ที่ชั้นสอง ขณะที่อวี้เฟยเยียนกำลังจิบชา มองดูละครที่กำลังสนุกที่เบื้องหน้า
หมอเทวดาฮั่วและเหลียนจิ่นกำลังกินของว่างอยู่ข้างๆ โดยที่มีเพียงหมอเทวดาฮั่วเท่านั้นที่สีหน้าท่าทางและดูร้อนรน แต่เหลียนจิ่นสีหน้าเรียบเฉยไม่ทุกข์ไม่ร้อนแต่อย่างใด
“แม่น้อยอวี้ เจ้าจะไม่ลงไปหน่อยหรือ”
หมอเทวดาฮั่วไหนเลยจะไม่รู้ว่าพวกเขาเอะอะโวยวายถึงเพียงนี้ ก็เพราะต้องการบีบให้อวี้เฟยเยียนปรากฎตัว
“ไม่ต้องรีบร้อน!”
อวี้เฟยเยียนทอดมองไปไกลด้วยอย่างเกียจคร้าน
“หากคราวนี้ข้าลงไป ภายหน้าทุกคนก็จะทำเช่นเดียวกันนี้ กฎก็จะไม่เป็นกฎอีกต่อไป! ละเมิดกฎเกณฑ์ได้ครั้งหนึ่ง ก็ย่อมต้องมีครั้งต่อไป สุดท้ายก็จะกลายเป็นล้ำเส้นไปในที่สุด! “
เหลียนจิ่นเห็นด้วยกับคำพูดของอวี้เฟยเยียนเป็นอย่างมาก
เส้นแบ่งและหลักการ เป็นสิ่งที่มนุษย์มิอาจละทิ้งได้ตลอดไป
ต่อให้ไร้ซึ่งลมหายใจ ก็ยังต้องยืนหยัด ยืนหยัดต่อไป
เห็นเหลียนจิ่นพยักหน้าเห็นด้วย หมอเทวดาฮั่วก็พูดไม่ออก
“เสี่ยวเหลียนจิ่น เจ้าก็เอาแต่มองดู! ไม่ช่วยคิดหาวิธีเลย!”
“วิธีการน่ะข้าคิดไว้แล้ว…”
เหลียนจิ่นจิบชาแล้วเผยรอยยิ้มงามสง่า
“อีกเดี๋ยวท่านรอดูฉากเด็ดแล้วกัน!”
พูดจบเหลียนจิ่นก็ปิดปากเงียบสนิท
พูดมาครึ่งหนึ่งปิดบังไว้อีกครึ่งหนึ่ง ครึ่งๆ กลางๆ แบบนี้ ทำเอาหมอเทวดาฮั่วถึงกับร้อนรนแทบบ้า!
“เสี่ยวเหลียนจิ่น ตกลงเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่นะ รีบว่ามาเร็วเข้า ข้าร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว!”
“หากข้าบอกท่านไปก็ไม่มีฉากสนุกให้รอชมน่ะสิ! “
เมื่อเห็นท่าทีลึกลับเกินจะคาดเดาของเหลียนจิ่น หอมเทวดาฮั่วก็พูดไม่ออก ทำได้แต่เพียงกินของว่างต่อไปด้วยความอึดอัดใจ ขณะเดียวกันก็ยื่นหน้าออกไปจับตาดูความเป็นไปของเหตุการณ์อย่างใกล้ชิด
หลิวเปยและซย่าโหวเสวี่ยคนหนึ่งร้องคนหนึ่งรับ ทำให้หอคืนชีพครึกครื้นขึ้นมาทันตา ทั้งด้านในด้านนอกเต็มไปด้วยผู้คนแน่นขนัดชนิดที่ว่าไม่มีอะไรเล็ดลอดเข้าออกมาได้เลยทีเดียว
เนื่องจากหลิวเปยเสแสร้งได้เหมือนจริงอยู่มากทีเดียว ดังนั้นผู้คนที่อยู่ด้านนอกจึงเอ่ยขึ้น
“วันนี้ใต้เท้าอวี้หลัวช่าพักผ่อนหรือไร”
“คนผู้นั้นเจ็บป่วยไม่น้อยเลยทีเดียวนะ!”
คำถกเถียงดังขึ้นต่อเนื่อง ทำเอาเหล่าหมอยาจากหมอราชาโอสถได้ยินเข้าต่างก็สีหน้าย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ทว่าซย่าโหวเสวี่ยกลับยิ่งได้ใจ
ซย่าโหวเสวี่ยรู้ดีว่าอวี้เฟยเยียนยังคงอยู่ในหอนี้ เพียงแต่ว่าเรื่องถึงขนาดนี้แล้ว นางยังไม่ยอมออกมา น่าทุเรศที่สุด!
หรือว่าจะให้เติมเชื้อไฟมากกว่านี้อีกสักหน่อยกัน
ไม่ต้องรอให้ซย่าโหวเสวี่ยเติมเชื้อไฟ จู่ๆ เสียงอื้ออึงที่ประตูด้านนอกก็เงียบลงไป
เดิมทีผู้คนที่ยืนเบียดเสียดกันเป็นจำนวนมากที่ด้านนอกก็สลายตัวอย่างรวดเร็ว ประตูที่ถูกปิดทึบจากการเบียดเสียดของมนุษย์ก็มีแสงสว่างส่องลอดผ่านเข้ามาได้อีกครั้งขณะเดียวกันลมก็พัดโกรกเข้ามา
คน
ไม่เพียงแค่ซย่าโหวเสวี่ยที่ตกตะลึง หลิวเปยก็เงียบไปเช่นกัน
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
ซย่าโหวเสวี่ยเตรียมที่จะเดินออกไปดูเหตุการณ์ พลันเงาดำใหญ่ก็กระโจนเข้าหาร่างนางโดยไม่ทันคาดคิด จนนางล้มลงที่พื้น
“บรู๊วว”
เสียงร้องคำรามของฮันจื่อดังยาว จนเกือบทำให้แก้วหูของซย่าโหวเสวี่ยแตกเสียหาย
ไม่นาน บุคคลที่ทำให้ซย่าโหวเสวี่ยและหลิวเปยต้องหวาดกลัวก็ปรากฏตัวตรงหน้าคนทั้งสอง
ร่างสูงโปร่งสวมชุดสีม่วงทั้งชุด สง่าราวเทพบุตร นี่คือซย่าโหวฉิงเทียนนี่นา!
“ท่านลุงสิบสี่…”
หัวใจของซย่าโหวเสวี่ยแทบร่วงลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม
มาเจอกับท่านลุงสิบสี่ตอนนี้แย่ชะมัด!
หลิวเปยที่นอนอยู่บนพื้นกำลังตัดสินใจลำบากเขาจะเลือกเสแสร้งต่อไป หรือจะหยุดแล้วลุกขึ้นมาดีนะ เมื่อนึกถึงความโหดร้ายน่ากลัวของซย่าโหวฉิงเทียน หลิวเปยจึงทำทีแกล้งหมดสติไปเลย
ซย่าโหวฉิงเทียนได้รับรายงานจากฮันจื่อแล้ว ก็ใช้ทางที่เร็วที่สุดมาถึงที่นี่
แน่นอนว่า สถานการณ์ตอนนี้โหดร้ายอยู่สักหน่อย ไม่ต้องรอให้ซย่าโหวฉิงเทียนจัดการพื้นที่ บรรดาชาวบ้านที่เฝ้าดูเหตุกาณ์อยู่รอบๆ ต่างก็ถอยไปหลบหลีกอย่างไกลโพ้น
เห็นซย่าโหวฉิงเทียนแล้วไม่หลบ หรือว่าจะให้รอความตายอย่างนั้นหรือ
หลังจากฮันจื่อกระโจนใส่ซย่าโหวเสวี่ยแล้ว ก็พินิจพิจารณานางอยู่ครู่หนึ่ง
ดีนะ มาหาเรื่องแม่นางน้อย เจ้าต้องพกความกล้าขนาดไหนมาเชียว
หากซย่าโหวเสวี่ยฟังภาษาฮันจื่อเข้าใจละก็ จะต้องตกใจจนแทบอุจจาระปัสสาวะราดเป็นแน่
ซย่าโหวเสวี่ยเดิมทีก็ไม่ได้พกสติปัญญามาอยู่แล้ว สิ่งเดียวที่มีก็คือความกล้าหาญ ซึ่งก็กระเจิดกระเจิงไม่เหลือแล้วในตอนนี้
ความดุดันของฮันจื่อ ซย่าโหวเสวี่ยได้ลิ้มรสแล้ว นางล้มลงไปคราวนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูกแต่ก็ทำเอานางเจ็บระบมไปทั่งร่างจนแทบจะทนไม่ไหว ถึงขนาดที่ว่านางรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะตายเลยทีเดียว
ฮันจื่อ!
ซย่าโหวฉิงเทียนชี้นิ้วสั่งการอยู่หลายทีกว่าที่ฮันจื่อจะยอมลงจากร่างซย่าโหวเสวี่ย ด้วยอาการยังสนุกสนานอยู่
ทว่าก่อนที่จะไป ฮันจื่อก็ไม่ลืมที่มอบของขวัญให้กับซย่าโหวเสวี่ยหนึ่งชิ้น
มันยกขาหลังล่ำสันของมันขึ้น แล้วปัสสาวะรดลงบนร่างซย่าโหวเสวี่ยส่งกลิ่นเหม็นสาบโชยไปทั่ว
ซึ่งมันก็ไม่ได้กะมุมให้ดีเสียด้วย ปัสสาวะสีเหลืองของมันรดราดตั้งแต่ศีรษะซย่าโหวเสวี่ยลงมาจนเปียกไปทั้งร่าง
“กรี๊ด!”
เสียงกรีดร้องซย่าโหวเสวี่ย นางกุมศีรษะแล้ววิ่งพุ่งออกไป
น่าขยะแขยงที่สุด
นางไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว…
เมื่อจัดการซย่าโหวเสวี่ยเรียบร้อยแล้ว ฮันจื่อก็เคลื่อนย้ายร่างกายที่แข็งแรงกำยำของมันไปหยุดตรงหน้าหลิวเปย
“ดูซิว่าหมอนี่ตายหรือยัง!”
เมื่อซย่าโหวฉิงเทียนกล่าวจบ ฮันจื่อก็ยื่นกรงเล็บใหญ่ของมันออกมา ตวัดไปที่ร่างของหลิวเปยให้กลิ้งไปมาบนพื้นทำราวกับหลิวเปยเป็นวงล้อกลมๆ อย่างไรอย่างนั้น
จะส่งเสียงมิได้เด็ดขาด จะต้องแกล้งตายให้ถึงที่สุด!
จู่ๆ หลิวเปยก็รู้สึกอารมณ์เสียยิ่งนัก ก่อนออกจากบ้านมาเหตุใดถึงไม่ดูฤกษ์ยามให้ดีเสียก่อน เพราะเหตุถึงได้มาเจอซย่ากับซย่าโหวฉิงเทียนจนได้นะ!
หลิวเปยมิล่วงรู้เลยว่า นับตั้งแต่ที่เขาเดินทางมาหาเรื่องที่นี่ เหลียนจิ่นก็ได้เรียกขานให้ฮันจื่อไปส่งข่าวให้กับซย่าโหวฉิงเทียนทันที
แน่นอนว่า หลิวเปยมิอาจล่วงรู้เรื่องราวเหล่านี้ได้
เมื่อเห็นว่าหลิวเปยแกล้งตาย ฮันจื่อก็ไม่ได้เปิดโปงเขาในทันที แต่ยื่นปากใหญ่เข้าไปจ่อชิดที่ใบหน้าของหลิวเปย
“ฮา…”
ลมหายใจเหม็นโฉ่เป่ารดใบหน้าหลิวเปยเต็มเหนี่ยว
ลมหายใจฮันจื่อ อบอวลไปด้วยกลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง ทำให้หลิวเปยสะอิดสะเอียนจนแทบทนไม่ไหว
แต่เขามิอาจส่งเสียงได้น่ะสิ!
มิเช่นนั้นเรื่องที่เขามาหาเรื่องหอคืนชีพ ก็จะถูกแพร่งพรายออกไป เขาไปหาเรื่องอวี้หลัวช่าโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ การกระทำเหลวไหลเช่นนี้ ใครจะยินยอมเป็นเพื่อนกับเขาอีกเล่า !
อดทนไว้ อดทนเอาไว้!
หลิวเปยให้กำลังใจตัวเอง
คนผู้นี้น่ารำคาญจริงเชียว!
เมื่อเห็นว่าหลิวเปยไม่ยอมรับน้ำใจเช่นนี้ ฮันจื่อก็โกรธเคืองขึ้นมา!
แหวะ…
ว่าแล้วมันก็สำรอกเอาสิ่งที่มันกินเข้าไปออกมารดบนหน้าของหลิวเปย
เศษชิ้นเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยเปื่อยยุ่ยเละเทะ ทั้งยังเปียกชื้นนุ่มนิ่ม อะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย ขนาดว่าหลิวเปยหลับตาอยู่ ยังสามารถรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือดจากอะไรต่อมิอะไรที่มันสำรอกออกมาได้อย่างชัดเจน
มีเศษเนื้อบางส่วนกองอยู่บริเวณปลายจมูกหลิวเปย ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกคันยิบๆ
ใครจะคาดคิดเจ้าเศษเนื้อนั้นอ่อนนิ่ม สีขาวขุ่นแถมยังมีเศษกระดูกติดอยู่บางส่วน หลิวเปยหรี่ตาจ้องมองพิจารณา นี่มันใช่เศษชิ้นเนื้อธรรมดาที่ไหนกัน แต่มันคือนิ้วมนุษย์ชัดๆ!
แม่ช่วยด้วย!
เจ้าหมายักษ์นี่กินคน!
“อ๊าก อย่ากินข้า!”
หลิวเปยตื่นตระหนกตกใจอย่างหนักจนกระเด้งตัวขึ้นมาจากพื้น แล้วพุ่งตัววิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
เขาไม่ต้องการที่จะอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว ซย่าโหวฉิงเทียนน่ากลัวเกินไปแล้ว!
คนที่เมื่อครู่ป่วยจนแทบเป็นแทบตาย แต่หลังจากที่พบกับหลิงเจียงอ๋องแล้ว ก็กลับฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง แถมยังฮึกเหิมประดุจเสือประดุจมังกรที่ผาดโผนก็ไม่ปาน ความเร็วที่วิ่งออกไปเมื่อครู่รวดเร็วปานธนูไฟ ทำให้ผู้คนได้เปิดหูเปิดตาทีเดียว
ไม่นานก็มีคนตรึกตรองถึงสาเหตุออกมาได้
“องค์ชายห้าคนนั้นเดิมทีเขามิได้ป่วยเลยแม้แต่น้อย เขาแกล้งป่วย! เขาเจตนาที่จะมาก่อกวนใต้เท้าอวี้หลัวช่า!”
เสียงของคนผู้หนึ่งดังขึ้น ทำให้คนอื่นเข้าใจอะไรต่างๆ ขึ้นมา ทุกคนพร้อมใจกันตวัดสายตาไปที่รถม้านั่นด้วยสายตาโกรธแค้น
“น่ารังเกียจที่สุด!”
“ใต้เท้าอวี้หลัวช่าเป็นคนดีปานนี้ ชายโฉดหญิงชั่วคู่นี้กลับจ้องมาหาเรื่องโดยไม่เลือกวิธีการ มันเกินไปจริงๆ! ”
“ใต้เท้าอวี้หลัวช่า อย่ารักษาให้คนเลวเช่นนั้น!”
“จริงด้วย พวกมันมีเจตนาร้ายแอบแฝง! จิตใจสกปรก!”
“คราวหน้าข้าเจอคนเลวสองคนนั้น จะตีให้ตายเลย!”
“ใช่ ต้องตีพวกมันให้ตาย!”
ภาพลักษณ์ซย่าโหวเสวี่ยและหลิวเปยในสายตาของชาวบ้านเลวลงแล้วเลวลงอีก สุดท้ายกลายเป็นติดลบเป็นร้อยเท่า แต่การกระทำเมื่อครู่ของซย่าโหวฉิงเทียนกลับมีความหมายที่แตกต่างออกไป
“ครั้งนี้หลินเจียงอ๋องมาช่วยใต้เท้าอวี้หลัวช่านะ หลินเจียงอ๋องก็เป็นคนดีคนหนึ่งนี่นา… ”
“ใช่นะสิ! หากไม่ได้หลินเจียงอ๋อง พวกเราคงถูกปิดหูปิดตาต่อไป!”
คนที่กล้าหาญมากหน่อย ถึงขนาดพุ่งเข้าไปหาซย่าโหวฉิงเทียนแล้วร้องกล่าวขอบคุณออกมา
“ขอบคุณท่านอ๋อง ที่ท่านเปิดโปงโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกมัน! ท่านอ๋อง ท่านกลับไปจะต้องอบรมสั่งสอนองค์หญิงให้หนัก!”
ยากนักที่จะเจอผู้ที่กล้าที่จะพูดคุยกับตนเอง ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนก็พยักหน้ารับปากอย่างเป็นการเป็นงานเสียด้วย
“วางใจเถอะ เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ข้าจะต้องทูลเสด็จพี่อย่างแน่นอน! พฤติกรรมที่ชั่วช้าของซย่าโหวเสวี่ยและหลิวเปย จะต้องลงโทษให้หนัก!”
คำสัญญาของซย่าโหวฉิงเทียน อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนยิ่งนัก
สำหรับผู้คนที่เคยได้ยินได้ฟังเรื่องราวความโหดร้ายของซย่าโหวฉิงเทียนมาโดยละเอียดนั้น เป็นครั้งแรกที่พวกเขามองเห็นอีกด้านของซย่าโหวฉิงเทียน ครั้งนี้ ทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงมุมมองที่มีต่อซย่าโหวฉิงเทียนครั้งใหญ่
“ที่แท้แล้วหลินเจียงอ๋องก็ไม่ได้โหดร้ายแต่อย่างใดนี่นา!”
“ใช่น่ะสิ เห็นทีสิ่งที่เขาเล่าลือกันมิใช่เรื่องจริง!”
“หากมิได้ท่านอ๋อง ป่านนี้พวกเราถูกคนเลวสองคนนั้นหลอกลวงไปแล้ว!”
ตอบกลับเพียงแค่ประโยคเดียว กลับนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่ซย่าโหวฉิงเทียนคาดไม่ถึง
คำวิพากษ์วิจารณ์ในแง่ดีที่ลอยมาเข้ากระทบหู ซึ่งซย่าโหวฉิงเทียนได้ยินเป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่ได้รับสายตาที่เป็นมิตรจากประชาชนที่ห้อมล้อม ไม่นานแก้มซย่าโหวฉิงเทียนก็ร้อนเห่อและแดงเล็กน้อย
ความรู้สึกเช่นนี้ มันช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก!
เมื่อเห็นซย่าโหวฉิงเทียนในอีกแบบหนึ่งที่ไม่เป็นตัวของตัวเอง ฮันจื่อก็ดีใจยิ่งนักแต่ทว่า
นายท่าน ท่านกลับไปโหดร้ายเช่นเดิมต่อไปเถอะ!
นายท่านข้าที่กำลังเขินอายเช่นนี้ มันช่างขัดแย้งกับรูปลักษณ์ภายนอกของท่านโดยสิ้นเชิงนะสิ