ตอนที่ 1891-1893

Genius Doctor Black Belly Miss

ตอนที่ 1891 การประชุมสุดยอดของสิบสองวิหาร (5)
  “มีแค่อย่างเดียว ดูแลความปลอดภัยของกู่ซินเยียนด้วย” กู่อิ่งพูด
  “ขอรับ!”
  เวลาผ่านไป วิหารต่างๆมารวมตัวกันที่สถานที่จัดงานประชุม จำนวนคนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ฉากที่ควรจะคึกคักมีชีวิตชีวากลับแปลกๆไป สถานที่สำหรับการชุมนุมอยู่ในเมืองที่ว่างเปล่าตรงเชิงเขา ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดประชุมของสิบสองวิหารมาโดยตลอด
  เมืองทั้งเมืองว่างเปล่ามาเกือบพันปีแล้ว เพิ่งไม่นานมานี้เองที่วิหารต่างๆได้เหยียบย่างเข้ามายังสถานที่แห่งนี้
  ภายในเมือง บรรยากาศกดดัน สถานการณ์ตึงเครียดสามารถพบเห็นได้ทุกหนแห่ง
  เมื่อครึ่งปีก่อน วิหารต่างๆยังสามารถรักษาความกลมเกลียวในฉากหน้าไว้ได้ แต่ตอนนี้ความกลมเกลียวนั้นได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ศิษย์จากวิหารต่างๆที่ติดอยู่กับการต่อสู้ที่ขมขื่นในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาล้วนมีความแค้นต่อกัน ตอนนี้พวกเขาถูกบังคับให้มาอยู่รวมในที่เดียวกัน สายตาที่มองกันและกันจึงเต็มไปด้วยความเป็นศัตรู
  ถ้าไม่ใช่เพราะคำสั่งที่เข้มงวดของผู้อาวุโสจากวิหารต่างๆ ซึ่งการขัดคำสั่งหมายถึงความตายแล้วล่ะก็ เกรงว่าก่อนที่การประชุมสุดยอดจะเริ่มต้นขึ้น คนพวกนี้คงสู้กันจนตายไปข้างแล้ว
  ภายในถนนและตรอกซอกซอยเล็กๆของเมือทง จะเห็นผู้คนที่ใส่ชุดเครื่องแบบเดียวกันรวมกลุ่มกันเดิน การเข่นฆ่าจริงๆไม่ได้เกิดขึ้น แต่ความขัดแย้งส่วนตัวยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  แม้จะเห็นว่าบรรยากาศตึงเครียดจนแทบหายใจไม่ออก แต่มีคนหลายคนที่ใช้ประโยชน์จากความเงียบและความมืดมิดยามค่ำคืนมารวมตัวกันในบ้านหลังเล็กที่ไม่สะดุดตา พวกเขามาชุมนุมกันภายใต้แสงไฟสลัวจากเทียนเล่มเดียว และกำลังพูดคุยกัน
  “เฮ้ๆ! ข้าว่าพี่ฮัวลงมือโหดไปหน่อยไหม? เจ้าอัดข้าซะย่ำแย่ลุกจากเตียงไม่ได้ตลอดทั้งเดือนเลย! ถึงเราจะต้องแสดงให้คนดู แต่ไม่ต้องลงมือหนักขนาดนั้นก็ได้นี่” ในบ้านหลังเล็กที่มีแสงไฟสลัว เฉียวฉู่ในชุดเครื่องแบบวิหารปีศาจเพลิงกำลังบ่นถึงการกระทำอันโหดร้ายของฮัวเหยา
  ฮัวเหยาที่นั่งอยู่ตรงข้ามเฉียวฉู่แต่งกายด้วยเครื่องแบบสีม่วงเข้มติดสัญลักษณ์สายฟ้า เขาชำเลืองมองเฉียวฉู่แวบหนึ่ง
  “ถ้าข้าออมมือ วิหารปีศาจเพลิงก็ไม่เชื่อสิ” ฮัวเหยาพูดอย่างเฉยเมย
  เฉียวฉู่ทำหน้าเศร้า
  ตั้งแต่แรกที่เขาไปวิหารปีศาจเพลิงและฮัวเหยาไปวิหารจื่อเหลย วิหารจื่อเหลยถือได้ว่าแข็งแกร่งมากทีเดียว ก่อนงานชุมนุมเทพยุทธ์ ทั้งสองคนได้ “ต่อสู้” กันบนยอดเขาฝูเหยาแล้ว ดังนั้นเมื่อพวกเขาหว่านเมล็ดแห่งความแตกแยกระหว่างสิบสองวิหารในครั้งนี้ เฉียวฉู่กับฮัวเหยาจึงใช้ “ความบาดหมาง” เก่าของพวกเขาลากวิหารของทั้งสองลงสู่ความขัดแย้งอีกรอบ
  ทำให้วิหารปีศาจเพลิงและวิหารจื่อเหลยต้องเข้าสู่สภาพที่เรียกว่าสู้กันจนตายไปข้าง
  “ข้าว่าเจ้าสองคนหยุดก่อนเถอะ มีคนคอยร่วมมืออยู่อีกด้านก็ดีออก” หรงรั่วนั่งหัวเราะอยู่อีกด้านพร้อมกับส่ายหน้า
  ภายในวิหารปีศาจเพลิงและวิหารจื่อเหลย ด้วยความร่วมมือกันของเฉียวฉู่กับฮัวเหยา การยุยงให้เกิดความขัดแย้งจึงไม่ใช่เรื่องยากเลย แต่นางอยู่คนเดียวในวิหารจิตหวนคืน และเป้าหมายที่นางเลือกคือวิหารฝูหัว ในวิหารฝูหัวไม่มีใครที่จะร่วมมือกับนางเพื่อให้ง่ายต่อการสร้างความขัดแย้งเลย
  “เฟยเหยียนนี่ง่ายที่สุด ที่ควรทำเสี่ยวเสียก็ทำให้หมดแล้ว” เฉียวฉู่หันไปมองเฟยเหยียนที่นั่งกัดแอปเปิ้ลพร้อมหัวเราะอยู่ด้านข้าง
  ความแค้นระหว่างวิหารมังกร วิหารมารโลหิต และวิหารจิงหง จวินอู๋เสียเป็นผู้จุดชนวนขึ้นตอนอยู่ที่วิหารจิงหง ไม่เหลืออะไรสำคัญให้เฟยเหยียนทำแล้ว
  “เจ้าผิดแล้ว ไอ้แก่พ่อของจูเก๋ออินอยากแก้แค้นให้ลูกชาย แต่พวกแก่ๆในวิหารมังกรไม่ยอม ข้าต้องเปลืองน้ำลายไปมากกว่าจะพูดให้พวกนั้นเชื่อได้ว่าวิหารมารโลหิตกับวิหารจิงหงสมรู้ร่วมคิดกันตั้งใจจะหาเรื่องวิหารมังกร พวกเขาถึงได้ยอมตกลงสู้กับวิหารมารโลหิต” เฟยเหยียนรีบทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง
ตอนที่ 1892 การประชุมสุดยอดของสิบสองวิหาร (6)
  “พวกเจ้าไม่ควรบ่นมาก ฟ่านจั๋วยังไม่พูดอะไรสักคำ” หรงรั่วส่ายหัวพร้อมหัวเราะอย่างจนใจ
  เมื่อถูกเรียกชื่อ สีหน้าเขาก็ดูลำบากใจเล็กน้อย
  จากนั้นเฉียวฉู่ก็พูดขึ้นว่า “เสี่ยวจั๋วสุดยอดมาก! จัดการสร้างปัญหาระหว่างวิหารเสวียนเทียน วิหารคลื่นมรกต และวิหารคงฉานได้จริงๆ! บอกมาเร็ว! เจ้าทำได้ยังไง?” เฉียวฉู่รู้สึกตื่นเต้น คนอื่นๆว่าดีแล้ว แต่ผลงานของฟ่านจั๋วเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมของจริง
  วิหารเสวียนเทียนแข็งแกร่งพอๆกับวิหารมังกร แต่พวกเขาอยู่เงียบๆเรียบร้อยกว่า ปกติจะเล่นบททูตสันติในสิบสองวิหาร แต่ครั้งนี้ฟ่านจั๋วโยนวิหารเสวียนเทียนเข้าสู่พายุได้ ไม่เพียงเล่นงานวิหารคงฉานให้ตายไปครึ่งหนึ่งเท่านั้น แต่ยังฝังเขี้ยวลงไปที่วิหารคลื่นมรกตอีกด้วย! อาจกล่าวได้ว่าเป็นการลงมือที่อึกทึกครึกครื้นที่สุด
  ฟ่านจั๋วรู้สึกอายเล็กน้อยกับคำชมทั้งหมดที่เฉียวฉู่กับคนอื่นๆกองลงมาที่เขา เขายิ้มเขินๆก่อนจะเล่าให้ทุกคนฟังคร่าวๆถึงวิธีการที่เขาใช้ ทำให้เฉียวฉู่ปรบมือชมเชยเสียงดัง
  “การเตรียมการของฝั่งเราเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้ว ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับเสี่ยวเสียที่จะจบเรื่องทั้งหมด ครึ่งปีที่ผ่านมามีใครได้เจอนางบ้างไหม?” เฉียวฉู่ถาม ความวุ่นวายในสิบสองวิหารถูกปั่นป่วนจนเดือดพล่าน ถึงเวลาที่จะลงมือครั้งสุดท้ายแล้ว และการโจมตีครั้งสุดท้ายจะเริ่มต้นโดยจวินอู๋เสีย
  “ตอนที่ออกจากวิหารจิงหง ข้าเห็นเสี่ยวเสียออกไปพร้อมคนของวิหารเงาจันทรา ถ้าไม่มีเหตุการณ์ไม่ดีอะไรเกิดขึ้น นางก็น่าจะไปที่วิหารเงาจันทรา นางไม่ได้ส่งข่าวผ่านแผ่นหยกให้เราเลยใช่ไหม? ข้าเชื่อว่านางต้องเข้าวิหารเงาจันทราไปด้วยตัวเองแล้วแน่ๆ” ฟ่านจั๋วพูดพร้อมหัวเราะ
  คนที่พวกเขาต้องกังวลน้อยที่สุดก็คือจวินอู๋เสีย พวกเขาอาจจะมีโอกาสตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบได้ แต่นางเป็นข้อยกเว้นเดียวที่เป็นไปไม่ได้เลย
  “จู่ๆข้าก็เริ่มสงสารคนของวิหารเงาจันทราขึ้นมา” เฉียวฉู่พูดด้วยสีหน้าหดหู่ไว้อาลัย
  อย่างมากพวกเขาก็ได้แต่ยุยงให้เกิดความขัดแย้งขึ้น ทำให้วิหารต่างๆจับอาวุธขึ้นห้ำหั่นกัน แต่หากจวินอู๋เสียลงมือด้วยตัวเองแล้วล่ะก็ ผลลัพธ์จะต้องน่าตกใจมากแน่
  ไม่ต้องคิดพวกเขาทุกคนก็รู้ว่าจุดจบของวิหารเงาจันทราจะน่าสงสารเพียงใด
  “มีข่าวนึงไม่รู้ว่าพวกเจ้าเคยได้ยินบ้างไหม” ฮัวเหยาพูดขึ้น
  “ข่าวอะไร?” เฟยเหยียนถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
  “เมื่อไม่นานมานี้ คำเชิญเข้าร่วมการประชุมสุดยอดของสิบสองวิหารถูกส่งไปถึงมือประมุขวิหารต่างๆ มีข่าวลือเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในวิหารเงาจันทราเข้ามา ประมุขวิหารเงาจันทราสุขภาพไม่ดีมาตลอดหลายปีนี้ใช่ไหม? ว่ากันว่าอาการของเขาแย่ลงจนไม่สามารถดำรงตำแหน่งประมุขได้อีกต่อไป ทำให้ต้องมอบตำแหน่งให้น้องสาวของเขา ตอนนี้วิหารเงาจันทรามีประมุขคนใหม่แล้ว” ฮัวเหยากล่าวอย่างมีนัย
  เมื่อได้ยินข่าว พวกเขาก็มองหน้ากันทันทีด้วยสายตารู้กัน
  “ถ้าข้าจำไม่ผิด น้องสาวของประมุขวิหารเงาจันทราตายไปแล้วไม่ใช่หรือ? จู่ๆนางก็โผล่ขึ้นมาแบบนี้ จะไม่ทำให้คนสงสัยเอาหรือ?” เฉียวฉู่รู้สึกกังวลเล็กน้อย
  เฟยเหยียนโบกไม้โบกมือตรงหน้าเฉียวฉู่ทันที
  “นี่คือสิ่งที่เจ้าไม่รู้ แปดหรือเก้าในสิบข่าวลือที่แพร่กระจายออกมาจากสิบสองวิหารเป็นข่าวปลอมทั้งนั้น ต่อให้ข่าวลือเป็นจริง ก็ไม่ค่อยมีใครเชื่อหรอก ดังนั้น ไม่ว่าคนนั้นจะมีชีวิตอยู่หรือตาย วิหารอื่นก็ไม่มีทางจะแน่ใจได้หรอก การปรากฏตัวอย่างกะทันหันเช่นนี้กลับเหมือนพฤติกรรมลับๆของวิหารต่างๆมากกว่าซะอีก ไม่มีใครสงสัยอะไรหรอก”
  “นี่ซินะที่เรียกว่าฉลาดเกินไปจนเสียรู้?” เฉียวฉู่ทำหน้าประหลาดใจ ถ้าเป็นเขา เขาคงไม่คิดมากขนาดนี้
  “จะว่าอย่างนั้นก็ได้”
  “ไม่รู้ว่าพวกวิหารเงาจันทราจะมาถึงเมื่อไร ข้าล่ะคาดหวังจริงๆ” หรงรั่วลูบคาง คนอื่นๆก็เผยยิ้มประสงค์ร้ายออกมา
ตอนที่ 1893 การประชุมสุดยอดของสิบสองวิหาร (7)
  สิ่งที่พวกหรงรั่วคาดหวังนั้น มีพวกเขาเองเท่านั้นที่รู้
  คนจากวิหารต่างๆได้มาถึงแล้ว และผู้อาวุโสของวิหารเหล่านั้นก็ได้ออกคำสั่งที่เข้มงวดไม่ให้ศิษย์ทำอะไรหุนหันพลันแล่น
  เมื่อเห็นว่าอีกหนึ่งวันก็จะถึงวันประชุมสุดยอด แต่มีเพียงคนจากวิหารเงาจันทราเท่านั้นที่ยังไม่ปรากฏตัว
  ในฐานะผู้ริเริ่มการประชุม ประมุขวิหารปีศาจเพลิงรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา สิบเอ็ดในสิบสองวิหารต้องเจอกับการต่อสู้อันขมขื่น ทำให้เกิดความสูญเสียมากมาย มีเพียงวิหารเงาจันทราที่ไม่ได้เกี่ยวข้องและได้รับความสูญเสียน้อยที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งหมด
  วิหารเงาจันทราอยู่อันดับล่างสุดในบรรดาสิบสองวิหาร โดยปกติพวกเขาก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจใครอยู่แล้ว สำหรับกลุ่มอำนาจที่แข็งแกร่งอันดับต้นๆเช่นวิหารปีศาจเพลิง วิหารเงาจันทราไม่ได้อยู่ในสายตาพวกเขาเลย
  แต่ตอนนี้สถานการณ์ในสิบสองวิหารได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว นอกจากวิหารเงาจันทรา วิหารอื่นทั้งหมดประสบกับความสูญเสียอย่างมากในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา มีเพียงวิหารเงาจันทราที่รอดพ้นและยังคงความแข็งแกร่งทั้งหมดเอาไว้ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเขารู้ว่าประมุขวิหารเงาจันทราป่วยหนักและมีประมุขคนใหม่ขึ้นแทนที่ล่ะก็ ประมุขวิหารปีศาจเพลิงคงระแวงวิหารเงาจันทราว่ามีแผนการร้ายไปแล้ว
  “คนของวิหารเงาจันทรายังมาไม่ถึงอีกหรือ?” สีหน้าของประมุขวิหารปีศาจเพลิงดูไม่ดีนัก ถ้าเป็นวันอื่น จะมีวิหารไหนกล้ารับคำเชิญของวิหารปีศาจเพลิงแบบเฉื่อยชาเช่นนี้บ้าง?
  “ยังไม่ถึงขอรับ” เฉียวฉู่ยืนอยู่ข้างประมุขวิหารปีศาจเพลิง ท่ายืนตัวตรงของเขาดูหล่อเหลาทีเดียว
  “วิหารเงาจันทราชักจะกล้าขึ้นเรื่อยๆ เห็นข้าไม่สำคัญแล้วซินะ” ประมุขวิหารปีศาจเพลิงหัวเราะเย็นชา
  ผู้อาวุโสของวิหารปีศาจเพลิงคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในบ้านเห็นประมุขดูไม่พอใจนัก ก็รีบพูดขึ้นว่า “ท่านประมุข วิหารเงาจันทราเพิ่งเปลี่ยนประมุขคนใหม่ ได้ยินว่าเป็นเด็กสาวที่อายุยังไม่ถึงสิบแปด จู่ก็ให้นางขึ้นสั่งการทั้งวิหารในทันที นางคงจะลนลานไม่น้อย ก็น่าจะมีเรื่องผิดพลาดกันบ้าง”
  “ฮึ! วิหารเงาจันทราไม่มีคนอื่นแล้วรึไงถึงได้ดันคนอ่อนหัดเช่นนี้ขึ้นนั่งเก้าอี้ประมุข?” ประมุขวิหารปีศาจเพลิงส่งเสียงฮึอย่างไม่ชอบใจ
  ผู้อาวุโสจึงพูดว่า “การเป็นหนุ่มสาวก็มีข้อดีในตัวเองอยู่ มีข่าวลือว่าประมุขวิหารเงาจันทราคนนี้ตายตั้งแต่ยังเด็กไม่ใช่หรือขอรับ? แต่ตอนนี้นางถูกดันขึ้นรับตำแหน่ง นี่อาจจะเป็นมือที่วิหารเงาจันทราแอบซ่อนไว้ ท่านประมุขควรระวังนะขอรับ ถ้านี่เป็นแผนการที่ซ่อนไว้ของวิหารเงาจันทรา ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน คงไม่ใช่เวลาที่จะขัดแย้งกับพวกเขา ถึงอย่างไร หลังจากผ่านการต่อสู้มาครึ่งปี วิหารต่างๆล้วนสูญเสียอย่างหนัก มีเพียงวิหารเงาจันทราที่ไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย แต่ถ้านางเป็นเด็กสาวอ่อนหัดไร้ประสบการณ์จริงๆ ก็เป็นโอกาสดีที่ท่านประมุขจะดึงนางมาเป็นพวกไม่ใช่หรือขอรับ?”
  ประมุขวิหารปีศาจเพลิงพยักหน้ากับตัวเองอยู่ในใจขณะฟัง ความโกรธบรรเทาลงเล็กน้อย
  ผู้อาวุโสสังเกตสีหน้าและอารมณ์ของประมุข ก่อนจะยิ้มออกมาแล้วหันไปมองเฉียวฉู่ที่ยืนอยู่ข้างๆประมุขวิหารปีศาจเพลิง
  “ท่านประมุขรับเฉียวฉู่เป็นบุตรบุญธรรมแล้วใช่ไหมล่ะขอรับ? ข้าคิดว่าประมุขวิหารเงาจันทราคนใหม่ยังเด็กมาก อยู่ในวัยที่กำลังคิดเรื่องความรัก ด้วยหน้าตาของเฉียวฉู่ ใครจะรู้ว่ามีเด็กสาวกี่คนในวิหารปีศาจเพลิงที่แอบชื่นชมเขา อาจจะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นในงานประชุมสุดยอดนี้ก็ได้”
  [ชิบหายแล้ว!]
  เฉียวฉู่ทำตาพองเมื่อได้ยินคำพูดที่น่าตกใจของผู้อาวุโสคนนั้น และไม่ปรารถนาอะไรมากไปกว่าจะสับเจ้าแก่ที่มีชีวิตอยู่มานานเกินไปให้แยกออกเป็นสองส่วน!
  [จะจับคู่เขากับประมุขวิหารเงาจันทราคนใหม่เนี่ยนะ?]
  [เขาจะมีชีวิตอยู่ถึงปีหน้าไหม!]
  เฉียวฉู่กล่าวทักทายบรรพบุรุษทั้งสิบแปดชั่วโคตรของผู้อาวุโสปากมากคนนั้นอยู่ในใจ
  แต่ประมุขวิหารปีศาจเพลิงกลับคิดว่านี่เป็นวิธีที่ดีมาก จึงหันมามองเฉียวฉู่ด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์
  เฉียวฉู่อยากจะอาละวาดขึ้นมาทันที
  [พวกเจ้าอยากตายก็อย่าลากข้าไปตายด้วยสิโว้ย!]
  [ข้าทนการข่มเหงของท่านผู้นั้นไม่ไหวหรอกนะ!]