ตอนที่ 392 ห้องลับ

วาสนาบันดาลรัก

“หลังจากเข้าไปในรถม้า คนร้ายก็ซ่อนตัวอยู่ส่วนหลังของรถม้า สบโอกาสก็พาต้าไหน่ไหน่กระโดดหนีออกไปทางประตูลับ ชิงไต้กับอาหู่ตามไปแล้ว บ่าวจึงรีบควบม้ากลับมารายงานเจ้าค่ะ” ไป่หลิงคุกเข่าลงเสียงดังพลั่ก ทั้งโขกศีรษะลงกับพื้น “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านต้องหาทางช่วยต้าไหน่ไหน่นะเจ้าคะ!”

 

 

เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มตั้งสติก็เอ่ยปากถามว่า “ตลอดทางเจ้าพบผู้ใดบ้างหรือไม่”

 

 

ไป่หลิงส่ายหน้า “ฟ้ามืดแล้ว คนที่เดินไปมาบนถนนก็ไม่มาก บ่าวควบม้าเร็วยิ่งทั้งยังปกปิดสัญลักษณ์ของจวนกั๋วกงบนรถม้าไว้ ต่อให้มีผู้พบเห็นก็ไม่ทราบแน่ว่าเป็นรถม้าของตระกูลใดเจ้าค่ะ”

 

 

แววตาฮูหยินผู้เฒ่ามีความชื่นชมวูบผ่านเข้า นางกำชับเสียงขรึมว่า “หงฝู ไปหาพ่อบ้านผู้ดูแลจวนที่เรือนหน้าให้เขานำจดหมายของข้าไปที่จวนเฉินอ๋อง”

 

 

ไป่หลิงเงยหน้าขึ้นมาทันที

 

 

ในขณะที่นางกำลังหวาดกลัวและสับสนอยู่ การที่นึกได้ว่าต้องปิดบังสัญลักษณ์ของจวนกั๋วกงไว้ก็เพราะกลัวว่าหากข่าวที่ต้าไหน่ไหน่ถูกลักพาตัวแพร่สะพัดออกไปอาจทำให้ต้าไหน่ไหน่ถูกบีบคั้นไปจนถึงทางตาย แต่ฮูหยินผู้เฒ่ากลับแจ้งข่าวนี้แก่เฉินอ๋อง…

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าคล้ายกำลังเอ่ยอธิบายกับไป่หลิงว่า “คนนั้นถูกชิงตัวไปหลังจากกลับมาจากจวนอ๋อง หากมิแจ้งเรื่องแก่เฉินอ๋องจะให้แจ้งกับผู้ใดเล่า ทั้งยามนี้ซื่อจื่อไม่อยู่ อย่างไรก็ต้องไหว้วานคนตามหา  เช่นนั้นก็ให้เขาเป็นผู้รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว”

 

 

ไป่หลิงจึงโล่งอกขึ้นมาได้

 

 

“หงสี่ ประคองไป่หลิงกลับไปพักผ่อน แล้วยกโจ๊กรังนกมาให้นางกินสักถ้วยเพื่อคลายความตกใจ”

 

 

“เจ้าค่ะ” หงสี่ออกแรงพยุงไป่หลิงที่ตัวอ่อนปวกเปียกนี้ออกไปแล้ว

 

 

ฮูหยินผู้เฒ่าจึงยกมือขึ้นกุมหน้าผาก ถอนหายใจยาวออกมา “เวรกรรมจริงๆ!”

 

 

แม่นมหยางที่คอยปรนนิบัติใกล้ชิดจึงเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าวางใจเถิด ต้าไหน่ไหน่เป็นคนดี สวรรค์ย่อมคุ้มครอง…”

 

 

“มันก็เป็นเพียงคำปลอบใจเท่านั้น โจรชั่วนั่นชิงตัวหลานสะใภ้ใหญ่ไปกลางถนน เห็นชัดว่าเป้าหมายคือจวนกั๋วกง แล้วต้าหลังก็ไม่อยู่…” ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจออกมาอีก “ข้าเพียงกลัวว่า หลานสะใภ้ใหญ่จะถอยหรือเดินหน้าก็ล้วนเป็นทางตัน!”

 

 

เมื่อคนกลับมามิได้ ย่อมไม่จำเป็นต้องพูดอันใดอีก แต่หากกลับมาได้ ขอเพียงข่าวนี้หลุดออกไป ชื่อเสียงของนางคงได้จบสิ้นกันครานี้!

 

 

“แม่นมหยาง เจ้าส่งคนที่ไว้ใจได้สองคนไปหาต้าหลังที่จิงโจว ส่วนผู้อื่นนั้นมิอาจบอกให้ทราบได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปให้บอกว่าหลานสะใภ้ใหญ่ได้รับไอเย็นจนล้มป่วย จึงกำลังรักษาตัวอยู่มิอาจพบผู้ใดได้”

 

 

“เจ้าค่ะ”

 

 

ชิงไต้สวมชุดสีกรมท่า จึงแทบกลืนไปกับราตรีอันมืดมิดนี้จนแทบเป็นหนึ่งเดียว

 

 

คนชุดดำด้านหน้าแบกเจินเมี่ยวขึ้นพาดบ่า ความรวดเร็วจึงลดลง ระยะห่างของคนทั้งสองจึงไม่มากนักแล้ว

 

 

ชิงไต้ยังคงมีสีหน้าเรียบนิ่ง แต่เหงื่อกลับผุดขึ้นที่ปลายจมูก นางกระโดดขึ้นสูงแล้วเตะที่กำแพงก่อนยื่นมือไปคว้ากิ่งไม้ที่ยื่นออกมาจากกำแพง ส่งให้ร่างนางทะยานลอยสูงและร่วงตกลงไปตรงหน้าคนผู้นั้น

 

 

“วางนายหญิงข้าลง” ชิงไต้เอ่ยเสียงเย็นเยียบ

 

 

คนชุดดำปิดหน้าไว้จึงมองไม่เห็นสีหน้าของเขา แต่น้ำเสียงกลับแฝงไปด้วยความไม่ยี่หระ “เด็กน้อย เจ้ามีสิทธิ์อันใดมาสั่งข้า”

 

 

ชิงไต้พุ่งตัวเข้าไปทันที

 

 

คนผู้นั้นแค่นเสียงเย็น เขาเบี่ยงกายหลบแล้วยกร่างเจินเมี่ยวบนบ่าเข้าไปขวางนางไว้ ก่อนจะเตะเท้าออกไปติดๆ กัน

 

 

ชิงไต้รับเท้านั้นไว้ได้อย่างแม่นยำ แต่กลับพบว่าคนผู้นี้เพียงหยอกเย้านางเล่นเท่านั้น ดูท่าฝีมือที่แท้จริงของเขาคงสูงส่งกว่านางไม่น้อยเลย

 

 

“เป็นอย่างไรบ้างเด็กน้อย มิต้องละเล่นให้เสียเวลากันและกันแล้ว”

 

 

แม้จะทราบถึงฝีมือที่ต่างกันของคนทั้งสองแล้ว ชิงไต้ก็ยังคงพุ่งเข้าไปหาเขาอยู่ดี

 

 

“ช่างไม่รู้จักประมาณตนยิ่ง!” แม้คนชุดดำจะแบกเจินเมี่ยวไว้ แต่ยังสามารถควักดาบออกมาฟาดฟันกับชิงไต้ได้หลายกระบวนท่าทีเดียว

 

 

แต่อย่างไรเขาก็แบกคนผู้หนึ่งไว้ ทั้งชิงไต้ยังทุ่มเทกำลังอย่างไม่ลดละ ทุกกระบวนท่าล้วนทุ่มกำลังเต็มที่ ผ่านไปนานเข้าเขาก็เริ่มรู้สึกกังวลใจขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

เวลานี้เองอาหู่ก็ตามมาทันพอดี เขาล้วงเอาธนูออกมาจากอกแล้วเล็งไปที่ต้นคอของคนผู้นั้น

 

 

เมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดปรกติที่ด้านหลัง คนผู้นั้นก็เบี่ยงศีรษะหลบไปทันที แต่แม้จะพ้นจากธนูของอาหู่แต่กลับหนีไม่พ้นการจู่โจมของชิงไต้

 

 

คนผู้นั้นมิคิดต่อสู้อีกต่อไป เขาใช้มีดสั้นจ่อที่หัวใจของเจินเมี่ยวแล้วค่อยๆ ถอยหลังไป

 

 

ชิงไต้กับอาหู่ยืนเคียงกันทั้งค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้

 

 

เมื่อถูกล้อมไว้เช่นนี้ คนผู้นั้นก็คล้ายหมดหนทางแล้ว แต่พลันยิ้มออกมา

 

 

มีคนสองคนกระโดดลงมาจากต้นไม้เข้ามาขวางชิงไต้และอาหู่ไว้

 

 

“คงต้องยกให้พวกเจ้าจัดการแล้ว รีบสลัดให้ไวเล่า” คนผู้นั้นพูดจบก็หายตัวไปท่ามกลางความมืดแห่งรัตติกาลอย่างรวดเร็ว

 

 

ชิงไต้ตาแดงด้วยความโกรธ เพราะถูกคนทั้งสองขวางไว้

 

 

แม้ทั้งสองฝ่ายจะมีสองคนเหมือนกัน แต่อาหู่ก็เพิ่งฝึกยุทธ์ ชิงไต้เป็นสตรีจึงมีพละกำลังจำกัด ไม่นานพวกเขาก็อ่อนกำลังลง

 

 

หนึ่งในนั้นเตะเท้าเข้าที่รักแร้อาหู่ พลันได้ยินเสียงแค็ก ตามด้วยร่างของอาหู่ที่ปลิวตกลงไปบนพื้น

 

 

ชิงไต้เองก็ถูกซัดไปหนึ่งฝ่ามือจนกระอักโลหิตออกมา ทั้งยังถูกเตะที่ท้องจนล้มลงกับพื้น

 

 

นางจับขาคนผู้นั้นไว้แล้วกัดลงไปเต็มแรง

 

 

คนผู้นั้นเจ็บจนสะบัดมีดสั้นเข้าใส่นาง นางหลบไปอีกข้าง แต่มีดนั้นก็ปักไหล่ของนางจนได้

 

 

คนผู้นั้นดึงมีดสั้นออกและคิดจะแทงนางอีกแผล ในขณะที่ชิงไต้ยังมีสติอยู่ นางก็ได้ยินคนอีกผู้หนึ่งเอ่ยว่า “รีบไปเถิด หากหน่วยองครักษ์จิ่นหลินหรือหน่วยกองกำลังทหารม้าทั้งห้าแห่มาคงไม่ดีแน่”

 

 

ตรอกเล็กนั้นจึงค่อยๆ เงียบสงบลง ดวงดารากระจายเต็มท้องฟ้า สาดส่องคนทั้งสองที่นอนแน่นิ่ง กระทั่งมีคนผ่านทางเดินมาพบเข้าแล้วร้องขึ้นด้วยความตกใจ ทำให้คนในตรอกเล็กๆ นั้นแตกตื่นขึ้นมา

 

 

ไม่ทราบผ่านไปนานเท่าใด เจินเมี่ยวจึงค่อยๆ รู้สึกตัวขึ้น

 

 

นางลืมตาขึ้น กระพรวนรูปปลาที่ห้อยอยู่ด้านบนแกว่งไกวไปมาจนนางตาลาย เมื่อค่อยๆ ชินแล้วจึงเริ่มหันไปพิจารณาโดยรอบ

 

 

ผ้าม่านสีเทา โต๊ะไม้หลี และแจกันหรอกไม้ลายครามที่มีดอกเสาเย่าสีสันงดงามปักอยู่ถูกจัดวางไว้ข้างหน้าต่าง แลดูมิต่างอันใดกับห้องสตรีทั่วไป

 

 

เสียงฝีเท้าดังแว่วมา เจินเมี่ยวขยับมือคิดพยุงตนลุกนั่ง แต่กลับรู้สึกเจ็บที่ลำคอ นางจึงยื่นมือไปคลำดู ก็พบว่ามันมีผ้าพันแผลพันอยู่

 

 

นางฝืนข่มความเจ็บแล้วลุกขึ้นนั่งพิงเสาเตียง จึงเห็นว่าผู้ที่มาคือเด็กสาวที่แต่งกายอย่างสาวใช้

 

 

“ฮูหยินฟื้นแล้ว” สาวใช้ผู้นั้นยิ้มพลางเอ่ยว่า “ฮูหยินต้องการดื่มน้ำหรือไม่เจ้าคะ”

 

 

เจินเมี่ยวเกิดคำถามขึ้นในใจนับร้อย แต่กลับไม่แสดงออกอันใดทางสีหน้าเลย นางเพียงพูดว่า “อืม”

 

 

ไม่ว่าอย่างไรการดูแลสุภาพและแรงกายตนย่อมมาก่อน จึงสามารถเจรจาเรื่องอื่นได้

 

 

สาวใช้ผู้นั้นรีบลุกไปรินชาน้ำผึ้งมาให้ทันที

 

 

เจินเมี่ยวยกถ้วยชานั้นขึ้นจิบทีละนิด เมื่อน้ำไหลผ่านลำคอไปก็รู้สึกเจ็บจนทนไม่ไหว แต่นางยังคงดื่มต่อไป

 

 

กระทั่งดื่มหมดจึงเอ่ยอย่างสงบนิ่งว่า “ไปเรียกนายท่านของพวกเจ้ามา”

 

 

ที่นี่คือที่ใด ใครพานางมาที่นี่ เหตุใดต้องมา เรื่องเหล่านี้นางมิจำเป็นต้องพูดกับสาวใช้น้อยผู้หนึ่งให้เสียเวลา

 

 

สาวใช้ผู้นั้นตกใจกับความสุขุมของเจินเมี่ยวยิ่ง เมื่อสบกับแววตาเยือกเย็นดุจสายน้ำของนางก็พยักหน้าแล้วก้มหน้าเดินออกไป

 

 

เมื่อประตูค่อยๆ ปิดลง เจินเมี่ยวจึงเริ่มผ่อนคลายลงไปทันใด นางหยิบหมอนที่วางอยู่บนเตียงขึ้นมา แล้วกำมันแน่นเพื่อบังคับให้น้ำตาที่จะไหลออกมาย้อนกลับไปเช่นเดิม

 

 

ซื่อจื่อคนเลว ยามคับขันเช่นนี้กลับไม่เห็นแม้เงา ภรรยาของเจ้าจะถูกคนตีตายแล้วรู้หรือไม่

 

 

ภายในห้องลับ องค์ชายสามฟังคำบอกเล่าของหยางอวี้เต๋อเสนาบดีกรมพิธีการแล้วก็ต้องสูดปากคราหนึ่ง

 

 

“ท่านตา ท่านบอกว่าเรื่องตลิ่งถล่มที่หมู่บ้านสือหลี่ในจิงโจว มิใช่เพราะฝนตกติดต่อกันสามวันสามคืน แต่เพราะก่อนหน้านั้นใช้ฟางซ่อมเสริมริมตลิ่งมิใช่หินอย่างนั้นหรือ”

 

 

เสนาบดีหยางพยักหน้าด้วยท่าทีเคร่งขรึม

 

 

“แล้วเรื่องที่มีผู้บาดเจ็บล้มตายเพียงไม่กี่คนเล่า…”

 

 

“นั่นเป็นเรื่องจริง มีนักพรตผู้หนึ่งทำนายว่าหมู่บ้านสือหลี่จะจมหายไปเพราะตลิ่งถล่ม ชาวบ้านเชื่อเขาจึงได้อพยพกันออกไป”

 

 

“แล้วนักพรต…”

 

 

เสนาบดีหยางแค่นยิ้ม “ไม่ว่าจะเป็นเทพเซียนจริงๆ หรือเป็นเพียงนักพรตเสียสติ เขาก็ได้ถูกอาของเจ้าควบคุมตัวไว้แล้ว”

 

 

“เรื่องใหญ่เพียงนี้หากเกิดแพร่งพรายออกไปแย่แน่” องค์ชายสามรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

“ดังนั้นข้าถึงได้ส่งคนตามไปช่วยอาของเจ้าจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อยอย่างไรเล่า”

 

 

องค์ชายสามค่อยๆ หน้าซีดเผือดลง “แต่หลัวเทียนเฉิงออกนอกเมืองหลวงไปแล้ว!”

 

 

แม้หลัวเทียนเฉิงจะออกไปนอกเมืองอย่างลับๆ แต่เสนาบดีหยางซึ่งเป็นขุนนางใหญ่มานับสิบปีกับองค์ชายสามที่ได้รับความโปรดปรานในระยะสองปีนี้มีหรือจะไม่ทราบข่าวนี้

 

 

แม้พวกเขายังไม่แน่ใจถึงจุดประสงค์ของการออกนอกเมืองครานี้ของหลัวเทียนเฉิง แต่เรื่องหมู่บ้านสือหลี่ในจิงโจวนั้นได้ทำให้ตระกูลหยางถูกยกขึ้นไปวางบนกองไฟเรียบร้อยแล้ว ช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ หากยอดหญ้าสั่นไหวแม้เพียงน้อยนิดก็ทำให้หวาดระแวงไปได้หมด

 

 

“หลัวเทียนเฉิงออกนอกเมืองไปครานี้ หากมิได้ไปจิงโจวก็แล้วไป แต่หากไปก็ต้องมิให้เขากลับมาได้อีกเด็ดขาด!” เสนาบดีหยางเอ่ยด้วยสีหน้าแฝงความเ**้ยมโหดไว้

 

 

องค์ชายสามมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา “หากเกิดเรื่องกับหลัวเทียนเฉิง เสด็จพ่อมิใช่จะยิ่งกริ้วหรือ ถึงตอนนั้นต้องส่งคนไปมากกว่าเดิมแน่”

 

 

เสนาบดีหยางยิ้มออกมา “มิเป็นไร จิงโจวเกิดอุทกภัย หัวหน้าผู้บัญชาการหลัวจึงตกน้ำหายสาบสูญไปก็เป็นเรื่องช่วยไม่ได้ กว่าฝ่าบาทจะส่งคนไปถึง สิ่งที่ควรซ่อนเร้นคงเกือบเรียบร้อยดีแล้ว”

 

 

องค์ชายสามยังคงไม่วางใจเท่าใดนัก “หลัวเทียนเฉิงฝีมือสูงส่ง คิดอ่านรอบคอบ เกรงว่าคงมิง่ายที่จะลงมือได้ และต่อให้เขาตกน้ำจริง หากไม่เห็นศพก็ยิ่งทำให้คนวางใจไม่ลง”

 

 

เสนาบดีหยางลุกขึ้นเดินไปสองก้าวแล้วเอ่ยว่า “ดังนั้นข้าจึงได้เตรียมแผนสำรองไว้แล้ว”

 

 

“หืม ไม่ทราบท่านตาเตรียมการอันใดไว้หรือ” องค์ชายสามกลับมาจากงานมงคลขององค์ชายหกก็ได้รับจดหมายเชิญไปพูดคุยที่ห้องลับของเสนาบดีหยางทันที เรื่องราวอันไม่คาดคิดมากมายถูกถ่ายทอดออกมาให้เขารับรู้ ในระยะเวลาอันสั้นนี้จึงทำให้เขารู้สึกแทบหายใจไม่ออกขึ้นมา

 

 

เสนาบดีหยางยิ้มน้อยๆ ออกมา “ข้าได้เชิญจยาหมิงเซี่ยนจู่มาเป็นแขกที่นี่แล้ว”

 

 

องค์ชายสามผุดลุกขึ้นทันที “ท่านตา?”

 

 

เสนาบดีหยางมีสีหน้าเ**้ยมเกรียม “หากหลัวซื่อจื่อมีวาสนาพอจะเอาชีวิตกลับมาถึงเมืองหลวงได้ ข้าจะถามเขาสักหน่อยว่าเขาอยากจะเอาหลักฐานถวายต่อฝ่าบาทเพื่อรับคำชมเพียงไม่กี่คำ หรือรักษาชีวิตและชื่อเสียงของจยาหมิงเซี่ยนจู่ไว้กันแน่!”

 

 

องค์ชายสามพลันเข้าใจขึ้นมาทันที

 

 

หลัวเทียนเฉิงอายุยังน้อยแต่กลับได้เป็นถึงขุนนางขั้นสามมีอำนาจสูงส่ง ในระยะเวลาสั้นๆ คงมิอาจเลื่อนขั้นได้ แม้จะทำความดีความชอบก็เป็นเพียงการวางบุปผางามเหนือเขนยเท่านั้น คิดว่าหากใช้ความปลอดภัยของจยาหมิงเซี่ยนจู่มาแลก เขาคงมิกัดไม่ปล่อยกับเรื่องนี้แล้วกระมัง

 

 

“ท่านตาหลักแหลมนัก”

 

 

“เพราะความจำเป็นเท่านั้นเอง” เสนาบดีหยางเอ่ยอย่างทอดถอนใจ

 

 

คิดจะสนับสนุนองค์ชายสักพระองค์ หากขาดเงินทองย่อมเป็นไปมิได้ แต่เงินทองก็มิได้ร่วงหล่นมาจากฟ้า เมื่อรวบรวมเงินมาไว้ตรงนี้ ตรงนั้นก็ย่อมต้องขาดพร่องไปมิใช่หรือ หมู่บ้านสือหลี่นั้นช่างเคราะห์ร้ายจริงๆ!

 

 

และเวลานี้เองบุรุษผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาเอ่ยว่า “นายท่าน สาวใช้มารายงานมาว่า ฮูหยินผู้นั้นอยากพบท่านขอรับ”