เมื่อได้ฟังเช่นนั้น อู๋จุนก็พ่นฟางที่อยู่ในปาก พลางชำเลืองมองถังเสวี่ยอย่างขุ่นเคือง
“ข้าบอกว่าข้าจะไม่กลับไป ชั่วชีวิตนี้ไม่กลับไป เจ้ายังกล้าพูดเรื่องสำนักถังเหมินต่อหน้าข้าอีก ไสหัวไปเสีย! ”
ถังเสวี่ยไม่โกรธ ดวงตาของนางสดใสราวกับระฆังทองแดง และงดงามราวกับปีกผีเสื้อ เปล่งประกายดั่งหิ่งห้อยที่เรืองแสงในค่ำคืนอันมืดมิด
“พี่เป่าอวี้ ท่านไม่ต้องหลอกผู้อื่นหรอก ถังเสวี่ยรู้ว่าท่านคิดถึงบ้าน! วันนี้ ตอนที่ซูจิ่นซีกับฮูหยินเฒ่าหานได้พบกัน ข้ามองเห็นดวงตาท่านแดงก่ำ”
อู๋จุนพลันตกตะลึงตัวแข็งทื่อ เขายืนขึ้นและชี้ไปที่จมูกของถังเสวี่ยอย่างดุดัน “ไสหัวไป ข้าบอกให้เจ้าไสหัวไป! ผู้ใดตาแดงกัน? เม็ดทรายกระเด็นเข้าตาข้าต่างหาก! ”
แม้ถังเสวี่ยจะตกตะลึงไปชั่วขณะ ทว่าสีหน้ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับนางเคยชินกับท่าทางเช่นนี้ของอู๋จุนมานานแล้ว นางจึงกลับมาได้สติอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ขณะที่นางกำลังจะพูดอันใดบางอย่าง อู๋จุนก็เหาะหายไปในค่ำคืนที่เงียบสงบ
ถังเสวี่ยทอดถอนใจ นางมองไปทางทิศตะวันออกด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังและความปรารถนา
ผ่านไปครู่ใหญ่ น้ำเสียงอันไพเราะราวกับระฆังทองแดงก็ดังขึ้นอีกครั้ง “แท้จริงแล้ว ถังเสวี่ยก็คิดถึงบ้านเช่นกัน! ถังเสวี่ยอยากกลับบ้าน ทว่าพี่เป่าอวี้ เมื่อใดท่านจะหยุด เมื่อใดท่านจะไม่วิ่งหนี เมื่อใดถังเสวี่ยจะตามท่านทัน? ”
เมื่อพูดจบ นางก็ทอดสายตายาวออกไป ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาไล่ตามบุรุษชุดแดง
คืนนี้ ซูจิ่นซีถูกฮูหยินเฒ่าหานรั้งให้พูดคุยจนเกือบถึงยามสาม ก่อนที่นางจะจากไป
ฮูหยินเฒ่าหานคุยกับนางเกี่ยวกับแคว้นหนานหลี แคว้นจงหนิง เมืองเย่หลิน และพูดคุยเรื่องที่สำนักโอสถสกุลจงและสำนักแพทย์เคยอยู่ร่วมกันอย่างสามัคคี รวมถึงความแตกแยกในตอนนี้ ทั้งยังคุยเรื่องการสืบทอดของสกุลจง
พวกเขาคุยเรื่องของจงรุ่ยอันและจงเทียนโย่ว คุยเรื่องสมัยที่ฮูหยินเฒ่าหานยังเยาว์วัย ทว่าไม่ได้คุยเรื่องจงซีจือ มารดาของซูจิ่นซี
สตรีที่เป็นดั่งตำนานซึ่งทุกคนเฝ้าตามหา สตรีผู้ลึกลับราวกับดำรงอยู่เพียงในตำนานของแคว้นจงหนิงและแคว้นหนานหลี สตรีที่มีเรื่องราวพัวพันระหว่างแคว้นจงหนิงและแคว้นหนานหลี สตรีผู้ที่ก่อให้เกิดคลื่นพายุลูกใหญ่หลังจากการเสียชีวิตของนาง ฮูหยินเฒ่าหานจึงไม่เอ่ยถึง
ราวกับคำว่า ‘จงซีจือ’ จะกลายเป็นคำต้องห้ามไปชั่วขณะ เมื่อฮูหยินเฒ่าหานไม่เอ่ยถึง ซูจิ่นซีก็ไม่ต้องการทำให้ฮูหยินเฒ่าหานเสียความรู้สึก นางจึงไม่พูดเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ด้วยเหตุผลนี้ ทำให้ซูจิ่นซีเกิดความชัดเจนบางอย่างขึ้นในใจ ฮูหยินเฒ่าหานรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจงซีจือ มารดาของนางเสียชีวิตไปแล้ว
แม้จงซีจือจะเสียชีวิตไปแล้ว ทว่าหลายคนในแคว้นจงหนิงกลับรับรู้ว่านางหายตัวไปอย่างกะทันหัน และไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ฮูหยินเฒ่าหานทราบได้อย่างไรว่าจงซีจือเสียชีวิตไปแล้ว?
ความจริงในหลายๆ เรื่องก็เป็นดั่งแสงตะเกียงในยามค่ำคืน ที่ส่องแสงริบหรี่ในใจของนางราวกับสายลม บางครั้งก็มืดมิด บางครั้งก็ส่องสว่าง
นอกจากนั้น ยังมีเรื่องเกี่ยวกับกิเลนคู่ และเรื่องเกี่ยวกับอั้นหรานเซียวหุน
ซูจิ่นซีมีสัญชาตญาณว่าคำตอบเหล่านี้ล้วนอยู่ในแคว้นหนานหลี และอยู่ที่สกุลจง
ทว่านางกลับระงับความสงสัยทุกอย่างไว้ในใจ และไม่เอ่ยถามสิ่งใดกับฮูหยินเฒ่าหานในขณะนั้น
ตอนกลางวัน ฮูหยินเฒ่าหานรั้งตัวซูจิ่นซีไว้ ทั้งยังจัดหาที่พักให้นางในจวน
ซูจิ่นซีเดินออกจากประตูเรือนของฮูหยินเฒ่าหานและตรงไปยังที่พักของตนเอง
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่มาถึงเรือนพัก ซูจิ่นซีก็เห็นชายผู้หนึ่งที่ยืนสงบเงียบยิ่งกว่าแสงจันทร์
อวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นหันหน้ามาทางซูจิ่นซี เมื่อเขาเห็นนาง รอยยิ้มอ่อนโยนที่มีไว้เพื่อนางก็ปรากฏบนใบหน้า
ซูจิ่นซีเดินเข้าไปใกล้ พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“อวิ๋นจิ่น! ”
อวิ๋นจิ่นยังคงโค้งคำนับให้ซูจิ่นซีอย่างนอบน้อม “พระชายา กระหม่อมรอพระองค์อยู่ที่นี่มาตลอด”
แม้ในใจซูจิ่นซีจะพอเข้าใจจุดประสงค์ของอวิ๋นจิ่นที่มายืนรออยู่ที่นี่ ทว่านางยังคงถาม “หมอหลวงอวิ๋น ท่านมารอข้าเพื่ออันใด? ”
“พระชายา! ” อวิ๋นจิ่นเดินมาหาซูจิ่นซีสองก้าว “กระหม่อมรู้ดีว่าในพระทัยของพระชายาคงเกิดความสงสัย ดังนั้น กระหม่อมจึงต้องการอธิบายให้พระชายาเข้าพระทัย”
จุดประสงค์เหมือนกับสิ่งที่ซูจิ่นซีคิดอยู่ในใจ
อย่างไรก็ตาม ซูจิ่นซีไม่ได้ถามอวิ๋นจิ่นในสิ่งที่นางต้องการรู้คำตอบ ทว่านางกลับหันหลังและนั่งลงบนแท่นหิน
“โอ้? หมอหลวงอวิ๋น ลองพูดสิว่าในใจของพระชายาอย่างข้ามีข้อสงสัยอันใด”
ซูจิ่นซีใช้คำว่า ‘พระชายา’เพื่อยกฐานะพระชายาโยวอ๋องของตนต่อหน้าอวิ๋นจิ่น
ทว่าอวิ๋นจิ่นไม่รู้สึกต่ำต้อยแม้แต่น้อย การแสดงออกของเขายังคงอ่อนโยนราวกับหยก ทั้งยังอ่อนโยนลึกซึ้งยิ่งกว่าเมื่อก่อน
เขาเดินมายืนข้างกายซูจิ่นซี
“พระชายาคงสงสัยอย่างมากว่า เหตุใด กระหม่อมจึงปรากฏตัวที่สำนักแพทย์สกุลจงอย่างกะทันหัน”
ซูจิ่นซีวางมือลงบนโต๊ะหินที่อยู่ข้างๆ พลางใช้นิ้วกลางเคาะโต๊ะ นางเลิกคิ้วโดยไม่พูดอันใด เฝ้ารอให้อวิ๋นจิ่นพูดอย่างสงบนิ่ง
อวิ๋นจิ่นมองซูจิ่นซี แม้ใบหน้าของเขายังมีรอยยิ้มอบอุ่น ทว่าท่าทางนั้นจริงจังอย่างมาก
“พระชายายังจำตอนที่พระองค์ทรงประชวรหนักอยู่ที่จวนฉีอ๋องได้หรือไม่ กระหม่อมได้เข้าไปที่จวนฉีอ๋องพร้อมกับจงรุ่ยอันพ่อลูก เพื่อตรวจดูพระอาการประชวรของพระองค์”
“จำได้! ”
“พระชายา กระหม่อมไม่ได้ตั้งใจปิดบังพระชายา เพียงแต่กระหม่อมไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผู้อื่นมาก่อน รวมถึงไม่เคยมีผู้ใดถาม กระหม่อมจึงไม่ได้บอก แท้จริงแล้วสำนักแพทย์สกุลจงคือสำนักของกระหม่อม ‘หมอประหลาด’ หรือท่านผู้เฒ่าแห่งสำนักแพทย์ผู้ล่วงลับไปแล้วเป็นอาจารย์ที่มีบุญคุณต่อกระหม่อม ทั้งฮูหยินเฒ่าหานยังเป็นอาจารย์แม่ของกระหม่อม”
ต้องบอกว่า สำหรับซูจิ่นซีแล้ว ข้อมูลเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจอย่างมาก
ก่อนหน้านี้ ตอนที่อยู่แคว้นจงหนิง นางเคยได้ยินมาว่าสำนักของอวิ๋นจิ่นอยู่ที่แคว้นหนานหลี อย่างไรก็ตาม นางไม่คาดคิดว่าอาจารย์ของอวิ๋นจิ่นจะเป็นท่านตาของตน
ตอนนั้นสำนักแพทย์ยังไม่ได้ตกต่ำ สมัยที่ท่านตาของนางยังมีชีวิตอยู่ เขามีฉายานามว่า ‘หมอประหลาด’ เมื่อคืนนี้ตอนที่คุยกับฮูหยินเฒ่าหาน ฮูหยินเฒ่าหานก็ยังกล่าวถึง
ทว่าขณะที่กำลังตกใจอยู่นั้น ซูจิ่นซีก็ตอบสนองต่อปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
ท่านตาของนางเป็นอาจารย์ของอวิ๋นจิ่น หากนับตามลำดับอาวุโสแล้ว มารดาของนางนับเป็นศิษย์น้องของอวิ๋นจิ่น และนาง… ต้องเรียกอวิ๋นจิ่นว่าอาจารย์ลุงหรือ?
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีก็ขมวดคิ้วแน่น
อวิ๋นจิ่นราวกับเข้าใจความคิดของซูจิ่นซี ใบหน้าของเขายังคงแย้มยิ้มอย่างอบอุ่น “พระชายาอย่าได้ใส่พระทัยกับสิ่งเหล่านี้ กระหม่อมยังเป็นอวิ๋นจิ่นแห่งแคว้นจงหนิง และอวิ๋นจิ่นยังคงเป็นข้าราชบริพารในราชสำนักแคว้นจงหนิง ตราบใดที่ฐานะของพระชายายังไม่เปลี่ยนแปลง ฐานะของอวิ๋นจิ่นก็ไม่เปลี่ยนแปลงเช่นกัน”
คำพูดนี้ อวิ๋นจิ่นเคยพูดเมื่อตอนอยู่ที่จวนอวิ๋น ความหมายคือ ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร อวิ๋นจิ่นยังคงเป็นคนของซูจิ่นซี ยังคงฟังคำสั่งของซูจิ่นซี
อย่างไรก็ตาม จู่ๆ ก็มีอาจารย์ลุงเล็กปรากฏตัวขึ้น แม้ซูจิ่นซีจะรู้สึกประหลาดใจ ทว่านางไม่ได้สนใจเรื่องนี้มากนัก
ข้อสงสัยที่อวิ๋นจิ่นปรากฏตัวในสกุลจงได้รับความกระจ่างแล้ว ทว่าในใจของซูจิ่นซียังมีข้อสงสัยอีกเรื่องหนึ่ง คือเรื่องที่เกิดขึ้นในตรอกแคบ หลังจากที่นางได้จากไปแล้ว
ซูจิ่นซีไม่ได้ถามตรงๆ ทว่านางลุกขึ้นมาคว้าแขนของอวิ๋นจิ่นและวางนิ้วมือเพื่อตรวจชีพจรของเขา
นางกำลังจะทำสิ่งใด?
ทันทีที่มือของซูจิ่นซีสัมผัสตัวอวิ๋นจิ่น ร่างของอวิ๋นจิ่นพลันแข็งทื่อ
ทว่าไม่นาน เขาก็ผ่อนคลายลง
ซูจิ่นซีตรวจชีพจรอยู่ครู่หนึ่ง นางค่อยๆ ขมวดคิ้ว “คืนนั้นท่านได้รับบาดเจ็บหรือ? ท่านมาตระกูลจงเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บหรือ? คืนนั้นเกิดอันใดขึ้นกันแน่? เหตุใดคนของมู่หรงฉี เหล่าคนชุดดำ และท่านจึงหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย? ”
ซูจิ่นซีถามคำถามทั้งหมดที่อยู่ในใจออกมาชุดใหญ่
เกี่ยวกับความจริงในคืนนั้น อวิ๋นจิ่นรู้ดีว่าการหายไปของคนเหล่านั้น มีความเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง
ทว่าเมื่อต้องเผชิญหน้ากับการสอบถามอย่างตรงไปตรงมาของซูจิ่นซี เขาจะตอบคำถามนี้อย่างไร?