“แล้วเจอกันอีกพรุ่งนี้นะ!”
เด็กสาวไม่ได้รอฟังคำตอบรับของบีพาอัน นางนัดหมายเอาเองเสร็จสรรพตามอำเภอใจ แม้อันที่จริงเขาไม่ต้องไปตามนัดที่เด็กสาวสร้างขึ้นมาเองก็ได้ ทว่าบีพาอันก็เลือกที่จะออกไปเจอเด็กสาวอย่างสม่ำเสมอ พอเป็นเช่นนั้น วันเวลาที่เขาตั้งใจจะอยู่พักแรมก็เกินเลยไป เผลอแปปเดียวปลายฤดูใบไม้ผลิก็มาถึง
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบเจอเด็กสาวที่สวนหลังวัง เขาก็ไม่ได้นึกอยากเข้าไปใกล้ท้องพระโรงอีกเลย โดยที่ไม่รู้ตัว บีพาอันใช้เวลาในแต่ละวันไปกับการคิดถึงเด็กสาวและนึกถึงภาพของนาง
“มันยังไม่ถึงเวลาที่จะบอกกันอีกหรือ”
อยู่ๆ บีพาอันก็เอ่ยถามเด็กสาวที่ส่งเสียงร้องลั่น วิ่งเล่นไปมาพร้อมกับผ้าแพรผืนบางหลากผืนรอบตัว เด็กสาวที่มีผ้าแพรพริ้วไหวพันอยู่รอบตัวก้าวพรวดๆ มาหาเขา นางนั่งลงบนพื้นทุ่งหญ้าตรงหน้าบีพาอันที่นั่งรออยู่ก่อนแล้วอย่างยิ้มแย้ม
“อะไรหรือ”
“นามของเจ้า เล่นด้วยขนาดนี้แล้วก็ควรจะบอกชื่อสกุลกันได้แล้ว”
เด็กสาวบุ้ยปาก
“ฮึ หากท่านรู้ชื่อเรา ท่านคงจะวิ่งหนีไปไกลเป็นแน่ ไม่เอาหรอก เราไม่บอก ท่านจะหนีไปแน่ๆ จะไม่อยู่เล่นด้วยกันอีกแล้ว…”
เด็กหญิงที่บ่นพึมพำอยู่สักพัก อยู่ดีๆ ก็เหม่อลอยและน้ำตาไหลออกมา บีพาอันที่ปกติเป็นคนอารมณ์ค่อนข้างคงที่ถึงกับงุนงงไปหมด ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หยดน้ำตาที่ใสเหมือนลูกแก้วหล่นอาบลงมาตามผ้าแพรผืนบางที่พันอยู่รอบตัว น้ำตาที่หยดลงไม่มีทีท่าว่าจะหยุดไหล แม้นางจะคอยเช็ดขอบตาด้วยนิ้วสวย แต่ก็ไร้ประโยชน์เพราะปริมาณของน้ำตาที่ไหลรินลงมานั้นมากเกินกว่าที่จะเช็ดออกได้หมด บีพาอันที่นั่งอยู่หน้าเด็กสาวกลุ้มใจไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรให้นางหยุดร้องไห้ ไม่รู้ว่าจะต้องลูบหัวเด็กน้อย หรือบอกว่าอย่าร้องไห้ไปพร้อมๆ กับลูบหลังให้ หรือควรจะดึงเข้ามากอดแล้วบอกนางว่ามันจะไม่เป็นอะไร เขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร เพราะไม่เคยคิดอยากจะทำให้น้ำตาของใครสักคนหยุดไหลได้มากเท่านี้มาก่อน
“ไม่หนีไปไหนหรอก ข้าจะไม่จากไปไหน”
สุดท้ายแล้ว ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากพูดปลอบออกมา อยากจะกอดเด็กสาวตัวน้อยที่ร้องไห้แต่ก็ทำไม่ได้ ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเด็กสาวคนนี้ คือนางในของฮวากุก นางในคือผู้หญิงของจักรพรรดิและพระราชา แม้ว่าจะเด็กแค่ไหนก็เห็นได้ชัดว่าเป็นสตรีที่ดูแลรับใช้สามีตน เขาไม่สามารถกอดนางได้ ไม่มีทางที่เขาจะดึงนางเข้ามากอดได้ เป็นครั้งแรกในชีวิตที่บีพาอันรู้สึกถึงความสิ้นหวังและความพ่ายแพ้ที่ไม่เป็นไปตามต้องการ เหตุใดเด็กสาวนางนี้ถึงกลายเป็นนางในของฮวากุกไปได้ ในหัวเต็มไปด้วยคำถามนั้น
“เพราะข้าอยากใกล้ชิดกับเจ้ามากขึ้น จึงอยากรู้นามของเจ้า จะให้เรียกเจ้าว่า ‘เจ้า’ ไปตลอดไม่ได้หรอกนะ”
มือของบีพาอันที่หยุดอยู่กลางอากาศครู่หนึ่งแตะลงบนผมของเด็กสาวในที่สุด เส้นผมของนางนั้นช่างนุ่มมือ เส้นผมบางไล้ไปตามซอกนิ้วมือของบีพาอันที่ลูบผมนางอยู่ เขาจับมือคู่เล็กทั้งสองข้างของเด็กสาว นัยน์ตาของนางยังคงมีน้ำตารื้นอยู่
“เราเป็นไม่คิดซับซ้อน เช่นนั้นจะเชื่อคำพูดของท่านก็แล้วกัน” เด็กหญิงที่พยักหน้า ลังเลอยู่สักพักก่อนที่จะพูดคำๆ หนึ่งออกมา
“ชันบี”
“อะไรหรือ”
“ชันบี ชื่อของเราคือชันบี”
เหมือนเขาจะเห็นริมฝีปากของเด็กสาวที่ปิดแน่นสั่นเครือ
ชันบี
“ชันบีหรือ ชันที่แปลว่า เย็น กับบีที่แปลว่า ฝน รวมกันแล้วแปลว่าฝนที่เย็นหรือ”
เด็กสาวส่ายหัวให้กับคำถามของบีพาอัน
“แค่ชันบีหรือ ชันบีคือนามของเจ้าหรือ”
เด็กสาวส่ายหัวอีกครั้ง นางถอนหายใจออกมาชั่วครู่ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง และขณะที่นางกำลังจะเปิดปากพูดบางอย่าง
“เจ้ามาทำอะไรกัน!”
เสียงของบุรุษผู้หนึ่งก็ดังขึ้น บีพาอันไม่ได้สนใจเสียงนั้นและยังคงมองไปที่เด็กสาว หากแต่เด็กสาวกลับสะดุ้งตกใจถลาออกจากอ้อมกอดของบีพาอัน เด็กสาวที่ไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร คว่ำหน้าลงกับชายผ้าแพร บีพาอันรู้สึกโมโหเสียงที่มาขัดจังหวะในตอนที่เขาจะได้รู้ชื่อของเด็กสาวแล้วแท้ๆ ใบหน้านิ่งหันไปมองแหล่งที่มาของเสียง ก็พบกับเด็กชายที่ยังดูเด็กอยู่มากสวมชุดผ้าแพรยืนอยู่
เด็กชายที่ดูจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับบีพาอันนั้นน่าจะอายุประมาณสิบห้าปีได้ แม้จะอายุน้อยแต่ก็ดูสง่างามมีภูมิฐาน แต่ถึงกระนั้นก็เทียบกับบีพาอันไม่ได้ เด็กชายเดินมาหยุดอยู่หน้าเด็กสาว
“เจ้าทำอะไรอยู่ รู้หรือไม่ว่าท่านผู้นี้เป็นใคร”
“ฝ่า ฝ่าบาทมินกุง…”
เสียงของเด็กสาวที่หวาดกลัวสั่นเทา บีพาอันหันไปมองเด็กสาวที่เรียกขานชายผู้นั้นว่าฝ่าบาทมินกุง เด็กชายที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหันคือองค์รัชทายาทมินกุงแห่งฮวากุก ยิ่งรู้ถึงสถานะของฝั่งตรงข้ามยิ่งทำให้บีพาอันหงุดหงิดมากขึ้นไปอีก
เป็นแค่องค์รัชทายาทแห่งอาณาจักรเล็กๆ กล้าดีอย่างไรมาขัดจังหวะเขา
“มินกุง หรือจะเป็นองค์รัชทายาทแห่งฮวากุก”
น้ำเสียงที่เชื่องช้าต่างจากเสียงที่ใช้กับเด็กสาวโดยสิ้นเชิงเอ่ยถามขึ้น ไม่ได้มีแต่องค์รัชทายาทมินกุงที่ประหลาดใจกับโทนเสียงนั้น เด็กสาวเองก็ใช้ดวงตากลมโตที่มีน้ำตาคลออยู่เหลียวไปมองบีพาอัน
ตอนนั้นเองที่มินกุงหันไปตอบบีพาอัน
“กระหม่อมน่าจะเคยแนะนำตัวไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ทรงจำกระหม่อมไม่ได้หรือพ่ะย่ะค่ะ”
ครั้งนี้ดวงตากลมโตของเด็กสาวหันไปทางมินกุง หากเป็นองค์รัชทายาท ก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีตำแหน่งสูงเป็นลำดับสามแห่งฮวากุก หากแต่คนระดับนี้กลับใช้คำแสดงการให้เกียรติอย่างนั้นหรือ เป็นสถานการณ์ที่เด็กหญิงผู้ซึ่งไม่รู้ถึงสถานะของบีพาอันไม่สามารถเข้าใจได้ มินกุงที่โค้งหัวคำนับลาบีพาอันจับมือของหญิงสาวแล้วลากออกไป
“ขอทรงโปรดอภัยให้กับความไม่มีมารยาทของเด็กคนนี้ด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมเพียงแต่หวังว่าเด็กคนนี้จะไม่ทำให้สัมพันธไมตรีระหว่างมกกุกและฮวากุกร้าวฉาน”
“ไม่รู้สิ นั่นมันไม่ได้ขึ้นอยู่กับองค์รัชทายาทหรอกหรือ”
สายตาของบีพาอันจ้องมองไปยังเด็กสาว มินกุงที่รับรู้ได้ถึงสายตานั้น กัดริมฝีปากแน่นพลางซ่อนเด็กสาวไว้ด้านหลังของตน เด็กสาวที่อยู่เบื้องหลังมินกุงโผล่หน้าออกมามองบีพาอัน มินกุงที่เห็นเช่นนั้นก็ดันหลังของนางออก
“เจ้าจงกลับไปที่ตำหนัก”
“แต่ว่า…”
“เร็วเข้า!”
ทันทีที่เสียงตะคอกของมินกุงดังขึ้น เด็กสาวที่สะดุ้งโหยงจนตัวสั่นก้มหัวพลางเดินออกไปจากสวนหลังวัง ไหล่ที่สั่นเทาทำให้รู้ได้ว่าเด็กสาวคงน้ำตารินไหลอีกครั้ง หน้าอกของบีพาอันเจ็บแปลบไปหมด เด็กสาวจากไปพร้อมกับน้ำตาที่หลั่งไหลออกมา มินกุงยังคงพูดต่อหลังจากนั้น หากแต่บีพาอันไม่สามารถจับใจความได้อีกต่อไป
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เด็กสาวก็ไม่เคยปรากฏตัว ณ สวนหลังวังอีกเลย เขาลองไปทุกที่ที่ตนเคยไปกับเด็กสาว แต่ก็ไม่เคยพบนางอีกเลย เด็กสาวหายตัวไปหลังจากเปิดประตูเข้ามาครอบครองหัวใจที่เคยถูกปิดไว้แน่นสนิทของเขา
ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ฮวากุกต่ออีกต่อไป
บีพาอันจากฮวากุกไปอย่างนั้น จากไปพร้อมกับเก็บนางในฮวากุกไว้ในหัวใจ