ตอนที่ 219 พวกหมูคิดจะกินเสือ! หมาไนในพุ่มหญ้า!

ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง

หรือว่าเจ้าไม่คิดจะกลับไปแล้ว? 

 

 

เพียงแค่ประโยคนั้นประโยคเดียว ก็เหมือนกับว่าตู๋กูซิงหลันถูกแทงเข้าไปดาบหนึ่ง 

 

 

นางหยิบแผนสมบัติที่มีอยู่ครึ่งแผ่นนั้นขึ้นมา ตกตะลึงจนใจลอย ในสมองมีแต่ประโยคสุดท้ายของวิญญาณทมิฬ 

 

 

โลกปัจจุบันจึงจะเป็นบ้านของนาง ไยนางจึงไม่คิดที่จะกลับไปเล่า? 

 

 

เพียงแต่ว่าช่วงเวลาที่ผ่านมาก็ชักจะคุ้นเคยกับฐานะของไทเฮาน้อยขึ้นมาแล้ว รู้สึกว่าคนในบ้านของนางก็คือครอบครัวของตนเองขึ้นมาจริงๆ จนถึงกลับมีช่วงหนึ่งที่ไม่คิดจะกลับไปโลกปัจจุบันนั้นแล้ว 

 

 

นางไม่ทันได้รู้สึกตัวเลย ตอนแรกๆ ยังมีหลายสิ่งที่ทำให้ไม่คุ้นเคยกับฐานะของไทเฮาอยู่บ้าง แต่ว่าตอนนี้กลับแยกไม่ขาดไปเสียแล้ว 

 

 

ในโลกมิตินี้ นางก็คือตู๋กูซิงหลัน ไทเฮาแห่งต้าโจว 

 

 

“ข้าจะเตือนเจ้าประโยคหนึ่งนะ เจ้าเป็นลูกศิษย์สุดรักสุดหวงของชื่อม่อ ข้าคาดเดาว่าพอเจ้าหายไป ชื่อม่อที่อยู่ในโลกปัจจุบันคงคุ้มคลั่งไปแล้ว เจ้ามันคนไร้น้ำใจ อย่าได้พอพบเห็นหนุ่มหน้าสวย ก็ลืมเลือนตาแก่ผู้นั้นไปเสียล่ะ” วิญญาณทมิฬแคะจมูกไปพลางก็กล่าวพลางย้อนคิดถึงเหตุการณ์ในตอนนั้นขึ้นมาด้วย 

 

 

“เจ้ามันเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้งตั้งแต่เด็ก เป็นชื่อม่อที่เก็บเจ้ากลับบ้าน ให้ความรักเลี้ยงดูดั่งดวงใจ เจ้าจึงได้เป็นปรมจารย์นักพรตที่ทั้งเยาว์วัยและเจ๋งที่สุดในสำนักหุบเขาภูติ  

 

 

ตู๋กูซิงหลันลูบใบหน้ากลมๆ ของมันเบาๆ ไม่รู้ว่ามันไปโดนโรคติดต่อมาจากพี่รองหรืออย่างไร ถึงได้พอกล่าวก็เป็นพูดจาพร่ำเพื่อขึ้นมา 

 

 

เห็นนางเป็นคนลืมบุญคุณอาจารย์ไปได้อย่างไร? 

 

 

ก่อนหน้านี้ต้องคอยวางแผนเพื่อรักษาชีวิตอยู่ตลอดไม่เห็นหรือ? 

 

 

อย่างน้อยๆ ก็ต้องมีหนทางจะรักษาชีวิตให้ได้เสียก่อน ถึงจะไปตามหาเศษหยกสรรพชีวิตชิ้นอื่นๆ ได้เถอะ 

 

 

นี่ก็นับว่าประหลาดอยู่เหมือนกัน ที่ผ่านมาไม่เคยเห็นมันให้ความสนอกสนใจท่านอาจารย์เลยสักนิด ทำไมพอตอนนี้ถึงได้เอาแต่คอยมากระซิบเรื่องอาจารย์กับนางไม่มีหยุด? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความคิดถึงอาจารย์ของตนเอง…. 

 

 

เอาเถอะ นางทิ้งเขาไม่ลงจริงๆ 

 

 

คราวนี้นางจึงกวาดตาลงไปมองดูแผนที่กรุสมบัติอีกหลายรอบ จดจำรายละเอียดทุกอย่างบนนั้นลงไปในสมอง 

 

 

ที่จริงช่วงนี้ก็นับว่าไม่มีปัญหาติดขัดอะไรอีกแล้ว ในเมื่อสนมซูคนงามตั้งครรภ์ ช่วงนี้จีเฉวียนก็สมควรจะหันเหความสนอกสนใจทั้งหมดไปยังซูเม่ย ในเมื่อจัดส่งองครักษ์ลับมาจับตาดูนางเอาไว้แล้ว ตัวเขาเองก็คงจะไม่ค่อยได้สนใจนางสักเท่าไหร่ 

 

 

ครั้งก่อนที่ไปลี่โจว นางสั่งให้เชียนเชียนแต่งตัวเป็นนางแล้วหมกตัวอยู่แต่ในตำหนักเฟิ่งหมิง แต่การจะไปตามหาสมบัติครั้งนี้เกรงว่าจะต้องใช้เวลามากกว่าคราวที่ไปลี่โจวเสียอีก 

 

 

แค่รอบแรกก็ทำเอาเชียนเชียนตกอกตกใจแทบตายแล้ว หากจะให้มีอีกรอบที่สองเกรงว่าถึงตายนางก็คงไม่ยอมปลอมเป็นตนเองอีกแน่ 

 

 

ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดไปมา ก็กะว่าจะไปขอให้หยวนเฟยน้อยช่วยเหลือ 

 

 

หาข้ออ้างประมาณว่าซูหวงกุ้ยเฟยตั้งครรภ์แล้ว ไทเฮาทรงปลาบปลื้มพระทัยอย่างยิ่ง จึงมีพระดำริจะเสด็จไปยังอารามเทียนเก๋อกวนเพื่อขอพรแทนนางกับโอรสในครรภ์ โดยจะเสด็จไปทรงถือศีลกินเจที่อารามเทียนเก๋อกวนสักระยะหนึ่งเพื่อสวดมนต์ให้องค์ชายใหญ่ประสูติออกมาอย่างปลอดภัยและแข็งแรง 

 

 

หยวนเฟยมีไหวพริบยอดเยี่ยม หากมีนางอยู่ข้างกายเชียนเชียนก็คงหมดเรื่องไปกว่าครึ่ง 

 

 

ยิ่งไปกว่านั้น ที่อารามเทียนเก๋อกวนยังมีคนคุ้นเคยของนางอย่างอู๋เจินน้อย สามคนนี้พอร่วมมือกันช่วยนางปิดบังความจริงสักระยะหนึ่ง ย่อมสำเร็จได้อย่างง่ายดาย 

 

 

พอตัดสินใจเสร็จเรียบร้อย ตู๋กูซิงหลันก็เก็บแผนที่สมบัติลงไป นางกะจะเล็ดลอดเข้าไปในที่ประทับขององค์หญิงแห่งต้าเหยียนแอบเอาสิ่งของกลับไปคืนอย่างลับๆ เสียก่อน ค่อยไปหาหยวนเฟยน้อย 

 

 

เหยียนเฉียวหลัวประทับอยู่ที่ตำหนักหยู่เฉียนกง ตำหนักที่ฉีผินและเหลียงไฉหรินเคยอยู่เมื่อก่อนหน้านี้ 

 

 

ยามที่ตู๋กูซิงหลันไปที่นั่นอีกครั้ง ในสมองของนางก็เต็มไปด้วยภาพที่ตนเองหล่นลงมาจากบนหลังคา แล้วเหยียบลงไปบนร่างเหลียนไฉเหรินจนนางมีแต่อึทะลักออกมา 

 

 

พอคิดย้อนกลับไปก็รู้สึกราวกับว่าเป็นเหตุการณ์เพียงไม่กี่วันก่อนนี้เอง 

 

 

นางยังจดจำสีพระพักตร์ที่น่าชิงชังของเจ้าฮ่องเต้ลูกชายได้เป็นอย่างดี สายพระเนตรที่ราวกับป่าน้ำแข็งนั้นดูคล้ายว่าสามารถสังหารผู้คนได้เลยทีเดียว 

 

 

จะว่าไป ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้พบกับเสี่ยวลี่มาช่วงหนึ่งแล้ว นับตั้งแต่ที่ตนเองกลับเข้าวังมาก็ยังไม่ได้พบกับนางเลย 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคิดย้อนกลับไปอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยดึงแผนที่ครึ่งใบนั้นออกมา 

 

 

พอพึ่งจะหยิบออกมาเท่านั้น ก็ได้ยินซุ่มเสียงของสตรีร้องออกมาด้วยความขุ่นเคือง 

 

 

“แผนที่สมบัติของข้าล่ะ? ใครกันบังอาจมาขโมย?!” น้ำเสียงของเหยียนเฉียวหลัวดังก้องกังวาน ทำเอาคนทั่วทั้งตำหนักหยู่เฉียนกงถูกนางปลุกขึ้นมา 

 

 

ที่จริงตอนนี้เป็นยามดึกสงัด แต่ไฟในตำหนักหยู่เฉียนกงกลับสว่างพรึ่บขึ้นมาอย่างรวดเร็ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันคุกเข่าอยู่บนหลังคา แอบมองลงมา ก็เห็นเหยียนเฉียวหลัวถือขนไก่สีดำเส้นหนึ่งเอาไว้ในมือ “นี่เป็นสิ่งที่หัวขโมยผู้นั่นทิ้งเอาไว้ จงออกไปตามหาให้ข้า สมบัติของเราผู้เป็นถึงองค์หญิงแห่งต้าเหยียนสูญหายไปในวังหลวงแห่งต้าโจวเช่นนี้จะใช้ได้อย่างไรกัน?” 

 

 

น้ำเสียงของนางพึ่งจะขาดหาย ซิวที่ติดตามนางมาด้วยกันก็รับขนไก่เส้นนั้นไป แล้วออกตามหาในทันที 

 

 

นางกำนัลคนอื่นๆ ก็มีสีหน้าร้อนรุ่มขึ้นมา 

 

 

องค์หญิงแห่งต้าเหยียนผู้นี้มิใช่เจ้านายที่สามารถจะขัดใจนางได้ ใครจะไปรู้ว่าอยู่ดีๆ แผนที่สมบัติแผ่นนั้นก็จะมาหายไป? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันขมวดหัวคิ้วเบาๆ เจ้าไก่ขนฟูตัวนั้นถึงแม้จะชื่อว่าติ๊งต๊อง แต่ว่ามันก็ไม่ได้ติ๊งต๊องไปจริงๆ 

 

 

มันขโมยรัดเกล้าของจีเฉวียนมาตั้งมากมายหลายครั้ง แต่ไม่เคยทิ้งร่องรอยหรือหลักฐานเอาไว้ 

 

 

ยามนี้พอขโมยแผนที่สมบัติของเหยียนเฉียวหลัวออกมา ก็ถึงกับทิ้งขนเอาไว้ทั้งเส้น? 

 

 

ตู๋กูซิงหลันรู้สึกถึงบางสิ่งที่กำลัง….. 

 

 

นางงัดแผ่นกระเบื้องหลังคาออกมาแผ่นหนึ่ง คิดจะนำแผนที่สมบัติแผ่นส่งกลับไป แต่พอขยับตัว ก็เห็นแส้เส้นหนึ่งฟาดมาถึง 

 

 

แส้เส้นนั้นแหวกอากาศออกมา พุ่งเข้าใส่นางในทันที 

 

 

ตู๋กูซิงหลันขยับตัววูบหนึ่ง หันหน้ากลับไปดู ก็เห็นคนใส่ผ้าคลุมที่ตนคุ้นเคยผู้นั้น 

 

 

ในมือของเขามีแส้เหล็กที่แหลมคม พอพบเห็นตู๋กูซิงหลันก็แสยะยิ้มเย็นออกมา กล่าวด้วยน้ำเสียงแหบต่ำว่า “ในที่สุดก็เสาะหาเจ้าพบแล้ว” 

 

 

ตู๋กููซิงหลันไม่ได้หันไปกล่าวอะไรกับเขา นางรีบหลบออกจากตำหนักหยู่เฉียนกง ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ไม่สมควรจะไปกระตุ้นให้เหลียนเฉียวหลัวเกิดความสนอกสนใจขึ้นมา 

 

 

แต่น่าเสียดายที่เรื่องราวไม่เป็นไปดังวาดหวัง ซิว องครักษ์ที่อยู่ข้างกายของเหยียนเฉียวหลัวติดตามมาอย่างรวดเร็ว 

 

 

เขาไล่ตามคนชุดดำในผ้าคลุมหน้าออกมาหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง ด้วยความเร็วประหนึ่งสายฟ้าฟาดในยามราตรี ดูแล้วอีกเพียงไม่กี่อึดใจก็คงสามารถไล่ตามมาถึงเบื้องหน้าของนางได้แล้ว 

 

 

ตู๋กูซิงหลันหรี่ตาลง ในมือเพิ่มยันต์ขึ้นมาใบหนึ่ง ทันใดนั้นก็เจ็บหน้าอกขึ้นมา 

 

 

ราวกับว่ามีอะไรกัดลงไปในหัวใจของนาง 

 

 

นางหันมาเหลือบตาลงมองดูครั้งหนึ่งก็เห็นว่าที่แท้แล้วรูปภาพบนแผนที่กรุสมบัติครึ่งใบนั้นได้กลายเป็นใบหน้าที่ซีดขาวของคนผู้หนึ่ง 

 

 

ใบหน้านั้นมองดูนางทั้งยังแสยะยิ้มให้อย่างชั่วร้าย มัน อ้าปากกว้างกัดลงตรงที่หัวใจของนาง 

 

 

กัดลงไปคำหนึ่ง ก็จมลึกลงไปในผิวเนื้อ 

 

 

ราวกับว่าจะฉีกผิวหนังของนางออกมาจากร่างทั้งเป็น พอกัดหลายครั้งเข้าบนอกของตู๋กูซิงหลันก็เต็มไปด้วยเลือด 

 

 

ไอแค้นบนร่างของมันแทกซึมเข้าสู่หัวใจของนาง กลายเป็นดาบเล็กๆ นับพันนับหมื่นเล่มที่พยายามจะเฉือนเอาตราประทับของหยกที่ผนึกอยู่บนดวงจิตของนางออกมา 

 

 

วิญญาณทมิฬพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว เจ้าถวนจื่อตัวดำกลายร่างเป็นสุนัขป่าสีดำตัวน้อยขนาดเพียงฝ่ามือ คมเขี้ยวที่แหลมคมกัดเข้าใส่หนังคนแผ่นนั้นในทันควัน 

 

 

ตู๋กูซิงหลันเจ็บปวดจนแทบไม่ไหว สีหน้าซีดเผือกไปในทันที ในมือของนางยังคงถือยันต์แผ่นนั้นเอาไว้ในมือ พอคนทั้งสองไล่ตามมากระชั้นเข้าก็เขวี้ยงออกไป 

 

 

แม่เอ๋ย! ไอ้พวกหมูคิดจะกินเสือ! หมาไนในพุ่มหญ้า! 

 

 

ลวงนางไม่สำเร็จก็หันไปหลอกล่อไก่ของนางแทน ไอ้พวกไร้ยางอาย! 

 

 

ตู๋กูซิงหลันปาดเช็ดเลือดที่มุมปาก นัยตาสาดประกายเย็นยะเยือกออกมา 

 

 

 

 

 

——

 

 

คุยกันนิดนึง: อาหลันติดกับเสียแล้ว งานนี้ลำบากแน่นอนค่ะ