ตอนที่ 103-1 ช่องว่างของเนินเขา

ซ่อนรักเคียงบัลลังก์

ในหนึ่งวันของฮวางแทจาอย่างบีพาอันนั้นอัดแน่นไปด้วยกิจวัตรที่จำเจ เขาดูแลงานทุกอย่างได้อย่างครบถ้วนไร้ความผิดพลาด ทว่าวันนี้มันกลับต่างออกไป ขันทีที่ยืนประจำอยู่หน้าประตูขานแจ้งออกมาเบาๆ เป็นเหตุให้บีพาอันต้องละความสนใจจากงานตรงหน้า 

 

 

“ฝ่าพระบาทฮวางแทจาพ่ะย่ะค่ะ พระชายาฮวางแทจาเสด็จมาพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

“ชายาหรือ” 

 

 

บีพาอันวางกระดาษและพู่กันที่ถืออยู่ลง หลังจากนั้นจึงเอ่ยบอกให้ขันทีเปิดประตูให้กโยซึลเข้ามา วันเวลาหลังจากวันนั้นของบีพาอันที่หมุนเวียนไปอย่างจำเจ ได้ปรากฏคลื่นระลอกใหม่ขึ้น  

 

 

“เมื่อคืนทรงนอนหลับสบายหรือไม่เพคะ” 

 

 

หญิงสาวแรกรุ่นผู้สวมวิกอันสวยสง่าน่ามอง และสวมชุดผ้าแพรที่ซ้อนทับกันหลายชั้นทำความเคารพอย่างนอบน้อมอยู่ตรงหน้าโต๊ะเขียนหนังสือ นางคือกโยซึล ผู้ที่ยังคงดูจะไม่ชินกับเครื่องแต่งกายและการแต่งหน้าในฐานะชายาฮวางแทจาเสียเท่าไร หลังจากที่เอ่ยทักทายยามเช้าด้วยน้ำเสียงที่สั่นระริกแล้ว นางก็นั่งลงที่เบาะรองนั่ง 

 

 

“เมื่อคืนทรงบรรทมเป็นอย่างไรบ้างเพคะ เสวยอาหารเช้าหรือยังเพคะ” 

 

 

บีพาอันรู้สึกงุนงงกับการทักทายที่นิ่งสงบเกินคาดของกโยซึล และเพราะนางพยายามปกปิดความเขินอาย คำที่เปล่งออกไปจึงฟังดูห้วนนัก ทว่ากโยซึลก็ยังคงมุ่นมั่นที่จะต่อบทสนทนา แม้จะพูดอึกอักอยู่บ้าง กโยซึลเคยได้ยินมาว่าการมาทักทายยามเช้าเป็นธรรมเนียมของมกกุก ถึงแม้นางจะถูกตำหนิในวันแรก แต่ในวันถัดมา นางก็ยังคงมาที่ตำหนักดงชอนเช่นเดิม 

 

 

“หม่อมฉันจะมาเข้าเฝ้าในเวลานี้ทุกวันเพคะ” 

 

 

ครั้งแรกที่ได้พบกัน กโยซึลดูเหมือนกับสัตว์ตัวน้อยที่กำลังหวาดกลัว บีพาอันคิดว่านางนั้นช่างอ่อนแอเหลือเกิน ทว่าหลังจากที่นางเริ่มการมาเยือนเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบบีพาอัน ในตอนนี้นางกล้าที่จะเงยหน้ามองบีพาอันตรงๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้เขาแล้ว เป็นรอยยิ้มกว้างที่บีพาอันเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรกในพระราชวังแห่งนี้ ทว่าอีกมุมหนึ่งก็รู้สึกคุ้นเคยกับมันยิ่งนัก 

 

 

ยิ้มแบบนี้ก็เป็นหรือ 

 

 

บีพาอันมองข้ามไปอย่างไม่ได้แสดงท่าทีอันใด เขาคิดเพียงว่าตนแค่ไม่คุ้นชินกับรอยยิ้มของกโยซึลที่ได้เห็นเป็นครั้งแรก และเหตุผลที่ตนปวดหนึบที่หัวใจ คงจะเป็นเพราะอาการท้องเฟ้อจากอาหารเช้า เขามองข้ามมันไปอย่างโง่งม 

 

 

หลายวันผ่านไป กโยซึลแวะเวียนมาที่ตำหนักดงชอนในทุกเช้า ในตอนนี้บีพาอันเองก็เริ่มคุ้นชินกับกิจวัตรนี้แล้ว เมื่อใกล้ถึงเวลาที่กโยซึลจะมา บีพาอันจะจัดแจงโต๊ะหนังสือ แล้วนั่งพักเอนหลังรอการมาเยือนของนาง กโยซึลที่เข้ามาแทรกแซงกิจวัตรประจำวันอันแสนจำเจที่ดำเนินมาอย่างยาวนานหลายสิบปีของบีพาอัน เริ่มมีพื้นที่เป็นของตัวเองทีละน้อย นางดูสดใสกว่าวันแรกที่มาถึงนัก แม้บีพาอันจะไม่พูดอะไรเลย ทว่าอาจเป็นเพราะได้เห็นหน้ากันอยู่บ่อยๆ กโยซึลจึงรู้สึกคุ้นเคยกับเขามากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกนางเพียงแค่เอ่ยถามสารทุกข์สุกดิบอย่างขัดเขิน แต่นานวันเข้า นางก็ยิ่งเริ่มพูดมากขึ้น ในวันนี้เอง กโยซึลก็ยกเรื่องใหม่ขึ้นมาพูด 

 

 

“หม่อมฉันได้พบกับสหายที่ดีแล้วเพคะ” 

 

 

“…สหายอย่างนั้นหรือ” หางคิ้วของบีพาอันกระตุกเล็กน้อย  

 

 

สหาย ช่างเป็นคำที่ไกลตัวบีพาอันยิ่งนัก ทว่ากโยซึลกลับพูดโอ้อวดออกมาอย่างไร้ซึ่งความเขินอาย แม้ในตอนนี้นางจะอยู่ในพระราชวังแห่งนี้ แต่นางเล่ามันออกมาอย่างกระตือรือร้น แม้จะรู้สึกเพลิดเพลินกับการได้ฟังเรื่องราวที่ถูกเล่าด้วยน้ำเสียงสดใสนั่น ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่บีพาอันติดใจ นั่นก็คือ จะมีผู้ใดที่เข้ามาพูดคุยกับนางโดยที่ไม่มีสิ่งใดแอบแฝงด้วยหรือ 

 

 

“อ่าใช่ เขาคือคนที่ออกมารับหม่อมฉันในวันแรกที่มาถึงมกกุกเพคะ” 

 

 

เมื่อได้ยินดังนั้น บีพาอันก็รู้ได้ทันทีว่าสหายคนนั้นคือ รูแฮ หากเป็นรูแฮ คงจะไม่ต้องกังวลเรื่องที่คิดเมื่อครู่ เพราะรูแฮเป็นคนอ่อนโยน ผู้ซึ่งไม่เหมาะกับพระราชวังแห่งนี้เช่นเดียวกับกโยซึล แต่คนที่กโยซึลพูดถึงอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้คือ รูแฮอย่างนั้นหรือ 

 

 

“ชายา” 

 

 

“เพคะ” 

 

 

“อย่าเที่ยวเล่นไปมาในพระราชวังโดยไร้ประโยชน์ ทรงต้องจงจำไว้ว่าที่นี่คือพระราชวังอันเข้มงวด ที่ซึ่งต่างจากอาณาจักรฮวากุกที่ชายาเคยเที่ยวเล่นได้อย่างอิสระ ย่างเท้าอันเบาหวิวของชายาอาจนำมาซึ่งสายลมแรงก็เป็นได้ อย่าทำให้เราต้องพูดอะไรเดิมๆ ซ้ำๆ อีก เราจะต้องพูดถึงมันอีกกี่ครั้งกัน” 

 

 

บีพาอันกระแอมออกมาเบาๆ พร้อมกับเดาะลิ้น คำพูดร้ายกาจถูกเอ่ยออกมาอีกแล้ว กโยซึลที่เมื่อครู่ยังร่าเริงอยู่สงบนิ่งลงทันที ไม่ว่าเมื่อใดก็ไม่ได้ดั่งใจเลยสักนิด มันน่าขัดใจนัก 

 

 

เป็นเพียงแค่หนังที่แทรกอยู่ที่โคนเล็บเท่านั้น 

 

 

ให้ความสนใจเพียงเพราะมันไม่เป็นไปตามที่ตนต้องการก็เท่านั้น แล้วบีพาอันก็ควบคุมสายตาที่สั่นไหวอย่างไม่ทราบสาเหตุให้สงบลง 

 

 

หลังจากวันนั้นบีพาอันก็ปฏิเสธการเข้าพบของกโยซึล เขาเองก็ไม่อาจเข้าใจความว้าวุ่นของตัวเองได้ว่ามันเป็นเพราะเกลียวคลื่นที่ซัดแทรกเข้ามาในกิจวัตรประจำวันจนทำให้เกิดความวุ่นวาย หรือเป็นเพราะรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นเมื่อพูดถึงชายอื่นต่อหน้าตนกันแน่ แต่เหนือสิ่งอื่นใด บีพาอันควรจะหยุดตัวเองไว้เสียตั้งแต่ตอนที่เขาขับไล่กโยซึลให้ออกไปแล้ว แต่เขานั้นกลับหาข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นอย่างการออกไปเดินเล่น เพื่อที่จะไปสวนหลังวังฝ่ายนอก 

 

 

“ขออภัยขอรับ กระหม่อมล้อเล่นมากเกินไป จึงทำให้พระชายาฮวางแทจาไม่สบายใจ” 

 

 

เป็นเสียงของรูแฮ บีพาอันรู้สึกว่าหูของตัวเองผึ่งขึ้น หลังจากนั้นเขาก็ย่างเดินเข้าไปใกล้เนินเขานั่น กโยซึลยืนอยู่ตรงนั้น และรูแฮก็อยู่ตรงนั้นเช่นเดียวกัน รูแฮกำลังนั่งชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น พร้อมกับก้มหน้าลงอยู่ตรงหน้ากโยซึลที่ยืนอยู่ราวกับว่าเขากำลังทำความเคารพต่อนายทหาร แต่แง่หนึ่งก็ดูเหมือนกับบุรุษที่กำลังอ้อนวอนต่อคนรักของตน 

 

 

“ยูอึลจิน…” 

 

 

ใจของบีพาอันเจ็บแปล๊บขึ้นมา ภาพที่กโยซึลลูบหัวรูแฮนั้นช่างขัดตาเขายิ่งนัก ยิ่งไปกว่านั้น คำเรียก ‘ยูอึลจิน’ ก็ฟังดูขัดหูเขามากทีเดียว ที่มกกุกนั้นการเรียกขานเพศตรงข้ามเพียงชื่อ ไม่เอ่ยเรียกนามสกุลเป็นการเรียกขานกันของคู่รัก บีพาอันลืมแม้กระทั่งว่าตนกำลังแอบเดินเข้าไปใกล้ทั้งคู่อย่างลับๆ เขาปรากฏตัวต่อหน้าทั้งสองคนในทันที ริมฝีปากของเขาสั่นระริก น้ำเสียงที่เย็นชาและเจือความเย้ยหยันถูกเปล่งออกมา แม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่เขาตั้งใจจะพูดก็ตาม  

 

 

“โอ้โฮ ความสัมพันธ์ถึงขั้นเรียกกันเพียงชื่อแล้วอย่างนั้นหรือ”