ตอนที่ 391 ลักพาตัว

วาสนาบันดาลรัก

“จ้าวเฟยชุ่ย เจ้าอย่าได้ทำเกินไปนัก เจ้าเองเป็นถึงคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ เอะอะก็ตบตีคน น่าดูที่ใดกัน!” องค์ชายหกรู้สึกโมโหไม่น้อย

 

 

เจินจิ้งกุมใบหน้าตนไว้ นั่งอยู่บนเตียงเงียบๆ เมื่อได้ยินวาจานี้แล้วไม่ทราบด้วยเหตุใดจึงมิรู้สึกว่าองค์ชายหกเข้าข้างนาง แต่กลับคิดถึงเรื่องที่ตนเคยถูกเจินเมี่ยวตบ

 

 

ตอนนั้นท่านอ๋องพูดว่าอย่างไรกันหรือ

 

 

แก้มซ้ายของนางบวมเป่งขึ้นมา ความรู้สึกมึนงงจู่โจมมาเป็นระยะ นางก็คล้ายจะจำไม่ได้แล้ว

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยเหลือบมองเจินจิ้งคราหนึ่ง เมื่อยืนมองนางเช่นนี้ก็มิต่างอันใดกับมดตัวหนึ่งเลย จ้าวเฟยชุ่ยจึงหันไปแค่นยิ้มใส่องค์ชายหก “ท่านอ๋อง ท่านก็เป็นถึงเชื้อพระวงศ์ แต่ในคืนอภิเษกกลับวิ่งมาแนบชิดอนุที่เรือนนาง แล้วมันเหมาะสมงั้นหรือ”

 

 

ตั้งแต่เล็กจนโตนางมิเคยชมชอบองค์ชายหกมาก่อน กระทั่งพูดได้ว่ารังเกียจกับความเจ้าชู้ทำอันใดตามใจของเขายิ่ง เมื่อรู้ว่าจะได้แต่งกับเขานางยังเคยโวยวายอาละวาดมาแล้ว แต่สุดท้ายนางก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม

 

 

ทั้งที่เขาอยากได้อำนาจเงินตราจากตระกูลมารดานาง และเห็นแก่ฐานะที่นางเป็นหลานสาวของหวงโฮ่วแท้ๆ แต่กลับคิดจะให้อนุน้อยปีนป่ายขึ้นมาถ่ายทุกข์บนศีรษะนาง เขาคิดผิดแล้ว!

 

 

แม้นางมิอาจเลือกเจ้าบ่าวได้ แต่หลังจากแต่งงานแล้วนางสามารถเลือกได้ว่าจะมีชีวิตอยู่เช่นไรจึงจะมีความสุขบ้าง อย่างไรเสียเขาก็เป็นอ๋องเจ้าสำราญคงไม่มีทางหย่ากับนางแน่ ส่วนเรื่องการเคารพนบน้อมสามีนั้นเอามันไปโยนทิ้งไปด้านข้างเถิด

 

 

เจินจิ้งกลับเบิกตากลมโตขึ้น รู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่หลายส่วน

 

 

เหตุใดจึงกล้าพูดกับท่านอ๋องเช่นนี้ นางไม่กลัวว่าท่านอ๋องจะไม่รักหรือ

 

 

นางแค่นยิ้มอยู่ในใจแล้วทิ้งความระแวดระวังทิ้งไป คนโง่เง่าเช่นนี้มิจำเป็นต้องให้นางมากังวลเลย

 

 

“หวังเฟย จวิ้นจู่ไม่สบาย หม่อมฉันจึงบังอาจไปเรียกให้ท่านอ๋องมาดูสักหน่อย มิใช่ท่านอ๋องเจตนาจะเมินเฉยต่อท่าน ท่านอย่าได้โกรธเคืองท่านอ๋องเลย หากจะโทษก็โทษที่หม่อมฉันมิรู้ความเถิด…”

 

 

องค์ชายหกพลันหันขวับกลับไป “เจ้ามิต้องพูด”

 

 

“ฮือ…” เจินจิ้งพลันชะงักไป นางมิทันได้หายใจเข้าด้วยซ้ำกลับสะอึกออกมา

 

 

เดิมบรรยากาศนั้นตึงเครียดยิ่งแต่เพราะหน้าอันบวมเป่งของนางที่กำลังสะอึกไม่หยุดนั้นทำให้รู้สึกขบขันยิ่ง

 

 

องค์ชายหกกลับยิ้มออกมาแม้แต่น้อย เขาเอ่ยเสียงเย็นว่า “เจ้าไม่รู้ความจริงๆ นั่นแล เจินเจินแค่เพียงอาเจียนนมออกมาเท่านั้น เจ้าเรียกข้ามาแล้วคิดว่าเจ้าจะป้อนนมเป็นหรือ”

 

 

เจินจิ้งกับจ้าวเฟยชุ่ยตะลึงลานขึ้นพร้อมกัน

 

 

“ต่อไปหากเจ้ายังแยกแยะไปไม่ได้อีกก็ยกเจินเจินให้เรือนใหญ่ไปเสีย”

 

 

“ไม่ได้!” เจินจิ้งกับจ้าวเฟยชุ่ยพูดขึ้นพร้อมกัน พูดจบทั้งสองก็หันไปสอบตากัน แล้วรีบเบนสายตาหนีไปทันที

 

 

องค์ชายหกทั้งโมโหทั้งขบขัน เขานวดคลึงขมับที่เริ่มปวดหนึบขึ้นมาครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “จิ้งเหนียง เจ้าดูแลเจินเจินให้ดี หวังเฟยกลับเรือนกับข้าเถิด”

 

 

จ้าวเฟยชุ่ยแค่นเสียงฮึคราหนึ่งแล้วหมุนกายเดินออกไป เดินไปได้สองก้าวก็หยุดลงแล้วเชิดคางขึ้น “เรือนเหยี่ยนชุ่ย? ต้องการกลบรัศมีของข้าจ้าวเฟยชุ่ยงั้นหรือ ข้าต้องยอมถอยให้อนุผู้หนึ่งหรือ”

 

 

นางจ้ององค์ชายหกเขม็ง องค์ชายหกถอนหายใจออกมา “ใครก็ได้ไปปลดเอาป้ายหน้าเรือนลงมาที”

 

 

เมื่อเห็นว่าป้ายนั้นถูกปลดลงมากลับตา จ้าวเฟยชุ่ยจึงถอนหายใจออกมาอย่างผ่อนคลายแล้วเดินต่อไปด้วยความพอใจ นางเดินเร็วยิ่ง ไม่แม้แต่จะรอองค์ชายหก

 

 

ตอนที่องค์ชายหกเดินตามออกไป เจินเมี่ยวยังได้ยินเสียงของจ้าวเฟยชุ่ยลอยแว่วมาว่า “ท่านอ๋อง ข้าขอเตือนท่านไว้ก่อนว่าบุตรชายบุตรสาวของบรรดาอนุเหล่านั้น ข้าไม่มีทางเลี้ยงเด็ดขาด…”

 

 

เจินจิ้งกำผ้าเช็ดหน้าแน่น นางกัดปากตนเองไว้จนโลหิตเกือบไหลออกมาแล้ว

 

 

“นายหญิง บ่าวจะปรนนิบัติท่านล้างหน้าเองเจ้าค่ะ”

 

 

“ออกไป!” เจินจิ้งหน้าบึ้งถมึงทึงเช่นนี้ บ่าวไพร่ที่คอยปรนนิบัติรับใช้ต่างก้มหน้าแล้วเดินออกไปเงียบๆ แม่นมที่อุ้มเจินเจินไว้ก็เดินตามออกไปด้วย

 

 

“เดี๋ยวก่อน เอาจวิ้นจู่มาให้ข้าอุ้ม แล้วพวกเจ้าก็ออกไปเสีย”

 

 

แม่นมจึงหันกายเดินเอาเด็กน้อยไปวางไว้ข้างกายเจินจิ้งแล้วค่อยเดินออกไป

 

 

เจินเจินหลับไปแล้ว เด็กน้อยที่อายุแค่ครึ่งปี แต่หน้าตากลับเริ่มชัดขึ้นมาก ทั้งผมก็ดกดำมิได้ผมบางเช่นเด็กน้อยที่อายุเท่ากันส่วนใหญ่ ผิวขาวราวหิมะ ปากแดง ดูแล้วช่างงดงามน่ารักยิ่ง

 

 

เจินจิ้งพินิจบุตรตนอยู่เงียบๆ โดยที่นางมิเคยทำเช่นนี้มาก่อนเลย

 

 

นางยื่นมือออกไปลูบใบหน้ารูปไข่ของเจินเจิน เล็บยาวสีแดงสดค่อยๆ เคลื่อนย้ายไปมาช้าๆ ตามมือที่ขยับไหว แล้วให้ความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนชนิดหนึ่งขึ้นมา

 

 

“เจินเจิน บิดาเจ้าใส่ใจเจ้ายิ่งกว่าข้าผู้เป็นมารดาเจ้าเสียอีก” เจินจิ้งพึมพำออกมา สีหน้าที่จ้องมองใบหน้าน้อยๆ อันงดงามนั้นเต็มไปด้วยความสับสน

 

 

เจินเมี่ยวตามหลังนางซ่งออกมาจากจวนเฉินอ๋องแล้วขึ้นรถม้าของจวนกั๋วกง

 

 

ผู้ที่คอยขับรถม้าให้เจินเมี่ยวก็คืออาหู่ ไป่หลิงและชิงไต้ประคองเจินเมี่ยวเข้าไปในรถม้า เมื่อรถม้าของนางซ่งที่จอดอยู่ด้านหน้าเริ่มเคลื่อนตัว อาหู่ก็ร้องขึ้นว่า “ต้าไหน่ไหน่ นั่งดีแล้วใช่หรือไม่ขอรับ”

 

 

เขายกมือขึ้นสะบัดแส้เส้นงามออกไปกลางอากาศคราหนึ่ง แล้วรถม้าก็ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป

 

 

ฟ้ามืดแล้ว เมื่อเข้าไปในรถม้า ไป่หลิงก็หยิบคบไฟน้อยขึ้นมาจุดโคมที่ตั้งไว้ภายในรถม้า ภายในรถม้าจึงสว่างจ้าขึ้นมาทันใด

 

 

“ต้าไหน่ไหน่ อยากกินของว่างหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

ส่วนมากเมื่อมางานมงคลเช่นนี้มักมิได้กินจนอิ่มอันใด

 

 

เจินเมี่ยวส่ายหน้า “ไม่ดีกว่า ข้ารู้สึกเหนื่อย จะเอนหลังสักหน่อย”

 

 

ภายในรถม้ากว้างขวางยิ่ง ทั้งแบ่งเป็นด้านหน้าและด้านหลังสองส่วน โดยมีโครงบุปผาสลักติดผ้าม่านกั้นเอาไว้ ด้านหน้าจะมีพื้นที่ใหญ่กว่า ทั้งปูลาดด้วยพรมนุ่มชั้นดี มีโต๊ะเล็กๆ และตู้ลิ้นชัก ส่วนด้านหลังที่อยู่ด้านในนั้นเล็กสักหน่อยจะมีเก้าอี้ตัวยาวที่ไม่ใหญ่นักจัดไว้ให้เจ้านายได้พักผ่อน

 

 

เจินเมี่ยวเดินเข้าไปด้านใน เมื่อมือสัมผัสกับม่านสีฟ้าที่ติดกับโครงบุปผาสลักกลับชะงักงันไป

 

 

นางขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วหันกลับไปถามว่า “วันนี้รถม้าของเราเปิดหน้าต่างให้ลมโกรกใช่หรือไม่”

 

 

นางไม่ชอบกลิ่นหอม แต่อย่างไรเสียพรม ผ้าห่มและผ้าม่านของรถม้าคันนี้ก็ยังคงมีกลิ่นหอมอ่อนๆ เฉพาะของมัน แค่เดินเข้ามาก็ทราบทันทีว่าเป็นรถม้าของสตรีสูงศักดิ์ กลิ่นเช่นนี้นั้นเกิดขึ้นเองตามกาลเวลามิใช่กลิ่นหอมที่จงใจสร้างขึ้น และด้วยเหตุนี้เองเจินเมี่ยวจึงคุ้นเคยกับกลิ่นภายในรถม้ายิ่ง ไม่ทราบด้วยเหตุใดวันนี้นางรู้สึกว่าแม้กลิ่นของมันมิได้เปลี่ยนไปแต่กลับรู้สึกหนาวเย็นกว่าเมื่อก่อนขึ้นมาหลายส่วน

 

 

“ไม่เจ้าค่ะ” ไป่หลิงคิดครู่หนึ่งเอ่ยยิ้มๆ ว่า “อาหู่อาจจะเปิดหน้าต่างไว้ก็ได้เจ้าค่ะ”

 

 

“อืม” เจินเมี่ยวพยักหน้ารับ มือที่คิดจะแหวกผ้าม่านนั้นกลับชะงักค้างไว้ แล้วหันหน้ากลับไปเอ่ยว่า “ช่างเถิด ข้าไปนั่งอ่านตำราฆ่าเวลาแล้วกัน”

 

 

ความเย็นเยียบที่คล้ายมีคล้ายไม่มีนั้นทำให้นางรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีชนิดหนึ่งขึ้น แต่ก็รู้ดีว่าความคิดตนนั้นออกจะเหลวไหลไปหน่อย

 

 

เจินเมี่ยวสะบัดศีรษะแล้วปล่อยมือลง

 

 

เวลานี้เองที่ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นออกมาจากหลังผ้าม่านแล้วคว้าจับข้อมือเจินเมี่ยวไว้ กระชากนางเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็วดุจฟ้าแลบ

 

 

เจินเมี่ยวตกใจจนนิ่งงัน นางลืมกระทั่งกรีดร้องออกมา กลับเป็นไป่หลิงต่างหากที่ร้องเสียงแหลมออกมาแล้วรีบปิดปากตนไว้

 

 

ชิงไต้พุ่งเข้าไปดุจนกนางแอ่นตัวน้อย

 

 

“อย่าขยับ” ผ้าม่านสั่นไหวเบาๆ พวกเขามองไม่เห็นใบหน้าของคนที่หลบอยู่หลังม่าน แต่กลับเห็นมีดสั้นที่วางพาดอยู่บนคอของเจินเมี่ยว

 

 

ชิงเกอหยุดนิ่งไปทันที

 

 

“พี่ไป่หลิงมีอันใดหรือไม่” เสียงอาหู่ที่อยู่ด้านนอกลอยแว่วมา

 

 

คนผู้นั้นมิได้เอ่ยปาก แต่มีดสั้นนั้นกลับขยับเล็กน้อย

 

 

มือที่ปิดปากตนไว้ของไป่หลิงสั่นระริกไม่หยุด น้ำตาร่วงรินลงมาเป็นทาง ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเอ่ยขึ้นอย่างยากลำบากว่า “ไม่มีอันใด ข้าแค่ไม่ระวังชนเข้ากับหนังรถม้า…”

 

 

“ทางออกจะเรียบมิใช่หรือ” อาหู่พึมพำออกมา แต่ก็ขับรถม้าให้ช้าลง

 

 

“ขยับถอยตามข้ามา” คนผู้นั้นเอ่ยกระซิบอยู่ข้างหูเจินเมี่ยวแผ่วเบา

 

 

ลมหายใจอันร้อนผ่าวข้างหูเจินเมี่ยวทำให้นางขนลุกชูชันไปทั้งร่าง

 

 

นางมิได้ขยับตาม

 

 

ด้านข้างเก้าอี้ตัวยาวนี้มีประตูลับอยู่และมักพบเห็นได้ทั่วไปในรถม้าของตระกูลสูงศักดิ์ หากมีเหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นก็สามารถลอบหนีไปทางประตูลับนี้ได้ แต่ตอนนี้มันกลับจะกลายเป็นหนทางตายของนางเสียแล้ว

 

 

นางจะกล้าขยับได้อย่างไร หากคนผู้นี้พานางหนีไปทางประตูลับนี้ได้ เมื่อนางพ้นจากสายตาของชิงไต้ไป นางยังจะมีชีวิตรอดกลับมาอีกหรือ

 

 

“ไม่ยอมหรือ” คนผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแฝงแววเยาะหยันอยู่หลายส่วน มีดสั้นขยับเล็กน้อย เส้นสีแดงสายหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนลำคอขาวผ่องของนาง ตามด้วยหยาดโลหิตที่พุ่งออกมา

 

 

มีดสั้นนั้นเป็นสีเงิน เมื่อถูกย้อมด้วยเลือดจึงเห็นชัดเป็นพิเศษ

 

 

ไป่หลิงสูดปากคราหนึ่ง นางปิดปากไว้แน่นสนิท เสียงร้องไห้จึงมิเล็ดลอดออกมาได้

 

 

ชิงไต้มีสีหน้าสงบนิ่งยิ่ง นางจ้องมีดสั้นนั้นเขม็งแต่ไม่กล้ากระทำการส่งเดช

 

 

“อย่าขัดขืนจะดีกว่า หากมิยอมขยับ ข้าจะเอาชีวิตเจ้าตอนนี้เลย ข้าเป็นนักฆ่า คงมิได้มีใจจะรักถนอมหยกงามเช่นเจ้าแน่”

 

 

เสียงนั้นแผ่วเบาคล้ายเสียงกระซิบพลอดรักที่ข้างหูอย่างไรอย่างนั้น “ฟังให้ดี หากมีดสั้นนี้ขยับถอยแล้วเจ้ายังไม่ขยับกาย ก็เกรงว่าศีรษะอันงดงามของเจ้าคงได้เปลี่ยนตำแหน่งแล้ว”

 

 

เมื่อคนผู้นั้นพูดจบเจินเมี่ยวก็รู้สึกว่าลำคอตนถูกรัดแน่นขึ้น ทั้งเจ็บมากยิ่งขึ้นด้วย

 

 

เจ้าคนชั่วช้า รอสักหน่อยก็มิได้เลยหรือ!

 

 

นางกัดริมฝีปากตนไว้เพื่อกลั้นความเจ็บปวดแล้วขยับถอยตามเขา

 

 

“ต้องทำเช่นนี้ถึงจะเชื่อฟังงั้นหรือ”

 

 

เมื่อได้เสียงแกรกดังขึ้น สายลมอุ่นร้อนในยามค่ำพัดโชยมากับกลิ่นหอมของบุปผา ตามด้วยเสียงกรีดร้องอย่างมิอาจอดกลั้นอีกต่อไปของไป่หลิง

 

 

เจินเมี่ยวเพียงรู้สึกเจ็บที่ต้นคอแล้วนางก็หมดสติไป

 

 

ชิงไต้เร่งรีบตามไปทันที

 

 

เพราะอาหู่ขับรถม้าให้ช้าลง รถม้าด้านหน้าจึงเคลื่อนไปไกลแล้ว เมื่ออาหู่ได้ยินเสียงเอะอะจึงรีบแหวกม่านเข้าไปถามทันที “มีอันใดหรือ”

 

 

ไป่หลิงนั้นตัวอ่อนเป็นโคลนไปแล้ว แม้แต่แรงจะประคองตนขึ้นมาก็ถูกความกลัวไล่ไปจนหมด ฟันของนางกระทบกันดังกึกๆ จึงได้แต่แข็งใจกัดลิ้นให้ความเจ็บปวดดึงพลังตนคืนมาสักหลายส่วน นางกัดฟันเอ่ยออกไปว่า “เร็วเข้า ต้าไหน่ไหน่ถูกลักพาตัวไปแล้ว รีบไปช่วยเร็ว!”

 

 

อาหู่กระโดดลงจากรถม้าทันทีแล้ววิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว พริบตาก็มิเห็นแม้แต่เงา

 

 

ฟ้ามืดแล้ว บนถนนมีคนเดินผ่านไปมาน้อยยิ่ง เมื่อพบเหตุการณ์เช่นนี้ก็หยุดสังเกตดู แต่ผู้ที่กล้าเข้ามายุ่งกลับไม่มีสักคน

 

 

ไป่หลิงลุกขึ้นมาด้วยสภาพทุลักทุเล สิ่งแรกที่นางทำคือการซ่อนสัญลักษณ์ของจวนกั๋วกงที่แขวนบนรถม้าไว้ แล้วหยิบแส้ที่อาหู่ทิ้งขึ้นมาสะบัดอย่างแรง นางจับเชือกไว้แน่นแล้วควบรถม้าทะยานออกไป

 

 

เวลานี้นางกลับรู้สึกดีใจยิ่งที่ตนเป็นลูกชาวนาชาวไร่ที่มักติดตามบิดาควบรถม้าไปที่ตลาด มิได้เป็นสาวใช้มาแต่กำเนิด สาวใช้ที่มีหน้ามีตาหน่อยนั้นแทบไม่ต่างอันใดกับคุณหนูที่ถูกเลี้ยงดูอย่างทะนุถนอมเลย

 

 

รถม้าเคลื่อนไปบนถนนอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงจวนกั๋วกง ไป่หลิงก็อ่อนปวกเปียกไม่ต่างอันใดกับน้ำแล้ว

 

 

“พี่ไป่หลิง…”

 

 

บ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูวิ่งเข้ามาหาแล้วก็ต้องตกใจยกใหญ่

 

 

“เร็วเข้า รีบประคองข้าไปที่เรือนอี๋อานเร็ว!”

 

 

“หา ต้าไหน่ไหน่ถูกลักพาตัวไปงั้นหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็ตกใจยิ่ง หน้าถึงกับเปลี่ยนสีไปทันที