อวิ๋นจิ่นกล่าวว่า “พระชายา หลังจากที่พระองค์จากไปไม่นาน คนของฉีอ๋องและมือธนูเหล่านั้นก็สู้รบกัน ต่อมา ไม่รู้ว่ากลุ่มคนลึกลับมาจากที่ใด พวกเขาใช้ยาพิษแปลกประหลาดชนิดหนึ่ง ทำให้ร่างของทุกคนสลายไปในทันที”
ขณะที่พูด ใบหน้าอันหล่อเหล่าของอวิ๋นจิ่นก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ดูเหมือนขณะนั้นเขากำลังนึกถึงภาพเหตุการณ์นั้นและยังตกตะลึงไม่หาย
“กลุ่มคนลึกลับ? สลายร่างของทุกคน? ” ซูจิ่นซีตกใจ
“ใช่พ่ะย่ะค่ะ พระชายา ตอนนั้นกระหม่อมเห็นกับตาว่าหมอกสีขาวค่อยๆ ขยายออกเป็นหมอกโลหิตปกคลุมทั้งถนน ร่างของคนเหล่านั้นที่อยู่ท่ามกลางหมอกโลหิตค่อยๆ หายไปต่อหน้าต่อตากระหม่อม”
ซูจิ่นซีขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่จึงไม่พูดอันใด และไม่รู้ว่านางเชื่ออวิ๋นจิ่นหรือไม่
ครู่หนึ่ง อวิ๋นจิ่นจึงพูดเสริมว่า “พระชายา จากการคาดเดาตามประสบการณ์ทางการแพทย์ของกระหม่อม นั่นจะต้องเป็นพิษชนิดหนึ่งอย่างแน่นอน ทั้งยังเป็นพิษที่ผลิตจากเมืองหนานเจียง”
แท้จริงแล้ว ซูจิ่นซีเชื่อคำพูดของอวิ๋นจิ่น และได้เชื่อมโยงเรื่องนี้กับแคว้นไหวเจียงเข้าด้วยกัน
บางทีผู้อื่นอาจไม่เข้าใจ ทว่านางเป็นผู้ชำนาญด้านพิษย่อมรู้อย่างชัดเจนว่าพิษชนิดที่สามารถทำให้คนสลายหายไปได้นั้นมีอยู่จริง
อย่าว่าแต่ผู้คนในตรอกแคบตอนนั้นเลย ต่อให้ต้องการสลายคนทั้งเมืองเย่หลินก็สามารถทำได้ ยามนี้ นางก็มีพิษชนิดนี้อยู่ในมือ
นอกจากนั้น พิษชนิดนี้มีแหล่งกำเนิดที่แท้จริงมาจากแคว้นไหวเจียง ตามตำนานคาถาของหมู่บ้านเหมียวในเมืองกุ้ยโจวซึ่งเล่าสืบต่อกันมาหลังจากนี้อีกสามพันปี
มันเป็นส่วนหนึ่งของพิษเผ่าเหมียว เป็นพิษเผ่าเหมียวที่ใช้วิชามนตร์ดำเลี้ยงแมลงพิษ รอจนแมลงพิษโตเต็มที่และได้รับคาถาพิเศษจากคนชุบเลี้ยงแล้ว มันจะมีพลังที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าพิษเผ่าเหมียวธรรมดาหลายเท่า
ซูจิ่นซีครุ่นคิด ดวงตาดำขลับงดงามของนางพลันเคร่งขรึม
ครู่หนึ่งนางจึงถามอวิ๋นจิ่นว่า “ในเมื่อผู้อื่นล้วนถูกพิษสลายไปแล้ว หมอหลวงอวิ๋น เหตุใดท่านถึงไม่เป็นอันใด? ”
พูดตามตรงแล้ว ซูจิ่นซียังไม่เชื่ออวิ๋นจิ่นทั้งหมด
ทว่าอวิ๋นจิ่นยังคงมีท่าทางสงบนิ่ง ไม่ว่าซูจิ่นซีจะสงสัยอย่างไร มุมปากของเขาก็ยังคงมีรอยยิ้มอบอุ่น
“เดิมทีกระหม่อมก็ไม่อาจหลบหนี ทว่าโชคดีที่ขณะนั้นคุณชายจิ่วปรากฏตัวขึ้น และช่วยกระหม่อมไว้ กระหม่อมจึงรอดมาได้”
“จิ่วหรง? ”
ดวงตาของซูจิ่นซีเปล่งประกายด้วยความประหลาดใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นางขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พ่ะย่ะค่ะ พระชายา เป็นคุณชายจิ่วหรงที่ช่วยกระหม่อม”
ต้องบอกว่า คำพูดปั้นแต่งของอวิ๋นจิ่นในครั้งนี้ชาญฉลาดมาก
หากเขาพูดตามตรงว่าไม่รู้ หรือตอนนั้นตนเองได้รับบาดเจ็บจนหมดสติและถูกผู้อื่นช่วยชีวิตไว้ ซูจิ่นซีต้องไม่เชื่อเขาเป็นแน่
อย่างไรก็ตาม เขาบอกว่าเห็นคนเหล่านั้นถูกผู้อื่นวางยาพิษและหายตัวไป จากนั้นเขาก็ถูกจิ่วหรงช่วยชีวิตไว้ ซูจิ่นซีจะนำข้อเท็จจริงนี้ไปยืนยันกับจิ่วหรง และไม่สงสัยเขาอีก
ทว่าขณะนี้ ซูจิ่นซีไม่ได้สงสัยสถานะของอวิ๋นจิ่น
ไม่รู้ว่าซูจิ่นซีกำลังคิดสิ่งใด นางขมวดคิ้วเล็กน้อย พลางเคาะนิ้วกลางในมือขวาลงบนโต๊ะหินข้างตัวอย่างต่อเนื่อง
เสียงเคาะโต๊ะไม่ดังนัก ทว่าในค่ำคืนที่มืดมิดและเงียบสงัดกลับดังอย่างชัดเจน
ผ่านไปครู่ใหญ่ ดวงตาของซูจิ่นซีก็จับจ้องใบหน้าของอวิ๋นจิ่น “หมอหลวงอวิ๋น ท่านไม่ได้โกหกข้าใช่หรือไม่? ”
ดูเหมือนอวิ๋นจิ่นจะสะดุ้งเล็กน้อย เขารีบคำนับและพูดว่า “พระชายา เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ เกี่ยวข้องกับชีวิตคน กระหม่อม… กระหม่อมจะกล้าโกหกพระชายาได้อย่างไร”
“ไม่ใช่ก็ดีแล้ว! ” ซูจิ่นซีลุกขึ้น “หมอหลวงอวิ๋น หากท่านกล้าหลอกข้า ข้าจะไม่ละเว้นท่าน”
ใบหน้าของอวิ๋นจิ่นยังคงแย้มยิ้มอ่อนโยน “พ่ะย่ะค่ะ พระชายา กระหม่อมจะจดจำไว้”
“จำไว้แล้ว ก็รีบกลับไปพักผ่อนเถิด! ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้เช้าพวกเรายังมีเรื่องสำคัญต้องทำ! ”
“พ่ะย่ะค่ะ! ”
ซูจิ่นซีพูดจบก็เดินเข้าไปในห้อง อวิ๋นจิ่นตอบรับคำ หลังจากที่ซูจิ่นซีปิดประตูห้องแล้ว เขาจึงเดินจากไป
ชุดสีขาวเคลื่อนไหวอยู่ในเรือนราวกับสายน้ำ สายลมยามค่ำคืนพัดผ่าน ดอกไห่ถังสีอ่อนตกลงบนไหล่ของอวิ๋นจิ่น ยิ่งเพิ่มความมีเสน่ห์ให้เขา
“จี๊ด จี๊ด! ”
จิ้งจอกน้อยกระโดดจากต้นไห่ถังมาที่เท้าของอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นเลิกคิ้วงดงาม มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้ม เขาโน้มตัวลงไปและยื่นมือไปทางจิ้งจอกน้อย
จิ้งจอกน้อยกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของอวิ๋นจิ่น
อวิ๋นจิ่นใช้นิ้วเรียวยาวค่อยๆ ลูบไปที่ขนยาวบนลำตัวของจิ้งจอกน้อย “เจ้ามาได้อย่างไร? อาคมกำไลปี่อั้นพัฒนาถึงระดับสี่แล้ว ตอนนี้การรับกลิ่นของนางว่องไวยิ่งนัก นางอาจหาเจ้าพบได้”
“จี๊ด จี๊ด! ”
จิ้งจอกน้อยมองดวงตาของอวิ๋นจิ่นแล้วส่งเสียงร้องอีกครั้ง
รอยยิ้มมุมปากของอวิ๋นจิ่นงดงามยิ่งกว่าดอกไห่ถัง
“เจ้าถามว่านางเชื่อข้าหรือไม่? ”
จิ้งจอกน้อยพยักหน้าตามพฤติกรรมของมนุษย์
อวิ๋นจิ่นหันศีรษะไปมองแสงไฟสลัวในห้องของซูจิ่นซี “เชื่อกระมัง! แท้จริงแล้ว ข้าก็มองความคิดในใจของนางไม่ออก… ” อวิ๋นจิ่นหยุดชะงักครู่หนึ่ง เขาอุ้มจิ้งจอกน้อยเดินต่อไป ผ่านไปครู่ใหญ่จึงพูดขึ้นว่า “นางไม่ใช่คนที่เคยอยู่ในหุบเขาเทียนอีอีกต่อไปแล้ว”
“จี๊ด… ”
จิ้งจอกน้อยร้องเสียงยาว มันสัมผัสได้ถึงความเศร้าโศก จึงมุดศีรษะเข้าไปในอ้อมแขนของอวิ๋นจิ่น
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังรับประทานอาหารเย็น มู่หรงฉี อู๋จุน อวิ๋นจิ่น ทั้งสามคนก็มาถึงเรือนของซูจิ่นซี
มู่หรงฉีวิเคราะห์สถานการณ์ของเมืองเย่หลินในตอนนี้
“หลังจากเหตุการณ์นองเลือดที่โยวอ๋องสังหารผู้คนในตำหนักจื่อเฉิน เสด็จลุงก็ปิดประตูเมืองเย่หลินทั้งสี่ และควานหาตัวเจ้ากับโยวอ๋องไปทั่วแคว้น ในสถานการณ์ที่อันตรายเช่นนี้ เจ้าออกไปข้างนอกให้น้อยหน่อยก็จะดี”
อู๋จุนกลอกตาไปมาอย่างดุดัน “หากข้าเป็นเยี่ยโยวเหยา จะต้องสังหารไอ้สารเลวมู่หรงเฟิงคนนั้น”
แม้เขาจะไม่เห็นเหตุการณ์ในคืนนั้นที่มู่หรงเฟิงรังแกซูจิ่นซี ทว่าก่อนหน้านี้เขาได้ฟังมู่หรงฉีเล่าแล้ว ภายในใจของเขาจึงร้อนรุ่มดั่งไฟสุม
“แท้จริงแล้ว ตอนนั้นโยวอ๋องคิดจะสังหารเสด็จลุง ทว่าวรยุทธ์ของเสด็จลุงสูงส่ง การสังหารเขาไม่ใช่เรื่องง่าย”
ซูจิ่นซีเข้าใจดี ตอนนั้นเยี่ยโยวเหยาพยายามข่มใจ ยอมที่จะสละโอกาสในการสังหารมู่หรงเฟิง ไม่เช่นนั้น จากนิสัยของเยี่ยโยวเหยา ไม่ว่าต้องแลกกับสิ่งใด เขาจะต้องสังหารมู่หรงเฟิงให้ได้แน่นอน
แม้หลายคนจะไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก ทว่าภายในใจของอู๋จุนได้ตัดสินแล้ว ต่อไปขอเพียงมีโอกาส เขาจะต้องสังหารมู่หรงเฟิงเพื่อชดใช้ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในคืนนั้น
มันทำให้เขารู้ว่า แม้มู่หรงเฟิงจะมีอำนาจมากในแคว้นหนานหลี ทว่ามีบางคนที่เขาไม่อาจละเว้น
“ตอนนี้สถานการณ์ในราชสำนักแคว้นหนานหลีเป็นอย่างไรบ้าง? ”
หลังจากเหตุการณ์ที่ตำหนักจื่อเฉิน แม้แต่มู่หรงเฟิงก็ไม่อาจปล่อยมู่หรงฉีไปได้
กอปรกับเรื่องที่จงเนี่ยถูกซูจิ่นซีทำร้าย บัญชีแค้นนี้ จงเนี่ยต้องคิดกับมู่หรงฉีเช่นกัน
เมื่อมีศัตรูร่วมกัน จึงนับว่าเป็นพันธมิตรที่ดีที่สุด
ซูจิ่นซีกลัวว่าเพราะสาเหตุนี้ จะทำให้มู่หรงเฟิงกับจงเนี่ยร่วมมือกัน
“ตอนนี้ยังไม่พบความผิดปกติ การต่อสู้กับโยวอ๋องในคืนนั้น เสด็จลุงได้รับบาดเจ็บสาหัส ทั้งจงเนี่ยยังบาดเจ็บที่หลังอย่างรุนแรงจากการต่อสู้รอบคัดเลือกในเทศกาลร้อยบุปผา ได้ยินว่าเขาพิการไปแล้ว ช่วงเวลาวิกฤตินี้ พวกเขาคงไม่อาจตอบโต้อันใดมากนัก”
มู่หรงฉีเข้าใจความหมายของซูจิ่นซีดี
ดวงตาของซูจิ่นซีปรากฏความเคร่งขรึม นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ได้สร้างความขัดแย้งอันหนักหน่วงกับสำนักโอสถสกุลจงแล้ว วันข้างหน้า ฐานะที่ข้าเป็นคนของสกุลจงคงแพร่ออกไป สำนักโอสถจะต้องคิดบัญชีแค้นทั้งหมดกับสำนักแพทย์เป็นแน่ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น การลงมือก่อนจะทำให้ได้เปรียบ ตอนนี้พวกเราควรคิดหาวิธีกำจัดสำนักโอสถ”