เป็นเวลานานที่ทั้งสองคนตกอยู่ในสภาพชะงักงัน ทันใดนั้น ฮูหยินเฒ่าก็ยื่นมือไปทางซูจิ่นซี พร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน
“เด็กน้อย เข้ามานี่! ”
ซูจิ่นซีต้องการยกเท้าขึ้น ทว่าเท้าทั้งคู่ราวกับมีตะกั่วยึดอยู่ที่น่อง ทันใดนั้น นางก็ลืมวิธีการเดินไปชั่วขณะ
สุดท้ายยังคงเป็นฮูหยินเฒ่าที่เดินมาหานางทีละก้าว ทีละก้าวอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหยุดอยู่ตรงหน้าซูจิ่นซี และค่อยๆ คว้าซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมแขนของตน
“เด็กน้อย หลายปีมานี้เจ้าคงลำบากมาก”
ในความทรงจำของอดีตชาติและชาตินี้ ไม่เคยมีญาติมิตรคนใดกอดนางเหมือนฮูหยินเฒ่าหานมาก่อน
เมื่อได้ยินคำพูดประโยคนี้ของฮูหยินเฒ่าหาน หัวใจของซูจิ่นซีพลันรู้สึกเจ็บปวด ร่างกายของนางแข็งทื่อ
ครู่หนึ่งซูจิ่นซีจึงได้สติ นางค่อยๆ ยื่นมือออกไป ประคองด้านหลังของฮูหยินเฒ่าหาน
ซูจิ่นซีเปิดริมฝีปากอย่างไม่รู้ว่าจะพูดอันใด ก่อนที่นางจะพูดไปว่า “ฮูหยินเฒ่าหาน รักษา… สุขภาพด้วย”
ฮูหยินเฒ่าหานค่อยๆ ปล่อยตัวซูจิ่นซี แววตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มยินดี “อืม”
หลังจากตอบรับคำ ฮูหยินเฒ่าหานก็เอ่ยว่า “เด็กโง่ ยังเรียกข้าว่าฮูหยินเฒ่าหานอีก! ”
ซูจิ่นซีตกตะลึง ดวงตาจับจ้องไปที่ความงามของฮูหยินเฒ่าหาน ก่อนจะหันไปหาจงรุ่ยอันและจงเทียนโย่วที่อยู่ด้านหลังของนาง
นางต้องการเปลี่ยนคำเรียก ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด คำพูดนั้นจึงติดอยู่ที่ปาก ไม่อาจเปล่งเสียงออกมาได้
อย่างไรก็ตาม จงเทียนโย่วที่เฉลียวฉลาดกลับวิ่งเข้ามาหาซูจิ่นซี และคว้ามือของนาง “พี่จิ่นซี หลายปีมานี้ท่านพ่อและท่านย่าตามหาท่านมาตลอด และไม่เคยยอมแพ้ที่จะตามหาท่าน”
หลายปีมานี้?
หรือว่า คนในสำนักแพทย์สกุลจงจะรู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่?
ในเมื่อพวกเขาทราบ ตามหลักการแล้วก็ควรรู้ที่อยู่ของมารดานางด้วยจึงจะถูก
เช่นนั้น เหตุใดยังต้องตามหาอยู่หลายปีด้วยเล่า?
ในใจของซูจิ่นซีปรากฏความคิดที่ไม่อาจอธิบายได้ ทว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่ปล่อยให้นางได้ครุ่นคิดมากนัก
จงเทียนโย่วคว้ามือของซูจิ่นซีมาวางลงบนฝ่ามือของฮูหยินเฒ่าหาน พลางมองซูจิ่นซีด้วยใบหน้าที่เปี่ยมด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “พี่จิ่นซี รีบเรียกท่านย่าเร็ว! ท่านย่ารอให้ท่านเรียกว่า ‘ท่านย่า’ เช่นนี้มาหลายปีแล้ว”
ซูจิ่นซีมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยหยาดน้ำตาของฮูหยินเฒ่าหาน นางกำลังรวบรวมความกล้าเพื่อจะเอ่ยปากพูด ทว่า ฮูหยินเฒ่าหานกลับเอ่ยขึ้นก่อน “เรียกท่านย่า! ”
แม้ใบหน้าของฮูหยินเฒ่าหานจะมีหยาดน้ำตา แต่กลับมีรอยยิ้ม เมื่อมองรอยยิ้มนั้นแล้ว ความรู้สึกสูญเสียในใจของซูจิ่นซีก็ลดน้อยลง
“ท่าน… ท่านย่า! ”
“อืม… ”
ฮูหยินเฒ่าหานส่งเสียงตอบรับอย่างหนักแน่น และดึงซูจิ่นซีเข้ามาในอ้อมแขนของตนอีกครั้ง
แม้ฮูหยินเฒ่าหานจะเป็นหญิงชราที่มีอายุกว่าครึ่งร้อยปีแล้ว ทว่านางเกิดในตระกูลแพทย์ ทั้งยังดูแลร่างกายของตนอย่างดี จึงมีสุขภาพแข็งแรงและมีกำลังวังชา
ฮูหยินเฒ่าหานกอดซูจิ่นซีแน่น แม้ซูจิ่นซีจะรู้สึกอึดอัดและหายใจไม่สะดวกอยู่บ้าง ทว่าหัวใจของนางกลับเต็มไปด้วยความสุข ทั้งยังสัมผัสได้ถึงความสุขและความอบอุ่นที่นางไม่เคยได้รับมาก่อน ไม่ว่าในอดีตชาติหรือชาตินี้
จงเทียนโย่วมองภาพที่ฮูหยินเฒ่าหานกับซูจิ่นซีกำลังกอดกัน ใบหน้าพลันเผยรอยยิ้มสดใส
ต่อไปเขาจะมีพี่สาวเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนแล้ว!
ทั้งเขายังแอบสาบานอยู่ในใจว่าจะต้องปกป้องนางให้ดี
จงรุ่ยอันยืนอยู่ข้างบันได แม้เขาไม่ได้พูดอันใด ทว่าดวงตาทั้งคู่กลับมีคราบน้ำตาทอประกายอยู่ตลอด แววตาที่สงบนิ่งแหงนมองท้องฟ้า เฝ้ามองเมฆขาวค่อยๆ เคลื่อนผ่านเหนือศีรษะของตน ทั้งมุมปากยังเผยให้เห็นรอยยิ้ม
ซีจือ… ในที่สุดเด็กคนนี้ก็กลับมา วิญญาณของเจ้าที่อยู่บนสวรรค์คงสงบสุขแล้ว
ภายในเรือนมีมู่หรงฉีและอู๋จุน
มู่หรงฉียกสองมือไพล่หลัง เขายืนอยู่ด้านหลังซูจิ่นซี แม้ใบหน้าไม่ได้แสดงออกถึงความรู้สึกเท่าใดนัก ทว่าในใจกลับร่วมยินดีไปกับนาง
อู๋จุนเห็นซูจิ่นซีเรียกฮูหยินเฒ่าหานว่า ‘ท่านย่า’ คราแรกใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มประดับอยู่ ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เมื่อมองอยู่นาน รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อยๆ จางหายไป ก่อนที่เขาจะหันไปมองทางอื่น
ร่างนั้นดูอ้างว้างและโดดเดี่ยวเล็กน้อย
ครู่หนึ่ง ฮูหยินเฒ่าหานจึงปล่อยตัวซูจิ่นซี
จงเทียนโย่วที่ยืนอยู่ด้านข้างซูจิ่นซี มองซูจิ่นซีด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน และเรียกนางอย่างสุภาพว่า “ท่านพี่จิ่นซี”
คำว่า ‘ท่านพี่จิ่นซี’ ทำให้ซูจิ่นซีตกตะลึง ทันใดนั้น นางก็นึกถึงซูอวี้ที่ตอนนี้อยู่ที่แคว้นจงหนิง
ซูอวี้เป็นอัจฉริยะทางการแพทย์ตั้งแต่อายุยังน้อย ตอนนี้เขาอายุยังไม่ถึงสิบขวบ ทว่ากลับช่วยเหลือฮูหยินปี้ดูแลสกุลซูทั้งหมด และดูแลหอโอสถสกุลซูอีกหลายแห่ง
จงเทียนโย่วที่อยู่ตรงหน้ากับซูอวี้มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน แม้เขาจะไม่ฉลาดเท่าซูอวี้ ทว่าดวงตาดำขลับกลับส่องประกายด้วยสติปัญญา เมื่อพูดถึงความสุขุมก็ไม่ด้อยไปกว่าซูอวี้ ในฐานะที่เกิดในตระกูลแพทย์ คิดว่าความสามารถด้านวิชาแพทย์ก็ไม่แพ้ซูอวี้เช่นกัน
“อืม! ”
ซูจิ่นซีตอบรับอย่างจริงจัง มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มสดใส
ฮูหยินเฒ่าหานจับมือซูจิ่นซีอยู่ตลอดเวลา นางชี้ไปที่จงรุ่ยอัน “จิ่นซี นี่คือท่านลุงของเจ้า! ”
ซูจิ่นซีมองไปที่จงรุ่ยอัน นางยังไม่ทันได้เอ่ยปาก จงรุ่ยอันก็ทำความเคารพซูจิ่นซีเสียก่อน
“พระชายา! ”
ซูจิ่นซีรีบตอบ “พระชายาเป็นฐานะของข้าในแคว้นจงหนิง ที่นี่เป็นแคว้นหนานหลี ท่านลุงอย่าได้ใส่ใจมากเกินไป”
แม้ซูจิ่นซีจะพูดเช่นนี้ ทว่าจงรุ่ยอันยังหันมาทำความเคารพซูจิ่นซีอย่างเคร่งครัด
ซูจิ่นซีอดชื่นชมอยู่ในใจไม่ได้ อุปนิสัยที่สุขุม รูปแบบของสำนักแพทย์สกุลจงต้องไม่แย่อย่างแน่นอน
แม้ซูจิ่นซีจะเก็บเรื่องราวต่างๆ ไว้ในใจ ทว่านางยังมีคำพูดมากมายที่ต้องการพูดกับมู่หรงฉี และต้องการคุยกับอวิ๋นจิ่น
ตัวอย่างเช่น พูดคุยทำความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ในตอนนี้ของเมืองเย่หลิน และหารือเกี่ยวกับแผนการต่อไป
ฟังอวิ๋นจิ่นเล่าเรื่องราวหลังจากที่นางจากไปในคืนนั้นให้จบ
ทว่าฮูหยินเฒ่าหานเพิ่งได้พบซูจิ่นซี นางจึงยินดีและตื่นเต้นอย่างมาก ก่อนจะสั่งให้ในครัวจัดสำรับอาหารออกมาต้อนรับทุกคน หลังจากรับประทานอาหารเสร็จแล้วก็ไม่ยอมปล่อยซูจิ่นซี ทว่ารั้งตัวซูจิ่นซีมาพูดคุยมากมาย ทั้งเรื่องราวของคนในวัยชรา และเรื่องเกี่ยวกับการพบกันที่สวยงาม จนท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวก็ยังไม่ยอมปล่อยซูจิ่นซี
ยามนี้ บนหลังคาใต้แสงดาวมีร่างในชุดสีแดงอันทรงเสน่ห์ราวกับดอกม่านถัวหลัว ทั้งยังงดงามยิ่งกว่าดอกไห่ถังที่แย้มบาน
อู๋จุนสวมเสื้อคลุมสีแดงนอนไขว่ห้างอยู่บนหลังคา ในปากคาบฟาง และกำลังชื่นชมดวงจันทร์สดใสบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ดวงจันทร์กลมโตจนบดบังท้องฟ้าเบื้องบน
มองจากบนเรือนขึ้นไป สีแดงบนแผ่นกระเบื้องสีหมึกนั้นราวกับสถิตอยู่บนดวงจันทร์ขนาดใหญ่ งดงามดั่งบทกวี
อู๋จุนนอนอยู่ตรงนั้นมาหลายชั่วยามแล้ว หลังจากรับประทานอาหารเย็น เขาก็นอนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่พระอาทิตย์ตกดินจนดวงจันทร์ขึ้นสู่ท้องฟ้า
ทันใดนั้น ร่างในชุดสีเหลืองก็กระโดดจากต้นไห่ถางในลานบ้านขึ้นมาอยู่ข้างกายอู๋จุน
ถังเสวี่ยวางคางลงบนมือทั้งสองของตน นางนั่งอยู่ข้างอู๋จุน มองดูดวงจันทร์ที่อยู่เหนือศีรษะเช่นเดียวกับอู๋จุน
ทั้งสองคนนั่งดูพระจันทร์อย่างเงียบงัน ไม่มีผู้ใดพูดอันใด อู๋จุนทำราวกับถังเสวี่ยไม่ได้อยู่ตรงนี้ และไม่หันมามองนางแม้แต่น้อย
แท้จริงแล้ว เมื่อทั้งสองอยู่ด้วยกัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องมีบทสนทนาอันใด สามารถคุยกันได้นับว่าเป็นสหายสนิท หลายครั้งที่อยู่ด้วยกันนานๆ แม้ไม่ได้พูดจากัน ทว่าต่างคนต่างไม่รู้สึกอึดอัด ถือว่าเหมาะสมที่จะอยู่ด้วยกัน
ตั้งแต่เล็กจนโต ไม่รู้ว่าถังเสวี่ยอยู่ข้างกายอู๋จุนอย่างเงียบงันมากี่ครั้งแล้ว
“พี่เป่าอวี้ ท่านคิดถึงบ้านหรือไม่? คิดถึงสำนักถังเหมินหรือยัง? หากท่านคิดถึงบ้านแล้ว คิดถึงสำนักถังเหมินแล้ว ท่านก็กลับไปกับถังเสวี่ยเถิด! คนในครอบครัว… รอท่านอยู่เสมอ! ”
ผ่านไปครู่ใหญ่ ถังเสวี่ยก็เอ่ยขึ้น เสียงของนางราวกับระฆังทองแดงที่ดังในค่ำคืนอันเงียบสงบ ฟังแล้วไพเราะอย่างมาก