ตอนที่ 102 ความทรงจำของเนินเขา

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

เวลาเดินไปพร้อมกับวันเวลาที่ผ่านไป ตอนนี้บีพาอันวัยเยาว์เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่วัยยี่สิบสาม ที่ละทิ้งความรู้สึกของตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบ เขาซ่อนหัวใจที่โอนเอียงไปหาเด็กสาวเอาไว้ไม่บอกให้ใครรับรู้ ไม่สิ เขาบอกน้องคนโปรดอย่างรูแฮไปหลายครั้ง นั่นคือความรู้สึกอ่อนโยนเดียวสำหรับบีพาอัน การมีอยู่ของหญิงสาวต่างแดน ซ้ำยังเป็นนางในของเชื้อพระวงศ์ที่จะแตะต้อง หรือถูกสัมผัสไม่ได้ 

 

 

เขาได้แต่ซ่อนนางเอาไว้ในใจ 

 

 

และแล้ววันหนึ่ง ก็มีคำบัญชาใหม่จากจักรพรรดิออฮยูลเจ ช่างน่าขันนักที่ทรงรับสั่งให้บีพาอันต้อนรับองค์หญิงแห่งฮวากุก บ้านเกิดของเด็กสาวหนึ่งเดียวที่อยู่ในใจของบีพาอัน ทั้งๆ ที่เขานั้นก็มีชายารองอยู่แล้ว บีพาอันทำตามคำบัญชาของออฮยูลเจ ที่สั่งให้เขารับหญิงสาวเหล่านั้นเข้ามา เขาเพียงแค่ยอมแต่งไปเท่านั้น บีพาอันไม่มีแม้กระทั่งรอยยิ้ม หรือความรู้สึกใดๆ ที่จะแบ่งสรรไปให้หญิงสาวเหล่านั้น มันไม่ได้มีอยู่ตั้งแต่แรก ไม่สิ มันไม่มีเหลืออยู่เลยหลังจากที่ให้ทั้งหมดไปกับเด็กสาวสดใสที่เคยพบกัน ณ ต่างแดน 

 

 

มันเป็นวันหนึ่งที่หลังจากพูดคุยกันถึงเรื่องอภิเษก บีพาอันมักจะอ่านหนังสืออยู่ในตำหนักเสมอ ตอนนั้นเองที่ขันทีเดินเข้ามา 

 

 

“องค์หญิงลำดับที่หนึ่งแห่งฮวากุกเสด็จมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ฮวากุก 

 

 

เพียงได้ยินคำว่าฮวากุก จิตใจก็ปั่นป่วนไปหมด แต่บีพาอันก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดออกมา 

 

 

“ฝ่าบาทฮวางเซจาที่ทรงกำลังเดินเล่นอยู่ที่สวนหลังวังฝ่ายนอกเสด็จออกไปรับเสด็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“รูแฮอย่างนั้นหรือ” คิ้วของบีพาอันขมวดขึ้น “หากรูแฮ ข้าก็วางใจ” 

 

 

จิตใจกระสับกระส่ายอยู่เพียงชั่วครู่ บีพาอันหยิบหนังสือขึ้นมาอ่านต่อ หลังจากนั้นหญิงสาวที่จะมาเป็นพระชายาของตนก็ได้หายออกไปจากความสนใจอย่างสิ้นเชิง 

 

 

บีพาอันเป็นคนที่ไม่สนใจเรื่อง ‘ผู้หญิง’ เลย ความสนใจของเขามีแค่ราชบัลลังก์ ราชบัลลังก์ และราชบัลลังก์ เขาเกิดมาเพื่อที่จะเป็นจักรพรรดิ เขามองมันเป็นหน้าที่ที่ไม่ว่าจะต้องแลกมาด้วยอะไร เขาจะต้องเป็นจักรพรรดิให้สำเร็จให้ได้ เขาเกิดและเติบโตขึ้นมาเพื่อเป็นจักรพรรดิเท่านั้น เขาไม่เคยคิดจะมีความรู้สึกอบอุ่นหรืออ่อนโยนให้ผู้ใด 

 

 

ยกเว้นครั้งนั้นครั้งเดียว 

 

 

*** 

 

 

ณ วันพิธีอภิเษกสมรส  

 

 

บีพาอันมุ่งหน้าไปยังตำหนักของพระชายาที่ถูกปล่อยทิ้งร้างไว้นาน ซึ่งตั้งอยู่ทางฝั่งขวาของวังตะวันออก เขากำลังไปตำหนักดงบี การแต่งตัวคงจะใกล้เสร็จเรียบร้อยในไม่ช้า บีพาอันไปที่ตำหนักดงบีเพื่อจะพบกับสตรี ผู้เป็นองค์หญิงจากฮวากุกที่ตอนนี้จะกลายเป็นพระชายาฮวางแทจา และเขาก็ได้พบกับหญิงสาวที่ถูกคลุมด้วยผ้าสีแดง 

 

 

นางโบกไม้โบกมืออย่างน่าเป็นห่วงเพราะว่ามองไม่เห็นข้างหน้าเลยไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร 

 

 

“แม่นม แม่อยู่ที่ไหน จับมือเราหน่อย” 

 

 

บีพาอันคว้ามือขององค์หญิงที่แกว่งไปมาบนอากาศ แต่นางไม่รู้ว่ามือที่ได้สัมผัสนั้นเป็นมือของใคร เพราะบีพาอันโผล่มาในตอนที่นางถูกคลุมด้วยผ้าคลุมสีแดงนั่นเอง 

 

 

“แม่นม?” องค์หญิงรู้สึกสบายใจเพราะคิดว่าตนคว้ามือแม่นมได้แล้ว แต่แล้วนางกำนัลทุกคนก็นั่งลงพร้อมกับพูดประสานเสียงกัน 

 

 

“ทรงพระเจริญพันปี พันปี พันพันปี ถวายบังคมฝ่าพระบาทฮวางแทจาเพคะ” 

 

 

บีพาอันรับคำคารวะอย่างไม่ได้ใส่ใจ ทว่าองค์หญิงนั้นกลับตัวสั่นกับคำคารวะนี้ ไม่รู้เป็นเพราะเจ้าของมือที่ตนจับอยู่นี้กำลังประหม่าหรืออย่างไร บีพาอันรับรู้ได้ว่ามือของนางนั้นกำลังสั่นระริก 

 

 

“เราเห็นว่าองค์หญิงสาย เราจึงมารับด้วยตนเอง” 

 

 

องค์หญิงตัวสั่นอีกครั้ง นางที่กำลังสับสนอยู่นั้นเงยหน้าขึ้นและพูดว่า 

 

 

“ขออภัยเพคะ หม่อมฉันกำลังแต่…” 

 

 

“ไม่เป็นไร เราจะพาองค์หญิงไปเอง จงเดินตามเรามาและโปรดระวังเท้าด้วย” 

 

 

“เพ…คะ” 

 

 

องค์หญิงยังพูดไม่ทันจบดีบีพาอันก็จับมือของนางและดึงนำไป องค์หญิงมองไปทางด้านล่างผ้าคลุม และเดินไปข้างหน้าตามที่มือของบีพาอันนำไป ด้านหลังของทั้งคู่มีขันทีของบีพาอัน ซังกุง นางกำนัล และแม่นมขององค์หญิงเดินตามมา ด้านหลังและด้านข้างทั้งสองฝั่งยังมีทหารถือธงสีแดงเดินตามออกไปอีกด้วย  

 

 

เมื่อบีพาอันกับองค์หญิงเดินมาถึงทางเข้างานอภิเษกสมรสเสียงแตรหอยสังข์ก็ดังขึ้น และเหล่านักดนตรีก็เริ่มบรรเลงดนตรี องค์หญิงหยุดชะงักเพราะตกใจในเสียงแตรหอยสังข์ และบีพาอันก็ก้มลงไปมองนาง 

 

 

นางดูตัวเล็กกว่าที่คิดไว้มาก หากไม่รู้ว่ามาก่อนว่านางบรรลุนิติภาวะแล้ว ตนคงคิดว่านางอาจจะยังอายุไม่ถึงสิบปีเสียด้วยซ้ำ แม้จะเจอกันตอนที่นางมีผ้าคลุมหน้าอยู่ แต่ใบหน้าของนางก็คงจะเด็กน่าดู บีพาอันก้มลงเล็กน้อยแล้วกระซิบที่หูขององค์หญิงว่า 

 

 

“ไม่ต้องกังวล ตอนนี้เราจะปล่อยมือของท่าน จงมองมาที่เท้าของเราและเดินตามเรามา” 

 

 

“เพคะ…” 

 

 

เสียงเล็กนั่นสั่นน้อยๆ แม้บีพาอันจะปล่อยมือนางไปแล้วแต่ก็รับรู้ได้ถึงอาการตัวสั่นของนาง บีพาอันเริ่มเดินออกไปก่อนเมื่อเห็นว่านางสามารถยืนคนเดียวได้แล้ว และองค์หญิงก็เดินตามการเคลื่อนไหวของเขาไป แม้บีพาอันจะเห็นว่าองค์หญิงตัวสั่น แต่เขาก็แสร้างทำเป็นไม่รู้ บีพาอันเป็นคนที่ไม่ได้ใจกว้างถึงขนาดที่จะใส่ใจในทุกเรื่องของหญิงสาวตัวเล็กๆ คนนี้ 

 

 

ตอนนี้บีพาอันมีชายาเอกแล้ว  

 

 

“ฝ่าพระบาทฮวางแทจาเสด็จ” 

 

 

เสียงของซังกุงมาพร้อมกับประตูห้องที่เปิดออกและบีพาอันก็เดินเข้ามา เขาค่อยๆ เดินไปทางห้องบรรทม กโยซึลกำมือที่วางอยู่บนตักแน่น บีพาอันที่เดินเข้าไปใกล้นางค่อยๆ ดึงผ้าคลุมสีแดงออก หญิงสาวหลับตาอยู่ 

 

 

“ลืมตาเถิด” 

 

 

อึก 

 

 

ดวงตาดำเข้มของกโยซึลที่ถูกซ่อนอยู่สั่นระริก หลักจากที่บีพาอันดึงผ้าคลุมสีแดงวางลงบนพื้น ในตอนนี้เขากำลังมองใบหน้าของกโยซึลอยู่ 

 

 

ดูแปลกหน้า แต่ก็คุ้นเคย 

 

 

บีพาอันที่ถูกล้อมรอบไปด้วยความรู้สึกที่ไม่อาจเข้าใจได้ ไม่นานก็กลับมาสงบนิ่งได้เหมือนเดิม แม้ความงามของหญิงที่อยู่ตรงหน้าจะไม่ธรรมดา แต่เขาก็ได้พบเห็นหญิงงามในมหาจักรวรรดิมกกุกนี้มามากมายมายนัก 

 

 

แต่กระนั้นก็ยังหวั่นไหวให้กับความงดงามนี้หรือ 

 

 

เขาไม่เข้าใจหัวใจตัวเองที่กระสับกระส่ายเมื่อสักครู่นี้ 

 

 

“เงยหน้าขึ้น” 

 

 

“…” 

 

 

“เงยหน้ามองเรา เราคือบีพาอัน สามีของเจ้า” 

 

 

กโยซึลค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ตากลมโตคู่นั้นเต็มไปด้วยความหวาดกลัว  

 

 

กำลังกลัวอย่างนั้นหรือ นางหวาดกลัวเราที่เป็นสามีของนางเช่นนั้นหรือ ช่างเยาว์วัยนัก 

 

 

บีพาอันหัวเราะออกมาเบาๆ นี่เป็นครั้งแรกที่กโยซึลได้พบกับบีพาอัน บีพาอันกับกโยซึลไม่พูดจากันและมองหน้ากันสักพัก และบีพาอันก็ทำลายช่วงเวลาที่นิ่งเงียบไป เขาถอดเสื้อสีแดงตัวนอกออกแล้วนำไปวางไว้ที่ปลายเตียง เมื่อถอดเสื้อสีแดงสดดุจกลีบกุหลาบตัวนอกออกแล้ว ด้านในก็ยังมีชุดสีแดงเข้มสวมไว้อยู่อีกชั้นหนึ่ง บีพาอันที่สวมชุดสีแดงเข้มอยู่นั้น คราวนี้ได้ถอดเสื้อตัวนอกของกโยซึลออก รวมทั้งถอดเครื่องประดับที่ห้อยระย้าอยู่ด้วย 

 

 

และเขาก็หยุดเพียงเท่านั้น 

 

 

“ชายา” 

 

 

หลังจากที่บีพาอันทำการถอดเสื้อตัวนอกออก กโยซึลที่หลับตาแน่น และยืนเกร็งตัวอยู่นั้นก็ต้องเงยหน้าขึ้นมองเมื่อได้ยินเสียงบีพาอันเรียกตน บีพาอันลูบไล้ไปที่ใบหน้าของนางอย่างนุ่มนวลด้วยมือที่ใหญ่และอบอุ่น แล้วเขาก็เอามือลง แล้วถอยหลังออกไปก้าวหนึ่ง ทันใดนั้นใบหน้าของบีพาอันพลันเปลี่ยนไปเย็นชาทันที 

 

 

“ทรงจะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อย่างไรก็ได้ เราไม่สนใจ จะปักผ้า หรืออ่านหนังสือ เราไม่มีส่วนที่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น แต่โปรดอย่ามาขวางเส้นทางในภายภาคหน้าของเรา และต้องทำในสิ่งที่เราสั่ง อย่าได้มาขวางการขึ้นครองบัลลังก์ของเรา ที่เหลือก็แล้วแต่ชายาจะประสงค์” 

 

 

บีพาอันพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำและเยือกเย็นอย่างไม่ช้าไม่เร็ว เมื่อพูดจบเขาก็หันหลังไปนั่งที่หน้าโต๊ะสุรา เมื่อเขาหันหลังให้กโยซึลแล้ว ก็พูดต่อว่า 

 

 

“อ้อ แล้วก็ไม่ต้องรอเรา เราคงไม่มีกิจอันใดที่ต้องมาหาชายา” 

 

 

หลังจากพูดจบบีพาอันก็ไม่เอ่ยอะไรอีกเลย กโยซึลที่กำลังตะลึงงันจ้องมองไปที่แผ่นหลังของบีพาอัน แม้แต่จะเอ่ยปากพูดสักนิดนางก็ยังไม่กล้า 

 

 

บีพาอันที่นั่งอยู่หน้าโต๊ะสุราคิดว่ารอให้ดึกอีกสักหน่อยก็จะกลับไปที่ตำหนักดงชอน ตอนนี้สติกลับมาแล้ว แล้วเขาก็ยังไม่ง่วงนอน เขาได้ยินเสียงลมหายใจแผ่วเบา เสียงลมหายใจของหญิงสาวที่นั่งอยู่บนเตียง ในตอนนี้ทั่วทิศตกอยู่ในความเงียบ เงี่ยหูฟังเพียงนิดก็ได้ยินเสียงลมหายใจของนางอย่างชัดเจน ได้ฟังเสียงลมหายใจแผ่วเบาเช่นนี้ แล้วบีพาอันพลันรู้สึกผ่อนคลายขึ้นอย่างไม่รู้สาเหตุ เขานั่งฟังอยู่อย่างนั้นจนเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว เขาไม่ได้ตั้งใจจะอยู่จนสว่างแต่ก็อยู่ไปแล้ว บีพาอันไม่เข้าใจการกระทำของตนเองที่ทำต่อกโยซึลตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกัน หัวใจไม่ได้รู้สึกอย่างนั้น แต่ร่างกายกลับขยับไปเองอย่างน่าประหลาดใจ 

 

 

ทำไมกัน 

 

 

บีพาอันที่หลับตาคิดสงสัยอยู่สักพัก ลุกขึ้นยืน มันเป็นความคิดที่ไร้สาระ แล้วบีพาอันก็เดินออกไปทางประตู แม้เขาจะมีความคิดมากมายแต่เขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจนาง บีพาอันที่หันหลังในกโยซึลทั้งคืนเดินออกจากห้องไป 

 

 

ครืด ตึก 

 

 

ประตูถูกปิดอย่างตั้งใจให้เกิดเสียง บีพาอันกำลังบอกตัวเองเป็นนัยให้ตัดใจจากกโยซึลด้วยการปิดประตูแรงๆ มันเป็นเรื่องอันตรายต่อบีพาอันที่เขาอยู่ในตำหนักของกโยซึลจนถึงเช้า 

 

 

จะให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้อีก และเพราะว่ามันไม่ใช่ความตั้งใจจึงยิ่งอันตรายกว่าเดิม จะต้องตัดความรู้สึกนี้ออกไป 

 

 

ต้องทำอย่างเช่นนั้น เพื่อตำแหน่งจักรพรรดิ 

 

 

*** 

 

 

ตำหนักของบีพาอันที่ตั้งอยู่กลางพระราชวังตะวันออก ตำหนักดงชอนเป็นที่ที่เงียบอยู่เสมอ แม้แต่เสียงร้องของลูกๆ ของเหล่านางในก็ไม่มีให้ได้ยิน ที่แห่งนี้ไม่อาจส่งเสียงดังได้ บีพาอันนั่งอยู่ในห้องหนังสือ เขายืดแขนออกวางลงด้านหน้า แขนซ้ายเท้าคาง และมือขวาของเขาก็กำลังเคาะโต๊ะอยู่ 

 

 

กึก กึก กึก กึก… 

 

 

เล็บยาวที่กระทบกับโต๊ะไม้ส่งเสียงก้อง หลังจากกลับมาจากตำหนังของกโยซึล บีพาอันเอาแต่นั่งอยู่ที่โต๊ะหนังสืออยู่พักใหญ่ ทว่าเขาหาได้อ่านหนังสือสักเล่มไม่ หากเขาวางหนังสือไว้แล้วไม่อ่านนั้นหมายความว่าเขากำลังมีข้อสงสัยบางอย่าง ในหัวของบีพาอันตอนนี้กำลังหาคำตอบให้กับคำถามสองคำถาม 

 

 

ในตอนนั้นเหตุใดเราจึงลูบหน้าของนางกัน เหตุใดเราถึงนั่งอยู่ที่นั่นทั้งคืน 

 

 

นางยังคงเป็นเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง ถึงแม้นางจะดูเด็กแต่ใบหน้าของนางก็งดงามนัก และดวงตาคู่นั้นก็ดูเหมือนพร้อมที่จะหลั่งน้ำตาออกมาได้ทุกเมื่อ ความกลัวต่อตัวเขาที่สะท้อนอยู่ในดวงตาคู่นั้นมีมากพอๆ กับหยดน้ำตา มือที่สั่นเทาด้วยความหวาดกลัวของนางขาวซีด ภายใต้ชุดสีแดงตัวใหญ่นั้นมีร่างผอมบางที่พร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อซุกซ่อนอยู่ 

 

 

“ช่างเป็นเด็กที่น่าเวทนานัก” 

 

 

บีพาอันที่กำลังบ่นพึมพำพลันยิ้มออกมา เพราะเรื่องนั้นหรือ เพราะตนรู้สึกเวทนาเด็กสาวตัวเล็กที่ต้องจากฮวากุกอันไกลโพ้นมาเช่นนั้นหรือ ถึงได้ทำเช่นนั้นลงไป บีพาอันเอามือที่เท้าคางอยู่ไปลูบที่บริเวณหน้าอกของตน 

 

 

“เจ้ามีความรู้สึกพรรค์นี้ด้วยหรือ ความเห็นอกเห็นใจหรือ ความสงสารหรือ ช่างน่าขันเสียจริง” 

 

 

เมื่อบีพาอันได้คำตอบ เขาก็เลื่อนสายตาไปที่หนังสืออีกครั้ง แล้วก็มองเลยไปที่ชั้นหนังสือ 

 

 

ถ้านั่นเป็นคำตอบที่ถูกต้องก็คงจะดี เป็นเพียงความเห็นอกเห็นใจ ความสงสาร หวังว่ามันจะเป็นเพียงแค่ความรู้สึกนั้น หากไม่ใช่ แล้วมันคือความรู้สึกบางอย่างที่อบอุ่น อ่อนโยน…ก็จะปล่อยให้มันเป็นอย่างนั้นไม่ได้เด็ดขาด 

 

 

ทว่าโชคชะตากลับไม่เข้าข้างบีพาอัน