ภาคที่ 28 จิตข้าคือจิตฟ้า ตอนที่ 10 ละโมบหรือ

Snow Eagle Lord อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 10 ละโมบหรือ โดย Ink Stone_Fantasy

วิญญาณภายในกายของผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำซึ่งมีศีรษะเป็นวัวกลับมีรอยประทับสีเขียวสะท้อนขึ้นมา ทำให้หัวใจของตงป๋อเสวี่ยอิงคันยุบยิบขึ้นมา “ศิษย์ของจอมมารดาหรือนี่ คนแรกที่ข้าตรวจสอบเมื่อมาถึงข้ามาถึงดินแดนเมฆสวรรค์ ก็ตรวจพบศิษย์ของจอมมารดาแล้วหรือนี่” เมื่อดูจากข้อมูลที่ได้เก็บรวบรวมมาก่อนหน้านี้ ประมุขดินแดนเมฆสวรรค์นั้นมาจากผู้แกร่งกล้าท้องถิ่นเป็นหลัก ลัทธิใหญ่ทั้งสองและโลกทิพย์ทั้งสามส่งผลกระทบเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรผู้แกร่งกล้าที่พวกเขาส่งมาก็มีจำนวนน้อยนิดยิ่งนัก

“ตู้ม”

ในสายตาของคนนอก หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงฟันผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำซึ่งมีศีรษะเป็นวัวจนกระเด็นไปภายในกระบี่เดียวแล้ว จากนั้นก็สำแดงประกายกระบี่สายแล้วสายเล่าออกมาต่อเนื่องกัน ประกายกระบี่มากมายวาดข้ามท้องฟ้าแล้วปกคลุมผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำซึ่งมีศีรษะเป็นวัวเอาไว้ แล้วพันพาดผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำซึ่งมีศีรษะเป็นวัวจนแหลกเป็นผุยผงสิ้นชีวิตคาที่ไปในทันที!

“ดี”

“ช่างร้ายกาจเสียจริง” ประมุขยอดเขาทั้งสาม ผู้อาวุโสทั้งสองและเหล่าศิษย์ทั้งหลายของเขากระบี่สวรรค์เห็นเข้าก็ตื่นเต้น ผู้ที่ตายไปนั้นเป็นถึงรองประมุขหุบเขาเปลวอัคคี เป็นผู้ที่มีพลังเป็นอันดับสองของหุบเขาเปลวอัคคี แต่กลับถูกกดดันและโจมตีจนสิ้นซากไป

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วยชีวิต”

“ขอบคุณผู้อาวุโส”

พวกเขาพากันทำความเคารพอย่างซาบซึ้ง สถานการณ์พลิกผันจากความสิ้นหวัง ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความซาบซึ้งต่อตงป๋อเสวี่ยอิง นอกจากนี้ยังสามารถตัดสินได้ว่า ยอดฝีมือเร้นลับตรงหน้าผู้นี้ยืนอยู่ทางฝ่ายพวกเขา

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า จากนั้นก็โบกมือคราหนึ่งแล้วเก็บสมบัติล้ำค่าที่ผู้แกร่งกล้าอาภรณ์ดำซึ่งมีศีรษะเป็นวัวทิ้งเอาไว้ลงไปพลางลอบคิดว่า “เขาคนนี้เป็นผู้ที่พลังจัดเป็นอันดับสองของฝ่ายหุบเขาเปลวอัคคี ก็เป็นศิษย์ของจอมมารดา เช่นนั้นก็เป็นไปได้มากว่าประมุขหุบเขาผู้มีพลังสูงที่สุดก็จะเป็นศิษย์ของจอมมารดาด้วยเช่นกัน”

ตามความเข้าใจของเขา

ลัทธิใหญ่ทั้งสองเผยแพร่ลัทธิอยู่ในดินแดนเก้าเมฆา มีสภาพการณ์สองแบบด้วยกัน

อย่างแรกก็คืออยู่ในขอบเขตขุมอำนาจการปกครองของพวกเขา นั่นเป็นการเผยแพร่ลัทธิตามอำเภอใจ ต่อให้เป็นชีวิตเหนือธรรมดาที่อ่อนแอก็ล้วนต้องนับถือจอมเทพศักดิ์สิทธิ์หรือจอมมารดาทั้งสิ้น

อย่างที่สองก็คือมิได้อยู่ในขอบเขตขุมอำนาจของพวกเขา ก็จะไม่กล้าโจ่งแจ้งเช่นนี้ มิเช่นนั้นแล้ว หากตั้งแต่เหนือธรรมดาผู้อ่อนแอไปจนถึงเทพอากาศเป็นศิษย์กันหมด ความก็จะแตกโดยง่าย ทันทีที่ความแตก โลกทิพย์ทั้งสามย่อมต้องส่งผู้แกร่งกล้ามาแล้วทำลายทั้งพรรคให้สูญสิ้นไปในทันที ดังนั้นหากมิได้อยู่ในขอบเขตอำนาจ โดยทั่วไปก็จะระมัดระวังและเร้นกายมากกว่า เช่นให้บุคคลระดับสูงของพรรคกลายเป็นศิษย์! บุคคลระดับสูงมีจำนวนน้อยนิด ทว่าส่งผลกระทบใหญ่หลวง

รองประมุขหุบเขาก็ยังเป็นศิษย์!

ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากว่าประมุขหุบเขาก็เป็นศิษย์ด้วยเช่นเดียวกัน!

“ผู้อาวุโส บัดนี้เขากระบี่สวรรค์ของเราประสบกับหายนะอันใหญ่หลวง ประมุขพรรคตกอยู่ในอันตราย ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสจะสามารถยื่นมือเข้าช่วยเหลือประมุขพรรคของเราได้หรือไม่” ประมุขยอดเขาคนหนึ่งในจำนวนนั้นเอ่ยขึ้น แต่ละคนล้วนปรารถนาเป็นอันมาก สามารถเอาชนะรองประมุขหุบเขาเปลวอัคคีได้อย่างราบคาบ เกรงว่าพลังคงจะอยู่ในระดับเดียวกับพวกประมุขพรรคและประมุขหุบเขาเปลวอัคคี หากด้อยกว่า ก็ด้อยกว่าไม่มากสักเท่าใดนัก

แม้รองประมุขหุบเขาจะถูกสังหาร แต่ประมุขหุบเขาเปลวอัคคีจึงจะแข็งแกร่งที่สุด หากเขาไม่ตาย เขากระบี่สวรรค์ก็อาจจะต้องล่มสลายไปในท้ายที่สุดอยู่ดี

“ประมุขหุบเขาเปลวอัคคีหรือ ว่ากันว่าพลังของเขาสูงส่งอย่างยิ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับเผยสีหน้าลังเลออกมา “ไป ไปดูกันหน่อยเถิด”

“ไป”

“เร็วเข้าๆ”

แต่ละคนในที่นั้นล้วนไม่กล้าเพ้อฝันว่ายอดฝีมือเร้นลับผู้นี้จะรับปากในทันที เขายอมไปดูก็นับว่าดีมากแล้ว

ไม่นานนัก

พวกตงป๋อเสวี่ยอิงทั้งกลุ่มก็ทะยานข้ามท้องฟ้าไปยังบริเวณที่การต่อสู้ดุเดือดที่สุดในเขากระบี่สวรรค์ กลางท้องฟ้าไกลออกไป ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์กำลังห้ำหั่นกับประมุขหุบเขาเปลวอัคคีอย่างเอาเป็นเอาตาย

แม้จะบินมา แต่อันที่จริงแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงลอบสำแดงเคล็ดภาพลวงโลกเทียมแล้วจัดการยอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งของหุบเขาเปลวอัคคีสองคนซึ่งอยู่ใกล้ที่สุดตามอำเภอใจ  ในชั่วขณะที่ทำให้อีกฝ่ายตกอยู่ในเขตลวง เขาก็สำแดงเคล็ดลับแทรกซึมเข้าไปในวิญญาณของพวกเขาในระยะไกล

“มิใช่ศิษย์ผู้นับถือลัทธิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตรวจสอบทั้งสองคนต่อเนื่องกัน เมื่อมั่นใจว่ามิใช่ศิษย์ของลัทธิก็รีบทำให้อีกฝ่ายหลุดพ้นจากเขตลวงทันที ทำเอายอดฝีมือขั้นรวมเป็นหนึ่งสองคนนั้นแตกตื่นอยู่บ้าง

“ไม่ดีแล้ว”

“ประมุขพรรคอันตรายแล้ว” ขณะที่ตงป๋อเสวี่ยอิงลอบตรวจสอบคนทั้งสองนั้น ประมุขยอดเขาสามคนด้านข้างกลับมองไปยังการต่อสู้ไกลออกไปด้วยความร้อนใจ พวกเขาล้วนมองออกว่าสถานการณ์ของประมุขพรรคของตนนั้นย่ำแย่เป็นอย่างมาก!

“ท่านอาจารย์อาสิ้นใจไปแล้วหรือนี่” ประมุขหุบเขาเปลวอัคคีที่อยู่ระหว่างการต่อสู้เป็นบุรุษหนุ่มผมแดงร่างสูงใหญ่คนหนึ่ง ทั้งร่างของเขามีเปลวเพลิงลุกโชน เขากวาดตามองตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งอยู่ไกลออกไปแวบหนึ่ง “บุรุษหน้ากากเงินผู้นี้เองน่ะหรือที่สังหารท่านอาจารย์อา ทว่าตอนนี้ไม่มีความจำเป็นต้องยั่วโมโหยอดฝีมือเร้นลับผู้นี้ ข้าจัดการเจ้าปีศาจเฒ่ากระบี่สวรรค์นี่ให้สุดกำลังก่อนดีกว่า!”

“ตู้ม…ตู้ม…” ประมุขหุบเขาเปลวอัคคีมีเปลวเพลิงลุกโชนทั่วร่าง ราวกับดวงอาทิตย์ขนาดเล็กดวงหนึ่งก็มิปาน แต่ละกระบวนท่าล้วนแฝงไว้ด้วยอานุภาพอันน่าหวาดหวั่น

ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์เป็นบุรุษวัยกลางคนอาภรณ์สีดำ วิธีการต่อสู้ของเขาหลากหลายมากกว่า หากในยามปกติแล้ว คงไม่แยแสประมุขหุบเขาเปลวอัคคี ทว่าในยามนี้…

“อ๊าก” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์สามารถสัมผัสได้ว่าเส้นด้ายสีเงินจำนวนหนึ่งได้แทรกตัวเข้าไปภายในวิญญาณของเขา แล้วพยายาม ‘สอด’ เข้าไป ทำให้วิญญาณของเขาเจ็บปวดแสนสาหัส บางครั้งถึงขั้นวิงเวียนเป็นระยะ ทำให้ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์มิอาจต่อสู้ได้อย่างเต็มกำลังเลย เพราะกระบวนท่าที่พิสดารอย่างยิ่งล้วนต้องใช้สมาธิไม่น้อยเลยทีเดียว

เขาพยายามป้องกันอย่างสุดกำลัง บางครั้งจึงสามารถรุกโจมตีได้

ตอนเพิ่งเริ่มต้นก็ยังดีอยู่ แต่เมื่อต่อสู้มาจนถึงบัดนี้…‘พิษวิญญาณด้ายเงินโยง’ นี้ก็แทรกซึมเข้าไปในวิญญาณลึกขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ความถี่ในการวิงเวียนของเขาเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

“ประมุขพรรค มียอดฝีมือผมขาวอาภรณ์ขาวสวมหน้ากากสีเงินผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้น เพียงกระบวนท่าเดียวก็เอาชนะเจ้าวัวโง่ของหุบเขาเปลวอัคคีนั่นได้ บัดนี้ยังสังหารเขาไปแล้วด้วย” เมื่อประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ได้รับข่าวก็ตื่นเต้นเป็นอันมาก เพราะเขาได้รับพิษหนักหน่วงขึ้นทุกทีๆ เขายังคิดว่าหายนะครั้งนี้จะยากหลบหลีกได้พ้นเสียแล้ว ทั้งพรรคเขากระบี่สวรรค์ก็อาจจะพินาศไปเช่นนี้เอง

แต่ตอนนี้ความหวังปรากฏขึ้นแล้ว

“เขาน่ะหรือ” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ก็สังเกตเห็นบุรุษผมขาวอาภรณ์ขาวซึ่งอยู่ตรงกลางอากาศไกลออกไปกับประมุขยอดเขาทั้งสามของตน

“ขอให้เขาลงมือ พวกเจ้ารีบขอให้เขาลงมือเร็วเข้า ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์รีบส่งสารทันที

……

ตงป๋อเสวี่ยอิงยืนอยู่ตรงนั้น เมื่อได้ยินประมุขยอดเขาทั้งสามด้านข้างขอร้อง เขาก็ขวดคิ้วพลางส่ายหน้าเอ่ยว่า “ประมุขหุบเขาเปลวอัคคีผู้นี้พลังลึกล้ำยิ่งนัก ให้ข้าได้ดูอีกนิด จะได้เข้าใจวิธีการของเขามากขึ้นอีกหน่อย”

“รอไม่ได้แล้ว ประมุขพรรคของข้าจวนจะต้านไม่ไหวแล้ว” ประมุขยอดเขาทั้งสามร้อนใจนัก พวกเขาก็รู้ว่า ‘รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ ชมดูให้มากอีกครู่หนึ่งจะได้เข้าใจวิธีการของประมุขหุบเขาเปลวอัคคี ขณะต่อสู้จะได้มั่นใจมากขึ้น แต่ไม่แน่ว่าประมุขพรรคของตนอาจจะจบสิ้นเมื่อไหร่ก็ได้นี่นา!

ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ที่อยู่ไกลออกไปก็ร้อนรนเหลือแสน

เขาวิงเวียนวูบไปอีกครั้งอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ผิวกายก็ยังมีประกายกระบี่สายแล้วสายเล่าปรากฏขึ้น ต้านทานกรงเล็บของประมุขหุบเขาเปลวอัคคีที่ตะปบลงมาเอาไว้ได้! กรงเล็บนั้นทำให้ประกายกระบี่มากมายแตกออกเป็นเสี่ยงๆ หน้าอกของประมุขพรรคกระบี่สวรรค์ถูกฉีกทึ้งจนกลายเป็นเนื้ออาบโลหิต ทว่าดีร้ายอย่างไรก็ยังสามารถต้านทานเอาไว้ได้

“ต้องห้ำหั่นอย่างสุดกำลังเช่นนี้ ข้ามิอาจแบ่งสมาธิไปข่มพิษวิญญาณนี้ได้เลย” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์สัมผัสได้ว่าด้ายเงินภายในวิญญาณแทรกซึมเข้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน

“ท่านพ่อ ท่านพ่อ ได้ยินมาว่ายอดฝีมือผมขาวอาภรณ์ขาวสวมหน้ากากสีเงินผู้นี้สังหารรองประมุขหุบเขาเปลวอัคคีไปแล้วอย่างนั้นหรือ ยอดฝีมือผู้นี้ก็คือยอดฝีมือที่ช่วยข้าเอาไว้ก่อนหน้านี้ ข้ารู้สึกว่าจะขอให้เขาช่วยเหลือ อาจจะมีแต่ต้องเอาสมบัติล้ำค่าออกมาเสนอเท่านั้น! เขามีจุดอ่อนอยู่ข้อหนึ่งก็คือ…ละโมบอยู่เล็กน้อย ก่อนหน้านี้เขาเผชิญหน้ากับผู้อาวุโสของหุบเขาเปลวอัคคีสามคน แล้วก็ปล่อยพวกเขาไป แต่กลับชิงเอาสมบัติล้ำค่าของพวกเขาไปจนสิ้น แม้แต่อาภรณ์และอาวุธก็ยังเอาไปจนหมด” อีจื่อผู้เป็นธิดาส่งสารบอก

เรื่องนี้ทำให้ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์เย็นวาบในใจขึ้นมา

ละโมบหรือ

ก็ดีน่ะสิ กลัวแต่จะไม่ละโมบมากกว่า!

“สหายท่านนี้ ที่แท้แล้วก่อนหน้านี้ท่านช่วยเหลือธิดาของข้าเอาไว้ และยังช่วยประมุขยอดเขาทั้งหลายเอาไว้ด้วย เขากระบี่สวรรค์เราเผชิญหน้ากับหายนะใหญ่หลวง ขอให้ท่านช่วยเหลือด้วย รอให้จบเรื่องแล้ว ข้ายินดีทุ่มเทสมบัติล้ำค่าทั้งหมดให้เพื่อเป็นการขอบคุณ มูลค่าสมบัติล้ำค่าย่อมไม่ต่ำกว่าศิลาปฐมโลกาแปดสิบก้อนแน่นอน” ประมุขพรรคกระบี่สวรรค์กล่าวเสียงดัง

ไกลออกไป

หลังจากตงป๋อเสวี่ยอิงซึ่งลังเลอยู่ได้ฟังแล้วก็เอ่ยขึ้นทันทีว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ต้องทุ่มเทสุดชีวิตสักตั้งแล้ว!”

 ……………………….