ชี้แนะหลัวชวนฉิง

 

หลัวฉีฉีเดินทางผ่านรอยแยกแห่งมิติและกลับถึงห้องของเธอที่ตระกูลหลัว

เธอเคยคิดว่าสวรรค์คงจะตอบรับคำอ้อนวอนของเธอ และเธอก็รอคอยด้วยความคาดหวังในชีวิตอันงดงามที่โลกได้สัญญาว่าจะมอบให้ ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุแบบนั้นขึ้น

ด้วยการเล่นตลกของโชคชะตา อารมณ์ที่ปั่นป่วนอย่างล้ำลึกของเธอได้แปรสภาพกลายเป็นตัวกระตุ้นให้การซึมซับเครื่องเก็บงำมิติได้ผลที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ส่งผลให้เธอควบคุมมันได้ดีกว่าเดิม

และในตอนนั้นเองที่กลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์มาถึง หลัวฉีฉีกำลังอยู่ระหว่างการทำความเข้าใจอานุภาพของเครื่องเก็บงำมิติ จึงไม่อาจมุ่งหน้าไปที่จัตุรัสได้ ซึ่งกว่าเธอจะทำสำเร็จ ปัญหาทุกอย่างก็คลี่คลายแล้ว ดังนั้นเธอจึงเปิดรอยแยกแห่งมิติเพื่อไปดักรอคนกลุ่มนั้นและสั่งสอนบทเรียนให้พวกเขา

เพราะถึงอย่างไร เธอก็ยังเป็นสมาชิกคนหนึ่งของตระกูลหลัว เธอไม่อาจทนนิ่งเฉยได้เมื่อมีกลุ่มอำนาจอื่นเข้ามาคุกคาม

หลัวฉีฉีเฝ้ามองพิธีสถาปนาด้านนอกโดยใช้การรับรู้จิตวิญญาณ รอยยิ้มโล่งอกปรากฏบนใบหน้าขณะครุ่นคิด หลัวเทียนหยาคนนั้นเป็นอัจฉริยะจริงๆทั้งๆที่ไม่ได้ครอบครองเครื่องเก็บงำมิติแต่ก็สามารถทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติได้เมื่อมีเขาอยู่ตระกูลหลัวก็คงจะปลอดภัยเราจะอยู่หรือไม่ก็คงไม่แตกต่างกันเท่าไหร่

แม้เธอจะเป็นผู้เสียหายในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ แต่ก็รู้ดีว่าจะต้องแสดงความรับผิดชอบอะไรสักอย่างกับการดูถูกเหยียดหยามครั้งใหญ่ที่ตระกูลหลัวได้รับ เธอควรจะแบ่งเบาภาระของการดูแลตระกูลหลัวไว้บ้าง อย่างน้อยก็จนกว่ามันจะกลับคืนสู่สภาพเดิม…แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ หลัวเทียนหยาก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน แล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีก

“ในเมื่อเป็นอย่างนั้น เราก็จะหาความสุขที่ควรจะเป็นของเรา!” หลัวฉีฉีพึมพำขณะลุกขึ้นยืน

ที่ผ่านมา เธอมีชีวิตด้วยความวิตกกังวลมาตลอด ได้แต่เดินตามเส้นทางที่คนรอบตัวปูทางไว้ให้ แม้กระทั่งเรื่องสำคัญอย่างการแต่งงาน เธอก็ยังไม่เคยคิดที่จะคัดค้านหรือประท้วงเลยสักนิด

แต่ตอนนี้เธอเหน็ดเหนื่อยกับการใช้ชีวิตแบบนั้นเต็มที ไม่อยากใช้ชีวิตอย่างการเป็นผู้ถูกกระทำอีกต่อไปแล้ว เส้นทางที่คนอื่นๆปูไว้ให้เธอนั้นไม่มีความหมาย เธออยากเลือกทางเดินของตัวเอง!

ต่อให้มีปรมาจารย์หลัวอยู่ ก็แล้วอย่างไรล่ะ?

ตัวเธอ, หลัวฉีฉี ก็ไม่เป็นสองรองใคร ในเมื่อปรมาจารย์หลัวเอาชนะใจปรมาจารย์จางได้ เธอก็มั่นใจว่าตัวเธอก็ทำแบบนั้นได้เหมือนกัน!

ทันทีที่ตัดสินใจได้ ความกดดันที่บีบคั้นหัวใจของหลัวฉีฉีก็หายวับไป ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนแผ่ซ่านไปทั่วร่างของเธอ

เมื่อหวนนึกถึงคำพูดที่ท่านอาจารย์เคยบอกไว้ตอนที่เขาจากไป รอยยิ้มน้อยๆก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลัวฉีฉี เธอเดินออกจากห้องและโผขึ้นสู่กลางอากาศ หายวับไปอย่างรวดเร็ว

…..

“นี่คือกระบวนการการทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติ คุณควรรีบทำความเข้าใจมันเสียตอนนี้ หากมีจุดไหนที่ไม่เข้าใจ ถามผมได้เลย ผมจะช่วยอธิบาย!”

ในห้องขนาดใหญ่ห้องหนึ่ง จางเซวียนเคาะนิ้วและถ่ายทอดหนังสือเทคนิควรยุทธเกี่ยวกับศาสตร์การสกัดกั้นมิติเทียบฟ้าแบบเรียบง่ายเข้าสู่สมองของหลัวชวนฉิง

ในเมื่อเขามาที่ตระกูลหลัวเพื่อชดใช้ เขาก็จะช่วยเหลือคนเหล่านี้ในทุกเรื่องที่ทำได้

แต่ก็โชคไม่ดีที่ไม่มีใครสามารถฝึกฝนศาสตร์การสกัดกั้นมิติเทียบฟ้าฉบับเต็มได้นอกจากตัวเขาเพียงคนเดียว จางเซวียนจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนมันให้เรียบง่ายกว่าเดิมก่อนจะถ่ายทอดให้กับตระกูลหลัว ส่วนหลัวชวนฉิงจะทำความเข้าใจได้มากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความถนัดและความสามารถของเขาเอง

ด้วยความรู้ใหม่ที่ถูกถ่ายทอดเข้าสู่สมองของเขา หลัวชวนฉิงอดตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นไม่ได้ เขารีบทรุดตัวลงคุกเข่ากับพื้นและกล่าวว่า “ขอบคุณมาก ท่านอาจารย์!”

ในฐานะสมาชิกหลักคนหนึ่งของตระกูลหลัว เขาได้รับมรดกตกทอดเรื่องศาสตร์แห่งมิติของตระกูลหลัวฉบับเต็ม แต่เพียงแค่ศึกษาความรู้ที่หลัวเทียนหยามอบให้อย่างคร่าวๆ ก็เห็นชัดเลยว่าศาสตร์แห่งมิติของตระกูลหลัวนั้นตื้นเขินอย่างไม่น่าเชื่อ

ราวกับบึงขนาดเล็กที่อยู่ตรงหน้ามหาสมุทรกว้างใหญ่

อีกฝ่ายถ่ายทอดเทคนิควรยุทธอันไร้เทียมทานให้เขาโดยไม่ปิดบัง…นี่คือหนี้บุญคุณที่หลัวชวนฉิงไม่อาจชดใช้ได้ตลอดชั่วชีวิต!

“ก็อย่างที่ผมบอก ผมไม่ใช่อาจารย์ของคุณ…” จางเซวียนรีบเข้าไปพยุงหลัวชวนฉิงให้ลุกขึ้น

ด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง เขาก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดีที่หลัวชวนฉิงมาคุกเข่าตรงหน้า

“เทคนิควรยุทธที่คุณเพิ่งถ่ายทอดให้ผมนั้นมีค่าเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ ท่านอาจารย์…ผมขอวิงวอนให้คุณรับผมเป็นศิษย์ด้วย ไม่อย่างนั้น ผมก็รู้สึกหวั่นเกรงที่จะฝึกฝนเทคนิคที่มีอานุภาพไร้เทียมทานขนาดนี้” หลัวชวนฉิงพูด

“เอ่อ…เอาอย่างนั้นก็ได้!” เห็นหลัวชวนฉิงยืนกราน จางเซวียนได้แต่พยักหน้ารับ

การเป็นศิษย์เป็นอาจารย์กันนั้นเป็นเรื่องสำคัญในทวีปแห่งปรมาจารย์ มีแบบแผนบางอย่างที่ไม่อาจละเลยได้ โดยเฉพาะเมื่อมีมรดกตกทอดเป็นเดิมพัน

เมื่อหลัวชวนฉิงเห็นชายวัยกลางคนตอบตกลง ก็รีบทรุดตัวลงคุกเข่าอีกครั้ง ขณะที่กำลังจะโค้งคำนับ ก็ได้ยินเสียงของสุภาพสตรีคนหนึ่งดังขึ้นที่ประตู

“หลังจากยอมรับเทียนหยาเป็นอาจารย์ของคุณแล้ว คุณก็จะต้องไม่ใช้ความรู้ที่ได้กลับมาทำร้ายเขา มิฉะนั้น คุณก็จะต้องทุกข์ทรมานกับแรงตีกลับของวรยุทธ คุณคงรู้เรื่องนั้นดีใช่ไหม?”

“แน่นอน!” หลัวชวนฉิงพยักหน้าอย่างขึงขัง

แม้ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์กับศิษย์จะเป็นเรื่องที่ผู้คนในทวีปแห่งปรมาจารย์ให้ความสำคัญ แต่ก็ยังปรากฎอยู่เนืองๆที่ลูกศิษย์ทรยศอาจารย์ของตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าเหตุการณ์แบบนั้นจะไม่เกิดขึ้นในหมู่ปรมาจารย์ สภาปรมาจารย์จึงได้วางกฎเกณฑ์ไว้ว่าหากปรมาจารย์คนหนึ่งใช้ความรู้ที่ตัวเองได้ร่ำเรียนจากอาจารย์มาทำร้ายอาจารย์ผู้นั้น ก็จะต้องได้รับผลกระทบจากแรงตีกลับของวรยุทธ

และเพื่อให้กฎเกณฑ์นี้มีผลชัดเจนขึ้น ทุกคนที่ได้เป็นปรมาจารย์จะต้องกล่าวคำปฏิญาณภายใต้การรับรู้ของสภาปรมาจารย์

“คุณเข้าใจแล้วก็ดี” หลัวลั่วชิงพยักหน้า

“วางใจเถอะ ผม, หลัวชวนฉิง จะไม่มีวันคิดร้ายกับท่านอาจารย์ของผมเป็นอันขาด! หากผมทำ ก็ไม่ต้องรอให้เกิดการตีกลับของวรยุทธหรอก ผมจะจัดการตัวผมเสียทันทีเพื่อชดใช้การกระทำของตัวเอง!” หลัวชวนฉิงประกาศอย่างมุ่งมั่น

หลัวเทียนหยาไม่เพียงเป็นผู้อาวุโสของเขา ยังเป็นผู้ถ่ายทอดแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติให้เขาโดยไม่ปิดบังด้วย เขาคงจะกลายเป็นอสูรร้ายแน่หากพยายามจะทำร้ายผู้ที่ช่วยเหลือเขามากมายขนาดนี้!

หลังจากพูดจบ หลัวชวนฉิงก็ลุกขึ้นยืน

เขายังไม่มีสถานภาพเป็นศิษย์สายตรงของหลัวเทียนหยา แต่เมื่อมีมรดกตกทอดร่วมกัน ก็ถือได้ว่าเป็นกึ่งลูกศิษย์ของอีกฝ่ายแล้ว

วิ้ง!

ทันทีที่หลัวชวนฉิงลุกขึ้นยืน หอสมุดเทียบฟ้าในหัวสมองของจางเซวียนก็กระตุก หน้าหนังสือสีทองปรากฏขึ้น

บางทีเขาอาจจะคิดไปเอง แต่ดูเหมือนหน้าหนังสือสีทองจะปรากฏตัวได้ยากขึ้นเรื่อยๆ มันไม่ได้ปรากฏมานานจนเขาเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

หลัวชวนฉิงใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงในการทำความเข้าใจศาสตร์การสกัดกั้นมิติเทียบฟ้าฉบับเรียบง่าย เมื่อพบจุดไหนที่ไม่เข้าใจ ก็ปรึกษาหลัวเทียนหยาโดยไม่รีรอ จนเมื่อฟ้าสางอีกครั้ง เขาก็ทำความเข้าใจทุกอย่างได้หมดสิ้น

จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอกและพูดว่า “คุณเข้าใจทุกอย่างก็ดีแล้ว อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ฝึกฝนมันอย่างระมัดระวังนะ แล้วภายใน 1 เดือน คุณก็จะทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้อย่างสมบูรณ์”

เทคนิคเทียบฟ้าฉบับเรียบง่ายนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้การฝึกฝนเป็นไปได้รวดเร็วขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับฉบับเต็ม แต่เพราะมีคำชี้แนะของจางเซวียนด้วย หลัวชวนฉิงจึงสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดความผิดพลาดบางอย่างซึ่งเป็นผลจากข้อบกพร่องที่ยังหลงเหลืออยู่ 2-3 ข้อ ดังนั้น การที่เขาจะประสบความสำเร็จภายใน 1 เดือนจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้

“ขอบคุณท่านอาจารย์!” หลัวชวนฉิงประสานมือ

เขาเริ่มฝึกฝนวรยุทธตามกระบวนการที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้ แล้วก็ต้องดีใจเมื่อพบว่าความเชี่ยวชาญในศาสตร์แห่งมิติของเขาเพิ่มสูงขึ้นอย่างที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะเป็นไปได้

หลัวชวนฉิงเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา เขาอดรนทนไม่ไหว จึงตั้งคำถาม “ท่านอาจารย์ ไม่ทราบว่าคุณใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติได้สำเร็จ?”

การที่ท่านอาจารย์ของเขาจะทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติได้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่อีกฝ่ายยังได้คิดค้นเทคนิควรยุทธที่มีอานุภาพไร้เทียมทานขึ้นด้วย

บรรพบุรุษผู้ปราดเปรื่องจำนวนนับไม่ถ้วนของตระกูลหลัวได้อุทิศเวลาทั้งชีวิตให้กับการค้นหากรรมวิธีการทำความเข้าใจแก่นสารของมิติและการสกัดกั้นมิติ ซึ่งหลัวชวนฉิงก็รู้ดีว่าความปราดเปรื่องของตัวเขาเรียกได้ว่าอยู่ในระดับธรรมดาสามัญเท่านั้นหากจะเปรียบเทียบกับคนเหล่านั้น แต่เทคนิควรยุทธที่ท่านอาจารย์ถ่ายทอดให้ทำให้เขาสามารถทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้ได้ภายในเวลาเพียง 1 เดือน

ซึ่งในเมื่อเป็นอย่างนั้น แล้วท่านอาจารย์จะต้องมีความเชี่ยวชาญขนาดไหน?

และเขาใช้เวลานานเท่าไหร่จึงทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติได้?

“ผม?” จางเซวียนนึกไม่ถึงว่าจะได้ยินคำถามนั้น “ขอผมคิดก่อนนะ…ผมคิดว่าน่าจะราวๆ…”

จางเซวียนหยุดไปหลายวินาที “…เอ่อ ก็นานประมาณนี้แหละ ใช่, นานประมาณนี้”

หลัวชวนฉิงงุนงงอย่างเห็นได้ชัดกว่าจะเข้าใจว่าท่านอาจารย์ของเขาพูดอะไร ในตอนนั้น เขารู้สึกเหมือนโลกทั้งโลกในหัวใจของเขาล่มสลาย “ท่านอาจารย์ คุณจะบอกว่า…คุณใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาทีหรือ?”

“ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ ผมจำไม่ได้ว่าใช้เวลาแค่ไหน ก็คงจะราวๆ 2-3 วินาที ตอนที่ผมฝึกฝนวรยุทธน่ะ ผมไม่รับรู้เวลาหรอก” จางเซวียนลูบคางอย่างครุ่นคิด

ในครั้งนั้น ผืนทรายแห่งมิติมาขวางทางพวกเขาไว้ ดังนั้นความสนใจของเขาจึงพุ่งไปที่การทำความเข้าใจศิลปะการปลดปล่อยมิติเทียบฟ้าขั้น 4 เพื่อทำให้ผืนทรายแห่งมิติแข็งทื่อ

เมื่อย้อนคิดดู ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ใช้เวลานานนัก น่าจะราว 2-3 วินาทีเป็นอย่างมาก

“ผม…” หลัวชวนฉิงอดรู้สึกสิ้นหวังไม่ได้กับช่องว่างระหว่างตัวเขากับท่านอาจารย์ที่ห่างไกลกันเหลือเกิน

เขาเคยคิดว่าการที่ตัวเขาจะสามารถทำความเข้าใจแก่นสารแห่งมิติและการสกัดกั้นมิติได้ภายในเวลา 1 เดือนก็เป็นวีรกรรมอันน่าทึ่งแล้ว แต่ความเหนือมนุษย์ของท่านอาจารย์ทำลายความลิงโลดในใจของเขาไปหมด อีกฝ่ายทำความเข้าใจเคล็ดวิชานี้ได้ภายใน 2-3 วินาทีเท่านั้น…

บ้าที่สุดคุณยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า?

เห็นสีหน้าของหลัวชวนฉิง จางเซวียนได้แต่ส่ายหัวอย่างจนปัญญา “รีบฝึกฝนเข้าเถอะ คุณควรพยายามฝ่าด่านวรยุทธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นะ”

ผมก็แค่พูดความจริงคุณไม่เห็นจะต้องเจ็บช้ำกับความจริงเลยไม่ใช่หรือ*?*

“ขอรับ ท่านอาจารย์!” รู้ดีว่าท่านอาจารย์ของเขาเป็นบุคคลที่เขาไม่อาจเอื้อมถึง หลัวชวนฉิงได้แต่บอกตัวเองว่าเขายังเก่งกาจไม่พอและกล่าวอำลา

ไม่นานหลังจากที่หลัวชวนฉิงจากไป จางเซวียนก็เดินไปที่ห้องโถงใหญ่ เขาเอ่ยถามหลัวกั้นเจินด้วยนัยน์ตาเป็นประกาย “ที่ตระกูลของเรามีหนังสือที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับภูมิปัญญาและกรรมวิธีในการฝ่าด่านวรยุทธไปสู่ขั้นนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่หรือเปล่า? ไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน?”

เขาฝ่าด่านวรยุทธเป็นนักรบระดับเซียนขั้น 9 สูงสุดได้เกือบหนึ่งวันเต็มๆ แล้ว ถึงเวลาที่จะฝ่าด่านวรยุทธอีกครั้งเสียที!