ในปากอวิ๋นเยี่ยกัดขนมที่เสี่ยวยาใส่เข้าปาก ปล่อยให้ป้าสะใภ้และอาหญิงถอดชุดเกราะออกให้ด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม ท่านย่าปาดน้ำตาพลางพูดว่าดำขึ้นและผอมลง จับมือเขาขึ้นมาดูรอยแผลที่ถูกแช่แข็งจนบวมน้ำเป็นแผลก็ปวดใจจนแทนจะเป็นลมหมดสติไป ไม่ต้องคิดก็รู้ว่าหลานชายต้องทนทุกข์ทรมานมากเพียงไหนท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บและยากลำบากเพียงไร นี่เป็นความยากลำบากที่โหวเหยียที่ถูกเลี้ยงอย่างสุขสบายควรจะต้องพบเจอที่ไหนกัน
อาบน้ำอีกแล้ว แต่คราวนี้อวิ๋นเยี่ยไล่ทุกคนออกไปห้ามไม่ให้พวกเขาอยู่ในห้อง โตเป็นผู้ใหญ่ตั้งนานแล้ว ถ้ายังให้ป้าสะใภ้อาบน้ำให้ต้องถูกคนอื่นหัวเราะเยาะแน่ ท่านย่ายืนกรานว่าจะต้องตรวจดูร่างกายทั้งตัวของอวิ๋นเยี่ยให้ชัดเจน เมื่อเห็นว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรจึงยอมปล่อยอวิ๋นเยี่ยแล้วจึงปิดประตูเดินยิ้มออกไป
หลานชายโตเป็นผู้ใหญ่ ถึงเวลาที่ต้องจัดการเรื่องแต่งงานให้เขาแล้ว แม่หนูซินเย่ว์จนป่านนี้ยังไม่ยอมปล่อยผมลง ยังคงเกล้าผมดังหญิงที่ออกเรือน แม้ว่าในเมืองหลวงจะให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แต่อย่างไรเสียก็เป็นหญิงสาวคนหนึ่ง คงต้องมีพวกปากหมูปากกาคอยพูดมากอยู่ลับหลังกันบ้าง ก็ไม่รู้ว่าไม่กลัวจะโดนตัดลิ้นทิ้งหรืออย่างไร
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น ซินเย่ว์ก็รีบร้อนวิ่งมาหา เมื่อมองดูซินเย่ว์ที่หายใจหอบ ท่านย่ายิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกสบายใจ หากหนุ่มสาวคู่นี้ออกเรือนแล้วจะมีความสุขเพียงไหนกัน ตอนนี้ยังไม่ถึงเดือนสาม ถ้าหากจัดการแต่งงานให้เร็วขึ้นหน่อย บางทีในปีหน้าก็จะได้อุ้มเหลนแล้ว เมื่อนึกถึงตรงนี้ ท่านย่าก็มองไปที่ประตูห้องของหลานชายแล้วพูดกับซินเย่ว์ที่คารวะตนเองว่า “ไม่ต้องรีบ ไม่ต้องรีบ คนเพิ่งจะกลับมากำลังอาบน้ำอยู่ เจ้าก็รู้นิสัยสามีเจ้า ไม่ชอบให้สาวใช้ปรนนิบัติ ปีก่อนเป็นป้าสะใภ้อาบน้ำให้เขา ปีนี้โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แม้กระทั่งคนแก่อย่างข้ายังถูกไล่ออกมา ข้าคิดว่าเขาคงทำอะไรไม่สะดวกเท่าไร เจ้าเข้าไปข้างในช่วยเขาหน่อย ทั้งบ้านก็มีเจ้าเหมาะสมที่สุด”
ซินเย่ว์เขินหน้าแดง ปฏิเสธที่จะเข้าไปข้างใน แต่สุดท้ายก็ถูกท่านย่าผลักเข้าไป แล้วยังปิดประตูจากข้างนอก เดินยิ้มตาหยีพลางพูดกับตัวเอง “ผมก็เกล้าขึ้นมาแล้ว เป็นคนของตระกูลอวิ๋นข้านานแล้ว ตอนนี้จะมาอายอะไร ตระกูลอวิ๋นข้ามีหน่อเนื้อเชื้อไขอยู่เพียงคนเดียว หากเอาแต่อายไม่เลิกแล้วเมื่อไหร่ข้าจะได้อุ้มเหลนเสียที เด็กๆ พวกนี้ทำไมจึงไม่เข้าใจจิตใจของผู้ใหญ่เอาเสียเลย”
เมื่อเห็นอาหญิงแอบหัวเราะอยู่ในลานหลังบ้าน ก็โกรธเป็นอย่างมากแต่ละคนนั้นไม่ได้ความ จะหาผู้ชายให้พวกนางรีบๆ แต่งงานไปเสีย สุดท้ายก็ไม่มีใครต้องการแต่งงาน อาสะใภ้สองคนที่อายุมากแล้วก็ช่างเถอะ ลูกสาวของตนเองอายุเพียงสามสิบปีทำไมจึงไม่ยอมแต่งงานอีก แต่ละคนห่วงกินแต่ขี้เกียจหวังรอหลานชายที่น่าสงสารเลี้ยงจนสิ้นอายุขัย คนพวกนี้ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายจนเคยชินแล้วจะให้ไปใช้ชีวิตที่กดดันมันก็ไม่ต่างจากการฆ่าพวกนาง ช่างเถอะ อย่างไรเสียหลายชายก็เป็นคนมีความสามารถมาก เลี้ยงพวกเสียข้าวสุกไม่กี่คนก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
“เฝ้าประตูให้ดี ถ้าคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาก็ตีขาให้หักเลย” หลังจากสั่งงานให้อาหญิงทำเสร็จแล้ว จึงเดินโงนเงนกลับไปพักที่ห้องเพื่อเตรียมตัวเข้าร่วมงานเลี้ยงในตอนเย็น
อวิ๋นเยี่ยกำลังมุดศีรษะดำน้ำอยู่แล้วนับหนึ่งร้อยก่อนที่จะโผล่ศีรษะขึ้นจากน้ำ ทันทีที่เงยหน้าขึ้นก็เห็นใบหน้ายิ้มแย้มดั่งบุปผาอยู่ตรงหน้า ซินเย่ว์ เป็นไปได้อย่างไร อวิ๋นเยี่ยคิดว่าเขาดำน้ำนานเกิดไปทำให้สมองขาดออกซิเจนทำให้เกิดอาการประสาทหลอน จึงพ่นน้ำออกมาเต็มปากเพื่อทำลายภาพลวงตา
ใครจะรู้ว่าจะได้ยินเสียงร้องอันอ่อนโยนแทน อวิ๋นเยี่ยตกใจมากขยี้ตาหลายครั้งจึงได้แน่ใจว่า คนที่เช็ดคราบน้ำบนใบหน้าก็คือซินเย่ว์ มนุษย์เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกประหลาดมาก ขณะที่อาบน้ำหากใครสวมเสื้อผ้าอยู่ก็คือผู้ที่ได้เปรียบแน่นอน
อวิ๋นเยี่ยขดตัวลงด้านล่างโดยไม่รู้ตัว ทั้งยังหยิบกิ่งของต้นไซเปรสที่เอาไว้ขจัดสิ่งชั่วร้ายที่อยู่ในน้ำอาบมาปกปิดส่วนที่สำคัญที่สุดไว้ด้วย
“เจ้ามาได้อย่างไร ข้ากำลังอาบน้ำอยู่นึกว่ามันเป็นภาพหลอนดังนั้น… ” เขายังถึงกับเตรียมที่จะอธิบาย แต่หารู้ไม่ว่าเรื่องเช่นนี้ยิ่งอธิบายยิ่งฟังดูเลวร้ายมากขึ้น ไม่อธิบายเลยจะดีเสียกว่า
“หึๆๆๆ” ซินเย่ว์หัวเราะอย่างมีเลศนัยไม่หยุด เมื่อครู่ยังเขินอายมากไม่รู้ว่าจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์เช่นนี้อย่างไรดี น้ำที่อวิ๋นเยี่ยพ่นใส่นางได้ทำให้นางได้สติขึ้นมา ถูกต้อง เขาเป็นผู้ชายของข้า จะอายอะไรกัน จึงเงยหน้าขึ้นและจ้องมองอวิ๋นเยี่ยตาไม่กะพริบ มองจนอวิ๋นเยี่ยกลอกตาไปมารอบๆ เพื่อหลบสายตา
“ข้ามาช่วยเจ้าอาบน้ำ ท่านย่าสั่งน่ะ” หลังจากพูดจบก็หยิบรังบวบจุ่มลงน้ำและถูหลังให้เขาเบาๆ
มือเล็กๆ ที่ขาวราวกับหยกคู่หนึ่งลูบไล้ไปมาอยู่บนไหล่และแผ่นหลัง ถึงแม้ว่าอวิ๋นเยี่ยจะเป็นวัยรุ่นมาแล้วสองภพก็ไม่มีแรงต่อต้านเลยแม้แต่น้อย ในห้องนี้ร้อนมาก ท่านย่าได้สั่งให้วางเตาถ่านสองอันไว้ในห้อง การหายใจเริ่มเหนื่อยหอบมากขึ้น อวิ๋นเยี่ยหยุดมือที่ถูไหล่ให้เขาและกุมไว้ในฝ่ามือ ค่อยๆ วางมือของซินเย่ว์ไว้บนหน้าอก ให้นางได้สัมผัสถึงหัวใจของตนเองที่เต้นอย่างรุนแรง
ซินเย่ว์ราวกับว่าถูกกระชากวิญญาณไปในพริบตา แนบกายลงบนแผ่นหลังอวิ๋นเยี่ยอย่างอ่อนแรง ลมหายใจอันหอมหวนลอยที่เย้ายวนเล็กน้อยมาจากด้านหลังกกหูของอวิ๋นเยี่ย ไม่คิดว่าเด็กผู้หญิงคนนี้จะอ่อนไหวมากถึงเพียงนี้ หญิงงามอยู่ด้านหลังมีหรือที่อวิ๋นเยี่ยยังจะต้องเกรงใจอีก หันกลับมาและกอดร่างที่อ่อนระทวยของซินเย่ว์ไว้แน่น มองไปที่ริมฝีปากเล็กๆ แล้วจูบลงไป ในเวลานี้มือก็ได้ลูบไล้อยู่ที่หน้าอกของซินเย่ว์ด้วยความเชี่ยวชาญตั้งนานแล้ว…
อาหญิงได้ยินเสียงออดอ้อนของซินเย่ว์จึงนึกว่างานใหญ่สำเร็จแล้ว ในขณะที่นางกำลังฉลองอยู่นั้นก็พบว่าอาจารย์อวี้ซันมาที่ลานหลังบ้าน ตระกูลอวิ๋นแทบจะไม่จำกัดพื้นที่ต่ออาจารย์ทั้งสี่คน พวกเขาคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี ครึ่งปีที่ผ่านมาเขาเองก็เป็นห่วงอวิ๋นเยี่ยมากเช่นกัน เมื่อเขาคิดว่าหลานสาวของเขาอาจเป็นหม้ายเขารู้สึกเสียใจภายหลังที่เชื่อคำของหลี่กัง ที่ได้รีบหมั้นหมายซินเย่ว์ให้กับอวิ๋นเยี่ย ตอนนี้เขาได้ยินว่าอวิ๋นเยี่ยกลับมาอย่างปลอดภัยก็ต้องหายใจได้ทั่วท้องเป็นธรรมดา แต่ถ้าไม่มาดูด้วยตาก็ยังคงไม่วางใจ
“อาหญิงอวิ๋น หลานชายของเจ้าอยู่ที่ไหน จริงสิเสี่ยวเย่ว์ไปไหนแล้ว ทำไมข้าไม่เห็นนาง” อาจารย์อวี้ซันถามอากญิงอวิ๋นอย่างเสียงดัง
อาหญิงอวิ๋นร้อนใจมาก มีหรือจะกล้าบอกว่าซินเย่ว์อยู่ในห้องหลานชายนาง ในช่วงเวลาสั้นๆ หาข้อแก้ตัวไม่ได้ จึงได้แต่อึกๆ อักๆ ไม่พูดอะไร
ข้าได้ยินว่าเจ้าหนุ่มกำลังอาบน้ำ ขอดูหน่อยแล้วก็จะไป” พูดพลางก็เปิดประตู
เมื่อเห็นอวิ๋นเยี่ยกำลังอาบน้ำ กวาดตาขึ้นลงครู่หนึ่งและพูดกับอวิ๋นเยี่ยว่า “เจ้าหนุ่ม ไม่ได้รับบาดเจ็บใช่ไหม”
“ขอบคุณอาจารย์อวี้ซันที่เป็นห่วง ข้าปลอดภัยดี” อวิ่นเยี่ยพูดกับอาจารย์อวี้ซันพลางกวักน้ำขึ้น
“อื้อ เช่นนั้นเจ้าก็อาบน้ำก่อน แล้วพวกเราค่อยๆ มานั่งคุยกัน” หลังจากพูดจบก็ปิดประตูแล้วเอามือไพล่หลังเดินออกไป อาหญิงรู้สึกประหลาดใจมาก หรือจะบอกว่าอาจารย์อวี้ซันเองก็ร้อนรนจนทนรอเรื่องแต่งงานของหลานสาวไม่ไหวแล้ว เห็นเหตุการณ์เช่นนี้แต่ก็ไม่ถือสาเช่นกัน ในใจเกิดความสงสัยมากมายแต่ก็น่าเกลียดที่จะเปิดประตูดู จึงได้แต่ต้องเก็บความสงสัยไว้ในใจ
อวิ๋นเยี่ยไม่เห็นซินเย่ว์ขยับเขยื้อนเป็นเวลานานจึงก้มหน้าดู แม่หนูคนนั้นดำลงไปในน้ำและยังไม่ยอมโผล่ขึ้นมา กลัวว่านางจะเป็นอะไรไปจึงรีบดึงตัวขึ้นมา เห็นเพียงซินเย่ว์ที่ดวงตาปรือราวกับว่าอายจนไม่กล้าเงยหน้า สายน้ำเล็กๆ ไหลลงมาจากช่องแคบขาวๆ บริเวณทรวงอกของนาง อวิ๋นเยี่ยจ้องมองจนสมาธิแตกซ่าน มุดหน้าไปที่ทรวงอกของซินเย่ว์ สูดดมกลิ่นหอมอ่อนของกล้วยไม้บนกายนาง มือเตรียมที่จะถอดกางเกงชั้นในของซินเย่ว์ออก เพื่อที่จะถอดเสื้อชิ้นสุดท้ายบนร่างนาง
ซินเย่ว์หยุดมือมารของอวิ๋นเยี่ยไว้ ไม่อนุญาตให้ก้าวล้ำไปมากกว่านี้ ซุกตัวอยู่ในอ้อมกอดของอวิ๋นเยี่ยครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโดดออกจากถังไม้ หยิบเสื้อผ้าที่อยู่ด้านหลังถังมาสวมใส่อย่างรวดเร็ว สวมเสื้อผ้าเสร็จก็ไม่มีเวลาใส่ใจกับผมที่เปียกโชก จูบที่แก้มอวิ๋นเยี่ยเบาๆ แล้วก็วิ่งหนีไป ปล่อยให้อวิ๋นเยี่ยผู้น่าสงสารอยู่คนเดียวมองดูน้องชายที่เตรียมทำงานใหญ่ต้องแหงนหน้ามองฟ้าแล้วถอนหายใจ “ทำไมจึงเป็นเช่นนี้”
ตระกูลอวิ๋นจัดงานเลี้ยงขนาดใหญ่เพื่อฉลองการชนะศึกกลับมาของผู้นำตระกูล พวกเขาได้เตรียมงานตั้งแต่เช้าจรดค่ำ ผู้หญิงทุกคนในหมู่บ้านตระกูลอวิ๋นต่างก็มีส่วนร่วมในการเตรียมงานเลี้ยง แน่นอนว่าเฉิงฮูหยินและหนิวฮูหยินที่อยู่ในฉางอันได้มาถึงที่หมู่บ้านตั้งแต่เช้า ฮูหยินทั้งสองของตระกูลอวี้ฉือก็ติดตามอวี้ฉือเหล่ากั๋วกงมาร่วมฉลองด้วย ลูกหลานของหลี่จิ้งและหลี่จีก็มาร่วมด้วย หลี่เฉิงเฉียนขี่ม้าชั้นเลิศห้อตะบึงมาด้วยความเร็วสูงสุด
ในสำนักศึกษานั้นยิ่งกว่าผึ้งแตกรัง หลี่กังพาอาจารย์หลีสือซึ่งเพิ่งรีบกลับมาจากบ้านเดินทางมาด้วยกัน อาจารย์หยวนจางและจ้าวเหยียนหลิงนั่งเกวียนเทียมวัวโยกเยกมาจนถึงตระกูลอวิ๋น โดยบอกว่าได้ยินว่าอวิ๋นโหวกลับมาแล้วจึงยังไม่ได้ทานอาหารกลางวัน เร่งรีบให้ตั้งโต๊ะอาหาร ผู้นำตระกูลกงซูนั้นวางท่ายิ่งใหญ่ต้องให้ตระกูลอวิ๋นจัดเตรียมรถม้าไปรับมา ทั้งยังต้องเป็นรถม้าคู่ของเจ้าบ้านอีกด้วย เมื่อมาถึงก็ไม่ถามว่าลูกชายของตัวเองยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ เดินตรงไปทักทายร่วมนั่งกับอวี้ฉือกง
แม่เฒ่ามองดูซินเย่ว์ที่ยิ้มแย้มเบิกบานราวกับผีเสื้อร่ายรำอยู่หมู่พฤกษาท่ามกลางหญิงผู้ติดตามก็ทอดถอนใจ ทำไมจึงไม่รู้จักบอกว่าไม่สะดวกบ้างนะ เช่นนี้ก็ไม่มีเหลนน่ะสิ ลมหายใจแห่งความคับข้องใจของแม่เฒ่าได้สาดกระเซ็นอยู่บนศีรษะของอาจารย์อวี้ซัน มองอาจารย์อวี้ซันอย่างขวางหูขวางตาไปหมด ทำให้ชายชราคิดอย่างไรก็คิดไม่ตกว่าตนเองได้ไปล่วงเกินอะไรแม่เฒ่าคนนี้ไว้กันแน่ จึงทำให้นางปฏิบัติต่อตนเองเช่นนี้
งานเลี้ยงได้จัดตั้งแต่ในห้องโถงรับแขกไปจนถึงด้านนอกของลานหลังบ้าน บนถนนก็ได้จัดเรียงไว้เป็นแถวยาวเหยียด เหล่าเฉียนยุ่งอยู่กับการเตรียมเพิงใหญ่ เหล่าจวงกำลังยุ่งอยู่กับการรักษาความสงบเรียบร้อย เมิ่งปู้ถงและต้วนเหมิ่งรอต้อนรับแขกที่ประตู หลี่ไท่และหลี่เค่อตรวจสอบสิ่งของที่อวิ๋นเยี่ยนำกลับมา ท้ายที่สุดก็ให้การประเมินที่สอดคล้องกัน นอกจากทรัพย์สินเงินทองแล้ว เจ้าหมอนี่ไม่ได้นำอะไรที่มีประโยชน์กลับมาเลยแม้แต่อย่างเดียว หลี่เฉิงเฉียนนั่งบนเก้าอี้โยกและถือคริสตัลโปร่งแสงสองชิ้นไว้เบื้องหน้าเพื่อเปรียบเทียบกันไม่ยอมวางมือ เขาหวังอยากได้ของสิ่งนั้นที่ใส่อยู่บนหน้าของตาเฒ่าเฉิงมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเสี่ยวเยี่ยยังจะมีหินแบบนี้หรือไม่ ของเหล่าเฉิงเป็นสีดำ ข้าจะทำเป็นสีแดงเช่นนี้ก็เท่ากับว่าได้เกทับเขาแล้วไม่ใช่หรือ สิ่งที่ขัดตาที่สุดก็คือพฤติกรรมที่เหล่าเฉิงสวมแว่นกันแดดเดินอวดเบ่งไปทั่วทุกแห่ง คราวก่อนเสด็จพ่ออยากจะทอดพระเนตรเสียหน่อยเขาก็ยังไม่ยอม บอกว่ามันเป็นสมบัติของเหล่าเทพเซียนอะไรก็ไม่รู้ ห้ามให้คนภายนอกดูเพราะจะทำให้ไอเซียนหายไป เสด็จพ่อทรงพิโรธจนแทบจะโยนตะเกียบทิ้ง
ไม่รู้ว่าหลี่ไท่ไปเจอแว่นขยายมาจากที่ไหน ติดนิสัยชอบวางไว้ตรงหน้าเพื่อใช้ดูทำให้หลี่เค่อตกใจจนทำหินหยกที่ถืออยู่ในมือตกกระแทกใส่หลังเท้าจนร้องครวญคราง ไม่มีอะไรอื่น ก็แค่ดวงตาประหลาดขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นต่อหน้าเท่านั้น
หลี่ไท่ที่เพิ่งค้นพบของเล่นชิ้นใหม่มีหรือจะสนใจกับสภาพที่น่าเศร้าของพี่สาม เขายังคงวางแว่นขยายบนสิ่งของต่างๆ ไม่ยอมหยุด เห็นสิ่งของต่างๆ เหล่านี้ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ต่อหน้าต่อตา เสียงร้องด้วยความตื่นตาตื่นใจไม่มีหยุดปากเลย
หลี่เฉิงเฉียพบว่าพี่น้องสามคนอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขก็สบายใจเป็นอย่างมาก โยนเรื่องการแก่งแย่งกันทั้งต่อหน้าและลับหลังของบรรดาพระสนมในวังทิ้งไป มิตรภาพพี่น้องแบบนี้ทำให้เขาเริ่มหลงใหลขึ้นมาเล็กน้อย หากสามารถเป็นเช่นนี้ต่อไปได้ หลี่เฉิงเฉียนจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าเสด็จพ่อจะพระราชทานที่ดินให้น้องสี่เป็นจำนวนเท่าไร
ในสถานการณ์ที่จัดเป็นทางการ ฐานะของสามพี่น้องนั้นมีเกียรติมากที่สุด แน่นอนว่าต้องรอเข้าร่วมเป็นคนสุดท้าย มันเป็นความคิดของอวิ๋นเยี่ยที่ให้พวกเขาสามคนเข้ามาด้วยกัน เขาต้องการดูว่าแท้จริงแล้วยังมีความหวังที่จะให้สามพี่น้องปรองดองกันได้หรือไม่ ถ้าหากมี เขาก็หวังว่าจะรีบใส่ห่วงรัดไว้ตั้งแต่ครั้งแรกสุดที่มีรอยร้าวแตกออกมา
เมื่อผลักประตูออก ก็เห็นสามพี่น้องต่างคนต่างยุ่งกันอยู่ คนหนึ่งกำลังมองหาคริสตัล คนหนึ่งกำลังคำนวณทรัพย์สิน และอีกคนเตรียมจะดึงเส้นผมจากศีรษะของพี่สามเขา มองดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าสภาพของเส้นผม เมื่อขยายใหญ่แล้วมีอะไรแตกต่างกันเส้นผมที่เห็นกันในยามปกติ