มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 519
“ไอ้หนุ่มหลัว ดูเหมือนเจ้าจะโชคดีไม่น้อย หากมีประธานผู้ลาดตระเวนคนหนึ่งเป็นที่พึ่ง ต่อไปเจ้าจะสบายกว่านี้” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดขึ้น

อย่างเช่นมู่จื่อซิว ฉีฝ่าเทียนผู้ลาดตระเวนธรรมดาแบบนี้ ผลการฝึกตนล้วนอยู่ในระดับแดนมกุฎยุทธ์ ผู้ลาดตระเวนที่ระดับที่สูงกว่านี้น่าจะเป็นผู้แข็งแกร่งของระดับมหายุทธ์ ส่วนประธานผู้ลาดตระเวนรับผิดชอบดูแลสี่แก๊งใหญ่ทั้งหมดในภูมิภาค เป็นยักษ์ใหญ่ระดับเจ้ายุทธจักร กระทั่งอาจเป็นถึงผู้แข็งแกร่งสูงสุดของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์

ผ่านไปหลายวัน ชายอาวุโสผมขาวคนหนึ่ง พาผู้ติดตามสามคนมายังสำนักไท่เสวียน

คนอาวุโสที่เป็นผู้นำคนนั้น ก็คือค่ายกลขั้นแปดสำนักไท่เสวียนที่แก๊งนักค่ายกลส่งมา เดิมก็เป็นผู้แข็งแกร่งของระดับมหายุทธ์คนหนึ่ง

เพียงแต่คนอาวุโสคนนี้มีนิสัยประหลาด ไม่ชอบพูดมาก หลัวซิวเดินไปพูดคุยด้วย อีกฝ่ายก็ไม่ตอบสนอง

ใช้เวลาอยู่ประมาณเจ็ดวัน เดิมค่ายกลป้องกันภายในภูเขาระดับที่เจ็ด มีการจัดรูปแบบเพิ่มถึงระดับแปด ตำแหน่งสำคัญหลายประการในค่ายกล ล้วนหลอมไปด้วยวัสดุล้ำค่า ทำให้ค่ายกลป้องกันภูเขาระดับแปดนี้มีความสามารถป้องกันการโจมตีจากผู้แข็งแกร่งของมหายุทธ์ขั้นปฐมภูมิ

คงเพราะคำนึงถึงสำนักไท่เสวียนขาดความแข็งแกร่งโดยรวม ไม่มีใครมีความสามารถเพียงพอที่จะดำเนินการสร้างค่ายกลระดับแปด ดังนั้นรูปแบบค่ายกลการป้องกันภูเขานี้ จึงได้ปรับปรุงเปลี่ยนเป็นใช้พลังงานหินเป็นฐานรากของการก่อตัวในการให้พลังงาน

เมื่อค่ายกลเริ่มขึ้น ต้องใช้พลังงานอย่างต่อเนื่อง รากฐานหลักของการก่อตัว ต้องเติมพลังหินจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง ถึงจะสามารถให้พลังงานอย่างเพียงพอสำหรับค่ายกลระดับที่แปด

อีกอย่าง เนื่องจากใช้เวลาในการสร้างค่ายกลค่อนข้างน้อย ดังนั้นค่ายกลนี้จึงไม่ใช่ค่ายกลเพื่อปกป้องภูเขา แต่เป็นแนวป้องกันค่ายกล ไม่มีความสามารถในการโจมตีกลับ ไม่เหมือนค่ายกลป้องกันภูเขาที่สามารถโจมตีและป้องกันเป็นหนึ่งเดียวได้

แต่หลัวซิวก็ไม่ได้สนใจในสิ่งนี้ รอผ่านไปสักระยะหนึ่ง หลังจากที่ตนบำเพ็ญได้มากขึ้นกว่านี้ ก็จะสามารถสร้างค่ายกลระดับแปดขึ้นมาได้ ถึงตอนนั้นค่อยปรับปรุงให้ดีขึ้นอีกครั้ง

หลังจากสร้างค่ายกลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่ายกลขั้นแปดสำนักไท่เสวียนคนนั้นก็พาคนของตนจากไปอย่างไม่พูดไม่จา หลัวซิว ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายมีชื่อเรียกว่าอย่างไร

ค่ายกลขั้นแปดสำนักไท่เสวียนถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในอาณาจักรใต้ หลัวซิวก็รู้ อีกฝ่ายคงจะคิดว่าคนระดับอย่างตน ไม่มีเจ้าสมบัติที่คู่ควรไปพูดคุยกับเขา

อีกฝ่ายยอมที่จะมาสร้างค่ายกลในพื้นที่เล็กแบบนี้ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่หน้าหลัวซิว แต่เป็นการเห็นแก่หน้าประธานผู้ลาดตระเวน

“มีค่ายกลระดับแปดแล้ว ถึงเวลาแล้วที่จะเปิดประตู ป่าวประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่าสำนักไท่เสวียนกลับมาแล้ว”

หลัวซิวนั่งอยู่ในตำหนักวัฏสงสาร ยิ้มหัวเราะพร้อมติดต่อกับจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง อาจารย์หงหมิง เหว้ยห้าวหราน ตลอดจนผู้อาวุโสทั้งหกของแก๊งนักกลั่นยา อาศัยช่องทางของสี่แก๊งใหญ่ ป่าวประกาศให้ทุกคนรู้กันไปทั่วว่า สำนักไท่เสวียนกลับมาแล้ว

ผ่านไปสามเดือน สำนักไท่เสวียนเปิดประตูอย่างเป็นทางการ เปิดกว้างรับสมัครสาวก

หลังจากทำเช่นนี้เรียบร้อยแล้ว หลัวซิวได้ตามเหยียนเยว่เอ๋อร์ เกาเหลียนหง สวีจิงเหนียน ตลอดจนหลินจื่อเฟิงมาที่ตำหนักวัฏสงสาร

“ผู้คุมกฎเกา ผลการฝึกตนของเจ้าจากจักรพรรดิยุทธ์ขั้นเจ็ดถึงจักรพรรดิยุทธ์ขั้นแปดแล้ว ยินดีด้วย” หลัวซิวมองดูเกาเหลียนหงอย่างยิ้มแย้ม พร้อมพูดขึ้น

“ขอบเจ้าเจ้าสำนักที่ชม ที่สำคัญคือในหอฝึกฝนแดนปริศนามีพลังจิตที่เพียงพอ ผมจึงสามารถฝ่าฟันไปได้” เกาเหลียนหง กำหมัดหัวเราะพร้อมพูดขึ้น

หลัวซิวพยักหัว พลิกมองเอาขวดหยกออกมา ยื่นให้กับอีกฝ่าย พร้อมพูดขึ้นว่า “ในขวดหยกนี้ มียาที่ผมใช้แก่นร่างทองของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ทำขึ้นมา มียาตัวนี้แล้ว ไม่รู้ว่าผู้คุมกฎเกามีความมั่นใจแค่ไหนว่าสามารถถึงแดนมกุฎยุทธ์ได้ภายในสามเดือน?”

ยาที่ทำมาจากแก่นร่างทอง เป็นพลังผลการฝึกตนกว่าครึ่งหนึ่งของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์คนหนึ่ง

เกาเหลียนหงที่เพิ่งรับขวดหยกไป เมื่อได้ยินเช่นนี้ มือทั้งคู่อดไม่ได้ที่จะสั่นเทา เขาคิดไม่ถึงว่า เจ้าสำนักจะเอายาล้ำค่าเช่นนี้ยกให้ตนเองใช้

ฟันฝ่าไปถึงแดนมกุฎยุทธ์อยู่แค่เอื้อม เกาเหลียนหงไม่ปล่อยโอกาสไปอยู่แล้ว พูดขึ้นอย่างมุ่งมั่นทันทีว่า “ภายในสามเดือน ผมจะฟันฝ่าไปถึงแดนมกุฎยุทธ์ให้ได้ จะไม่ทำให้เจ้าสำนักผิดหวัง”

“ดี เพื่อไม่เป็นการเสียเวลา ผู้คุมกฎเกาเข้าไปฝึกฝนในหอฝึกฝนแดนปริศนาตั้งแต่ตอนนี้เลย” หลัวซิวหัวเราะพร้อมพูดขึ้น