แม่ทัพจำเป็นต้องทำหลังจากได้ชัยชนะกลับมา หลี่จิ้งทำมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว โดยทั่วไปชาวต้าถังจะไม่คุกเข่า แต่สำหรับทหารที่ทำศึกกลับมานั้นเป็นข้อยกเว้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการชนะศึกกลับมา พิธีการนั้นยิ่งใหญ่เกินกว่าจะจินตนาการได้ หลังจากที่พวกอวิ๋นเยี่ยตะโกนครบสามครั้งแล้ว ผู้คนในตลาดไม่แบ่งแยกชายหญิงเด็กหรือคนชรา ไม่แบ่งแยกฐานะว่าสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย ผู้ชายต่างก็โค้งคำนับ ผู้หญิงต่างก็กล่าวอวยพร นี่เป็นเกียรติยศที่ทหารที่ออกศึกสมควรจะได้รับ
ต้าถังนั้นให้ความสำคัญกับผลงานการศึกมากที่สุด ลูกหลานชาวกวนจงก็ภูมิใจในการรับราชการทหาร รางวัลที่ได้รับก็มากที่สุด ทหารคนหนึ่งที่สร้างผลงานชนะศึกกลับมา ระดับฐานะจะสูงส่งมากเกินกว่าที่พ่อค้าผู้มั่งคั่งร่ำรวยจะสามารถมาเทียบเคียงได้ พ่อค้าผู้มั่งคั่งหากพบทหารที่สร้างผลงานการศึกยังต้องทำการคารวะ หากล่วงเกินจะต้องลงโทษอย่างหนักและจะไม่มีใครเห็นใจพ่อค้าผู้มั่งคั่งคนนี้ด้วย
อวิ๋นเยี่ยสองมือประสานเดินผ่านฝูงชน พูดกล่าวคำขอบคุณไม่หยุด ทั้งยังช่วยพยุงคนชราในฝูงชนให้ลุกขึ้นเป็นครั้งคราว การให้พวกเขาทำการคารวะตลอดทางเป็นการแสดงออกให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่สูงส่งอย่างหนึ่ง ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญที่จะสร้างชื่อเสียงของอวิ๋นเยี่ย ห้ามไม่ให้เกิดข้อบกพร่องแม้แต่นิดเดียว อวิ๋นเยี่ยจำเป็นต้องปฏิบัติตามขั้นตอนอย่างเรียบร้อย ตอนนี้หากใครวางตัวไม่เหมาะไม่ควร ผู้นั้นก็เป็นจอมโง่ที่ได้มาตรฐานนั่นเอง