พวกเขาพูดออกมาเช่นนี้ต่อหน้าเหล่าอาจารย์ ทำให้ใบหน้าของเหล่าอาจารย์มืดดำคล้ำหม่นราวกับก้นหม้อเก่า

“มู่ซี ศิษย์ของเจ้าไร้กาลเทศะจริง ๆ”

“มู่ซี เจ้า…”

“มู่ซี…”

เมื่อถูกเหล่าศิษย์ ‘ห้องโหล่’ ดูหมิ่น พวกเขาทั้งหมดโกรธใจแทบจะระเบิด

มู่เฉียนซีกล่าว “อาจารย์ทุกท่าน นี่ไม่ใช่ที่สําหรับการพูดคุยกัน พวกเราไปเจรจาตกลงกันที่ห้องสำหรับหารือตรงนั้นดีกว่า ขอเชิญผู้อาวุโสทุกท่านทางนี้เถอะ”

“ได้! ไปก็ไป พวกข้าไม่กลัวเจ้าหรอก”

“บรรยากาศในสำนักศึกษาที่ไม่เคารพอาจารย์จะต้องถูกกำจัดออกไปให้สิ้น”

พวกเขาพูดกันอย่างโกรธเคืองแต่ก็เดินตามมู่เฉียนซีไป

ศิษย์จากห้องเจ็ดต่างหันมองหน้ากัน ก่อนที่ศิษย์คนหนึ่งจะกล่าวออกมาอย่างหวั่น ๆ “พวกเราคงไม่สร้างปัญหาให้กับอาจารย์ใช่หรือไม่ ?!”

“ไม่รู้สิ แต่ข้าเห็นเช่นนี้แล้วก็เบื่อ ๆ พวกอาจารย์แก่ ๆ พวกนั้นไร้เหตุผล พวกเราดีเกินไปมีความสามารถเกินไปอยากจะแบ่งปันความรู้ก็ยังมองว่าทำผิด”

“ใช่ คนแก่พวกนี้ดื้อรั้นมาก พวกเขานั่นแหละผิดที่ใจแคบ แต่ผู้เฒ่าหัวรั้นแบบนั้นถึงตายก็คงไม่ยอมรับความผิดของพวกเขาหรอก”

ซูเซิง “พวกเจ้าวางใจเถอะ ดูอาจารย์มู่เสียก่อนสิเล่นพวกเราแทบตายทุกวัน ผู้เฒ่าหัวดื้อกลุ่มนั้นจะไปจัดการอะไรอาจารย์มู่ได้”

“ก็จริง ถ้างั้น… พวกเราไปดูอะไรสนุก ๆ กันเถอะ!”

เหล่าศิษย์ของห้องเจ็ดรีบวิ่งตามกันไป

“เลว! พฤติกรรมช่างชั่วร้ายเสียจริง” เสียงรองอาจารย์ใหญ่เริ่มกล่าว

“มู่ซี ในสํานักย่อยปรุงยาของเรา ไม่เพียงแต่พรสวรรค์ในการปรุงยาเท่านั้นที่สําคัญ พวกเรายังให้ความสําคัญกับระดับของศิษย์ด้วย ดูสิว่าศิษย์ที่เจ้าสอนอยู่เป็นอย่างไร”

ครั้งก่อนที่เสียเปรียบให้กับมู่เฉียนซี ตอนนี้รองอาจารย์ใหญ่คว้าโอกาสนี้มาพ่นคำว่ากล่าวใส่มู่เฉียนซีอย่างบ้าคลั่ง

มู่เฉียนซีมองรองอาจารย์ใหญ่อย่างไร้เดียงสาก่อนจะกล่าวว่า “รองอาจารย์ใหญ่ เสียงท่านดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย ข้าเอายาเม็ดให้กินสักหน่อยดีไหม จะได้ชุ่มคอ”

รองอาจารย์ใหญ่รีบหุบปาก ทำเป็นเล่นไป ชุ่มคองั้นรึ ?! เจ้าหนูนี่คงคิดจะวางยาพิษเขาล่ะสิท่า

“ไม่จําเป็น!”

มู่เฉียนซีลุกขึ้นยืน “เช่นนั้นรองอาจารย์ใหญ่ก็พูดจบแล้ว เช่นนั้นต่อไปเป็นทีของข้าพูดแล้ว ข้ามีข้อเสนอ ไม่ทราบว่าทุกท่านจะตอบตกลงหรือไม่ก็ลองพิจารณาดูเอาแล้วกัน”

“สำนักย่อยการปรุงยาของพวกเราทุกห้องเรียนล้วนเป็นการเล่าเรียนและฝึกแบบปิด ไม่ค่อยมีการแลกเปลี่ยนกัน วันนี้ได้รู้เกี่ยวกับวิธีการปฏิบัติของเหล่าศิษย์ของข้า ข้าคิดว่าควรให้ศิษย์ของสำนักย่อยการปรุงยาได้แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ดังนั้นข้าจึงคิดอยากที่จะสร้างสมาคมขึ้นมาสมาคมหนึ่งในสำศึกษา”

“ทั้งสํานักศึกษา ไม่ว่าศิษย์ในห้องเรียนจะอยู่ระดับขั้นใด ขอเพียงเต็มใจแลกเปลี่ยนเรียนรู้จุดแข็งกับทุกคนก็สามารถเข้าร่วมสมาคมนี้ได้ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าร่วมกันของทุกคน พวกท่านคิดว่าอย่างไร ?”

การกระทําของซูเซิงและพวกทําให้นางได้รู้ว่าแม้พวกเขาจะเป็นอัจฉริยะ แต่อัจฉริยะในสํานักศึกษาก็มีไม่น้อย

เป้าหมายเดิมของนางคือการเฟ้นหาและขุดค้นความสามารถของศิษย์ที่นางดูแล เมื่อขุดค้นจนถึงที่สุดแล้ว ก็นำนักปรุงยาฝีมือดีของทั้งสํานักมารวมกันเป็นหนึ่ง ส่วนอนาคตพวกเขาอยากไป ณ ที่ใดหรืออยากฝึกตนเองไปในทิศทางไหน พวกเขาก็เลือกเอาเองได้

“ยอดเยี่ยม! วิธีนี้ยอดเยี่ยมมาก” ผู้อาวุโสสูงสุดเป็นคนแรกที่ปรบมือเอ่ยชมว่าดี

“นี่เป็นวิธีที่ดีจริง ๆ ต้องขอบคุณเจ้าหนุ่มมู่ที่คิดขึ้นมาได้ การสอนในสํานักศึกษาของพวกเรามีข้อเสีย ทุกคนล้วนมีจุดอ่อนในการปรุงยาและคนที่สมบูรณ์แบบมีน้อยมาก หากมีการสื่อสารแลกเปลี่ยนกันก็จะสามารถชดเชยข้อบกพร่องได้”

ใบหน้าของรองอาจารย์ใหญ่เริ่มหม่นคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ

หลอกลวง เขาพูดอะไร ? ตาแก่พวกนี้ไม่คัดค้านเลยสักนิด

ถึงอย่างไรผู้อาวุโสทั้งหลายก็กลายเป็นผู้ชื่นชมความคิดดี ๆ ของ ‘อาจารย์มู่ซี’ เสียแล้ว และก็ยืนฝั่งเดียวกับนางอย่างสมบูรณ์

ด้วยเพราะเป็นเช่นนี้ รองอาจารย์ใหญ่จึงกล่าวว่า “ผู้อาวุโสทั้งหลาย เจ้าเด็กนี่มีจุดประสงค์ที่ไม่บริสุทธิ์ เขาคือหัวหน้าหอหมอปีศาจ มาเป็นอาจารย์สอนศิษย์ห้องเจ็ดในสํานักศึกษาของเรามันถือว่าผิดปกติมาก แล้วตอนนี้ก็คิดอยากจะสร้างสมาคมขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นคนทั้งสํานักศึกษาก็จะเคารพนับถือนาง ยกให้นางเป็นศูนย์กลาง แล้วตอนนั้นเกรงว่าศิษย์ของสำนักศึกษาที่ประสบความสําเร็จทั้งหลายคงจะไม่เลือกรับงานของสำนักศึกษา แต่เลือกไปที่หอหมอปีศาจของนางแทน”

“เจ้าเด็กนี่มันคนทุจริตเห็น ๆ” รองอาจารย์ใหญ่ต่อว่ามู่เฉียนซีอย่างโกรธเกรี้ยว

ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวขึ้น เขาพยายามควบคุมอารมณ์ให้คงที่ “สิ่งที่เจ้าพูดไม่ถูกต้อง ในเริ่มแรกนั้นจุดประสงค์ของสํานักย่อยการปรุงยาของพวกเราคือสร้างอัจฉริยะด้านการปรุงยา ส่วนอนาคตพวกเขาจะพัฒนาหรืออยากไปที่ไหน พวกเขาล้วนมีอิสระเลือกทิศทางที่จะก้าวเดินเอง”

“สํานักศึกษาซวนเสียของพวกเราคิดเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นนักปรุงยา นักหลอมอาวุธ หรือจอมภูตและผู้ฝึกยุทธ์ล้วนมีอิสระในการเลือกทางเดินของตัวเอง”

“เป็นเพราะสํานักซวนเสียของเราเปิดกว้าง จึงได้กลายเป็นขุมกำลังระดับสองของทวีปเสียโจว เจ้าไม่รู้หรอกรึ ?”

รองอาจารย์ใหญ่พูดไม่ออก แต่เขาก็ต้องค้านไว้ก่อน “แต่จุดประสงค์ของเจ้าเด็กนี่ไม่บริสุทธิ์”

“อีกอย่าง ถ้าพวกเขาสามารถไปที่หอหมอปีศาจได้หลังจากเล่าเรียนจบนั่นก็ไม่เลวเลย หอหมอปีศาจมีเจ้าหนุ่มมู่คอยดูแล ต่อไปอนาคตก็จะไร้ขีดจํากัด”

“เจ้าอ้วนเตี้ย เจ้ามีสายตาที่มองการณ์แค่สั้น ๆ เท่านั้น!” รองอาจารย์ใหญ่พลั้งปากด่าออกมาแล้ว

“นี่เจ้า… มันจะมากเกินไปแล้ว!”

รองอาจารย์ใหญ่ถูกผู้อาวุโสทุกคนต่อว่าไม่หยุด มู่เฉียนซีเองก็รู้สึกว่าในสํานักศึกษาซวนเสีย ถึงแม้มีพวกมองการณ์ใกล้อยู่บ้าง แต่บรรยากาศโดยรวมของสำนักศึกษากลับไม่เลวเลย

นางมาขุ้นค้นเฟ้นหาผู้มีความสามารถอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ผู้อาวุโสทั้งหลายไม่เพียงไม่โกรธแต่ยังเห็นด้วยอีก หากเป็นขุมกําลังของสํานักนิกายที่มีพลังอำนาจคงส่งคนมาลอบสังหารนางไปนานแล้ว พวกเขาคงไม่ลังเลหากต้องทําให้นางหายสาบสูญไปจากโลกนี้

รองอาจารย์ใหญ่ถูกต่อว่าอย่างหนัก เขากล่าว “ข้าจะไม่ตกลงจัดตั้งสมาคมอย่างแน่นอน และคิดว่าอาจารย์ทั้งหลายก็คงจะไม่ตกลง!”

“ใช่! พวกเราไม่เห็นด้วย”

ถ้าให้เจ้าเด็กนี่มีอํานาจเหนือสำนักย่อยการปรุงยาขึ้นมาจริง ๆ เช่นนั้นอาจารย์อาวุโสอย่างพวกเขาเหล่านี้ยังจะเหลือสถานะอะไร

เดิมทีนักเรียนของพวกเขาเคารพนับถือพวกเขาอย่างมาก แต่ตอนนี้ในสายตาของพวกเขามีเพียงหมอปีศาจมู่ซีเท่านั้น นี่ทำให้พวกเขาโกรธมาก โกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไงแล้ว

มู่เฉียนซีกล่าวขึ้น “พวกท่านสามารถปฏิเสธได้เต็มที่ แต่ทุกอย่างนี้ใช้ศักยภาพมาตัดสินเถอะ อาจารย์ทุกคนจะประลองกับข้าก็ได้ อยากประลองแบบหมุนเวียนกันเข้ามาก็ไม่มีปัญหา หากข้าชนะละก็ เช่นนั้นเรื่องที่จะก่อตั้งสมาคมขึ้น พวกท่านก็ห้ามค้านและเงียบปากไปซะ!”

พวกเขาได้แต่ครุ่นคิดอย่างเงียบ ๆ

ผู้อาวุโสสูงสุดหัวเราะก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าหนุ่มมู่พูดถูก สำนักย่อยการปรุงยาของพวกเราย่อมต้องว่าตามความสามารถในการปรุงยา หากพวกเจ้าไม่ตอบรับข้อเสนอของเจ้าหนุ่มมู่ เช่นนั้นตัดสินด้วยการประลองกันก็ดี”

“ถ้าเจ้าหนุ่มมู่ชนะพวกเจ้า เช่นนั้นก็หมายความว่าเขามีศักยภาพ การสร้างสมาคมจะทําให้เหล่าศิษย์ในสํานักศึกษาโดดเด่นยิ่งขึ้น”

“ข้าเห็นด้วย”

“ข้าก็เห็นด้วยเช่นกัน”

รองอาจารย์ใหญ่กล่าว “ชื่อเสียงในฐานะหมอปีศาจของเจ้า ตอนนี้ในทวีปเสียโจวมีใครไม่รู้จักบ้าง เจ้าประลองกับอาจารย์ในสำนักศึกษาของเรา นั่นจะไม่ใช่การรังแกพวกเขาหรอกรึ ?”

แม้ว่าชื่อเสียงของหมอปีศาจจะลึกลับซับซ้อนอยู่มากจนทําให้ผู้คนไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องจริง แต่อาจารย์ทุกคนก็ยังรู้สึกกระวนกระวายใจ

มู่เฉียนซียิ้ม “ถ้าเช่นนั้นก็มาประลองกันแบบหมุนเวียนเถอะ เข้ามาได้เลยทีละคน ตราบใดที่ข้าปรุงยาออกมาได้แย่แล้วพ่ายแพ้ให้กับพวกเจ้าคนใดคนหนึ่ง ก็นับว่าข้าแพ้ทันที”

“ดูเหมือนว่าสํานักย่อยการปรุงยาจะมีอาจารย์ผู้อื่นที่สนใจอยู่ หากว่ารองอาจารย์ใหญ่กลัวแพ้ จะเชิญพวกเขาออกมาทั้งหมดก็ได้ไม่มีปัญหา”

“นี่…”

สงครามหมุนเวียน! นี่นางกําลังมองหาความพ่ายแพ้อยู่กระมัง

การปรุงยาครั้งหนึ่งต้องใช้พลังจิตมหาศาล ต่อให้นางร้ายกาจกว่าคนอื่นมากเพียงใด พลังจิตของนางก็หมดได้

“เจ้าหนูมู่!” ผู้อาวุโสสูงสุดและพวกต่างตกใจกับกฎการประลองฝีมือที่มู่เฉียนซีเสนอมา แม้แต่พวกเขาเองก็ยังไม่กล้าประลองแบบหมุนเวียนที่แสนเสียเปรียบเช่นนี้เลย