ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 129 ยังคงเป็นภูเขาในฤดูใบไม้ร่วงลูกนั้น (ตอนปลาย)

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ภายในถ้ำพำนัก เงาร่างหนึ่งที่นอนป่วยอยู่บนเตียงด้านหน้า กำลังมองดูชีเจียนที่ไม่ได้สติ

สายตาย้ายจากใบหน้าที่ซีดขาวของนางไปยังช่วงท้องน้อยที่ถูกพันแผลเอาไว้ และย้ายไปที่บริเวณนิ้วมือที่ซีดจนเป็นสีเขียวจางๆ และเย็นขึ้นเรื่อยๆ เขาได้ยินเสียงบีบคั้นที่แข็งกร้าวเสียงหนึ่งดังเข้ามาจากด้านนอกถ้ำพำนัก เขากำลังนึกถึงเสียงที่ได้ยินเหล่านั้นก่อนหน้านี้ในตอนที่อยู่ในสภาพพักกระบี่ นึกถึงเสียงจำนวนนับไม่ถ้วนที่ได้ยินในช่วงหลายสิบวันมานี้ เสียงเองก็เปลี่ยนเป็นเยือกเย็นขึ้นมาบ้างแล้ว

“ข้าไม่ยอมรับ”

เงาร่างนั้นพูดสี่คำนี้กับทั่วทั้งยอดเขา หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นมาและเดินออกไปที่ด้านนอกถ้ำพำนัก เมื่อได้ยินเสียงของเขา ทั่วทั้งเขาหลีซานล้วนเงียบเสียงลงมา หัวหน้าพรรคมองไปที่เสี่ยวซงกงอย่างเงียบๆ ริมฝีปากได้ยกขึ้นมา เผยให้เห็นเป็นรอยยิ้ม ภายในรอยยิ้มนั้นแอบแฝงความหมายเอาไว้มากมาย แต่ไม่ได้มีความแข็งกระด้างใดๆ อีกแล้ว

ประตูถ้ำพำนักถูกเปิดออก เงาร่างนั้นปรากฏขึ้นภายใต้ท้องฟ้าสีคราม ปรากฏตัวต่อหน้าสายตานับร้อยคู่ นั่นเป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง รูปร่างสูงโปร่ง ชุดของเขาหลีซานได้สะบัดไปท่ามกลางสายลม เห็นชัดๆ ว่ายังไม่หายดีและมีใบหน้าซีดขาว แต่กลับไม่ลดทอนความสง่างามในดวงตานั้นเลยแม้แต่น้อย และดูมีความงดงามอันเป็นอิสระแฝงอยู่

ได้เห็นชายหนุ่มผู้นี้ ยอดเขาหลักของเขาหลีซานได้มีเสียงร้องตะโกนด้วยความตกตะลึงระคนยินดีดังขึ้นนับไม่ถ้วน

“ศิษย์พี่ใหญ่!”

“ศิษย์พี่ใหญ่ฟื้นแล้ว!”

“ศิษย์พี่ใหญ่ฟื้นแล้ว!”

เสียงตะโกนด้วยความปีติยินดีได้ดังจากยอดเขาหลักไปยังยอดเขาอื่นอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลานี้ ทุกยอดเขาพากันฮึกเหิม ความวุ่นวายภายในของเขาหลีซานในวันนี้ ความลับของอาจารย์ปู่เล็กในอดีตที่มอบความกดดันและความเหน็บหนาวแก่เหล่าศิษย์เป็นอย่างมากเหล่านั้น คาดไม่ถึงว่าจะถูกลบหายไปมากแล้ว

แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ของพรรคกระบี่เขาหลีซาน ผู้นำของเจ็ดคำโคลงแห่งแดนเทพ ชิวซานจวิน

ศิษย์นับสิบคนที่อยู่หน้าถ้ำพำนักพากันกรูเข้าไป ชิวซานจวินได้ส่ายศีรษะเพื่อสื่อว่าไม่จำเป็นต้องเข้ามาพยุง และค่อยๆ เดินไปที่ด้านหน้า และเริ่มทำความเคารพกับหัวหน้าพรรคก่อน หลังจากนั้นก็มองไปที่เหล่าผู้คนที่อยู่ด้านนอกแสงกระบี่เหล่านั้น สายตาของเขาสงบนิ่ง ถึงแม้จะมองไปที่บิดาของตนก็ไม่ได้มีความหวั่นไหวขึ้นมาแม้แต่น้อย

ได้เห็นชิวซานจวินฟื้นขึ้นมาแล้ว ความรู้สึกของผู้คนก็แตกต่างกันไป แต่ว่าส่วนมากแล้วล้วนยินดีเป็นหลัก ถึงแม้จะเป็นเสี่ยวซงกงกับผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติทั้งสองคน ก็ไม่ได้มีความระแวงมากนัก ประมุขตระกูลชิวซานเห็นภาพตรงหน้านี้ ก็ยืนยันบารมีของบุตรตนที่อยู่ในใจของเหล่าศิษย์รุ่นเยาว์ได้ ดวงตาก็ยิ่งเปลี่ยนเป็นส่องประกายขึ้นมา และลูบเคราเบาๆ

ไม่รอให้ชิวซานจวินเอ่ยปาก เสี่ยวซงกงก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน “ศิษย์หลานชิวซาน เจ้าหมดสติไปหลายสิบวัน คงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ขอให้ช่วยรอสักครู่ อย่าได้เกิดความเข้าใจผิดขึ้นมา”

ในตอนนี้หน้าถ้ำพำนักบนยอดเขาหลักของเขาหลีซานมีกระบี่ที่หักและรอยเลือดอาบอยู่ สภาพดูแล้วเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดจนผิดปกติ ไม่ว่าใครก็สามารถคิดได้ เมื่อชิวซานจวินเพิ่งจะฟื้นขึ้นมาและได้เห็นภาพฉากนี้ ก็แน่นอนว่าจะต้องคิดว่าพวกเสี่ยวซงกงกำลังบังคับให้สละตำแหน่ง ดังนั้นก่อนหน้านี้ถึงได้พูดประโยคนั้นขึ้นมา พวกเสี่ยวซงกงคิดว่ารอให้ตนเล่าเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ให้ชัดเจนก่อน แน่นอนว่าชิวซานจวินจะรู้เองว่าจะเลือกสรรอย่างไร

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พวกเสี่ยวซงกงล้วนต้องการได้รับการสนับสนุนจากชิวซานจวิน เพราะว่าความวุ่นวายภายในของเขาหลีซานในครั้งนี้ เดิมทีตระกูลชิวซานก็เป็นหนึ่งในสองของกำลังสนับสนุนใหญ่ของพวกเขา และตำแหน่งของชิวซานจวินในใจของศิษย์รุ่นเยาว์ ก็ยิ่งสามารถยุติความวุ่นวายภายในของเขาหลีซานในครั้งนี้ และเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยเหลือพวกเขาควบคุมสถานการณ์ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์

ชิวซานจวินนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้น “เชิญอาจารย์อากล่าวเถิด”

ไป๋ไช่อดไม่ได้ที่จะร้อนใจ เขาอยากจะพูดอะไรบางอย่างกับศิษย์พี่ คาดไม่ถึงว่าหัวหน้าพรรคจะห้ามเขาไว้ ถึงขนาดที่ปล่อยให้กระบี่ที่อยู่ในมือเล่นนั้นลอยกลับไปยังภายในแสงกระบี่ที่อยู่ด้านหน้าถ้ำพำนัก

ความยินดีที่ได้เห็นศิษย์พี่ใหญ่ฟื้นขึ้นมาค่อยๆ ลดน้อยลง ยอดเขาต่างๆ เงียบเป็นเป่าสาก ทุกคนได้ยินเสี่ยวซงกงบรรยายเรื่องที่เกิดขึ้นในสวนโจว และเรื่องที่ซูหลีเคยทำมาอีกครั้ง

เสียงของผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงได้สะท้อนอยู่หน้าถ้ำพำนัก ชิวซานจวินนิ่งเงียบไม่พูดจา ใบหน้าที่ซีดขาวมองไม่เห็นถึงอารมณ์ใดๆ มือขวาที่ทิ้งอยู่ข้างลำตัวกลับค่อยๆ ยกขึ้นมาอย่างสั่นเทา

นั่นแสดงถึงความโกรธ ความโกรธที่ไม่อาจจะระงับเอาไว้ได้

คนมากมายสังเกตเห็นถึงรายละเอียดตรงนี้ ความรู้สึกก็ยิ่งกังวลขึ้นเรื่อยๆ ไป๋ไช่ก็ยิ่งเสียใจอย่างถึงที่สุด ในใจคิดว่าต่อจากนี้จะทำอย่างไรดี ตนจะเป็นศัตรูกับศิษย์พี่ใหญ่ได้อย่างไร

คำพูดของเสี่ยวซงกงจบลงแล้ว

ชิวซานจวินนิ่งเงียบไปตรู่หนึ่ง แล้วจึงได้ถามขึ้น “อาจารย์ลุง ตามความเห็นของท่าน เรื่องนี้ควรจะจัดการเช่นไร”

เมื่อได้ฟังคำพูดนี้ ความไม่สงบสุดท้ายในใจของพวกเสี่ยวซงกงก็ได้สลายไปจนสิ้น ผู้อาวุโสโถงบทบัญญัติพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล “ก่อนหน้านี้มีการตัดสินใจไปแล้ว จะส่งชีเจียนให้โถงบทบัญญัติสอบสวน หัวหน้าพรรคสละตำแหน่งเป็นการชั่วคราว ในเมื่อเจ้าฟื้นขึ้นมาแล้ว แน่นอนว่าก็ให้เจ้ารับหน้าที่แทน”

ผู้อาวุโสเจียงแห่งพรรคฉางเซิงผู้นั้นได้พูดเสริมขึ้น “เจ๋อซิ่วที่ร่วมมือกับชีเจียนไปจนถึงเฉินฉางเซิงควรจะได้รับโทษอย่างไร ทางพรรคฉางเซิงกับเทือกเขาเทพธิดาศักดิ์สิทธิ์จะส่งหนังสือไปให้ทางพระราชวังหลี ใต้เท้าสังฆราชเองก็จะต้องให้คำตอบเป็นแน่”

เสี่ยวซงกงมองเขาแล้วพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ศิษย์หลานยังไม่รู้ถึงเรื่องราว จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิด สี่คำนั้นที่พูดจากภายในถ้ำพำนัก ในตอนนี้คิดว่าคงจะชัดเจนดีแล้ว ว่าตนควรจะทำเช่นไร”

สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนได้มาหยุดอยู่ที่ร่างของชิวซานจวิน ผู้คนล้วนสามารถเดาได้ว่าเขาจะเลือกเช่นไร เพราะว่าที่พวกเสี่ยวซงกงพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ชีเจียนเป็นบุตรสาวของซูหลีกับองค์หญิงเผ่ามารจริงๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ความวุ่นวายภายในของเขาหลีซานต้องเกิดการหลั่งเลือดต่อไป ชิวซานจวินอาจจะดิ้นรนอย่างเจ็บปวดอยู่บ้าง แต่จะต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วเป็นแน่ นั่นเป็นสิ่งที่คนที่จะทำการใหญ่จะต้องมีการเตรียมใจเอาไว้ และทั่วทั้งต้าลู่ก็รู้กัน ต่อให้เป็นในวัยเยาว์ ชิวซานจวินดำเนินการเรื่องใดก็มีจิตใจกว้างขวาง และยิ่งใหญ่น่าเกรงขามนัก!

เขาจะต้องเลือกทำในสิ่งที่เหมาะสมกับผลประโยชน์ของเขาหลีซานที่สุด เหมาะสมกับทางที่ถูกต้องที่สุดของมนุษย์ คนและมารไม่อาจอยู่ร่วมกัน ก่อนหน้านี้ทั้งบุญคุณของอาจารย์ บุญคุณในการอบรมสั่งสอน ก็จะนับว่าเป็นอะไรได้กัน!

ประมุขตระกูลชิวซานมองบุตรชายของตนเงียบๆ ในใจก็ภาคภูมิไปถึงที่สุด ผู้ที่อยู่ในขั้นรวบรวมดวงดาวที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ หัวหน้าพรรคกระบี่เขาหลีซานที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ ผ่านไปอีกไม่กี่ปีก็แน่นอนว่าจะต้องเป็นนักปราชญ์ที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ มองไปยังประวัติศาสตร์อันยาวนาน ใครกันที่จะยอดเยี่ยมยิ่งกว่าบุตรชายของตน ความภาคภูมิของเขาไม่ได้มาจากเพียงแค่เรื่องนี้ แต่ยังมาจากการแสดงออกของชิวซานจวินที่มีต่อเรื่องนี้…เขาคิดว่าก็เหมือนกับการตายของเหลียงเสี้ยวเซียว ชิวซานจวินจะหมดสติหรือฟื้นขึ้นมา ก็ล้วนเป็นแผนการที่สมบูรณ์แบบเช่นกัน

ชิวซานจวินหมดสติได้ถูกเวลาอย่างมาก ตอนที่ฟื้นขึ้นมาก็ยิ่งถูกจังหวะ ตอนที่เขาไม่ได้สติก็ทำให้เกิดการโต้แย้งและความวุ่นวายภายในเขาหลีซานขึ้นมา ตอนที่ฟื้นขึ้นมา การโต้แย้งก็มาถึงช่วงท้ายแล้ว มีเพียงเขาที่สามารถยุติการโต้แย้งนี้ลงได้ เขาเป็นเพียงคนเดียวเท่านั้น แน่นอนว่าก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เขาไม่จำเป็นต้องแบกรับชื่อเสียงแย่ๆ ของพวกเสี่ยวซงกงที่บุกขึ้นยอดเขาหลักและบีบให้หัวหน้าพรรคสละตำแหน่ง เขาเพียงแค่นอนหลับ ก็สามารถได้รับผลประโยชน์ทั้งหมด หลังจากนี้หากหลั่งน้ำตาสักสองสามหยด ก็ยังสามารถทำให้ตนได้รับการชื่นชมจากชาวโลกว่ามีความซื่อสัตย์และคุณธรรม…

ประมุขตระกูลชิวซานมองบุตรชายของตนแล้วคิดอย่างปลงอนิจจัง สมแล้วที่เป็นมังกร ตัวของพ่อเองก็ไม่อาจเทียบเจ้าได้

“มีคำถามข้อหนึ่ง”

ชิวซานจวินมองไปที่เสี่ยวซงกงแล้วพูดขึ้น “ก่อนหน้านี้ท่านพูดกับไป๋ไช่ว่า ถ้าหากเจตจำนงแห่งกระบี่ไม่มีความแปดเปื้อนจริงๆ เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงมีความกล้าเพียงแค่ตวาดพวกเขา ตัวเองกลับไม่กล้าไปถามอาจารย์ของเจ้า และยืนยันว่าเรื่องนี่เป็นจริงหรือเท็จ ใช่หรือไม่?”

เสี่ยวซงกงไม่ได้สังเกตถึงรายละเอียดอย่างหนึ่งที่อยู่ในคำพูดนี้ จึงเอ่ยปากตอบไป “ถูกต้อง”

ชิวซานจวินหันไปมองไป๋ไช่แวบหนึ่ง แล้วพูดขึ้น “เหตุใดเจ้าถึงไม่กล้าถาม”

ไป๋ไช่รู้สึกฝาดขมอยู่ในปาก ในใจก็คิดว่าถามแล้วจะมีประโยชน์อะไร

ชิวซานจวินมองไปที่หัวหน้าพรรค แล้วถามขึ้น “อาจารย์ ที่อาจารย์ลุงพูด…เป็นเรื่องจริงหรือ”

ไป๋ไช่เสียใจจนถึงที่สุด ในใจคิดว่าเหตุใดศิษย์พี่ใหญ่ถึงต้องบีบหัวหน้าพรรคจนถึงทางตันด้วย ทำไมถึงได้โหดเหี้ยมเช่นนี้

หัวหน้าพรรคมองชิวซานจวิน แย้มยิ้มขึ้นน้อยๆ และเตรียมจะพูดขึ้น

อยู่ๆ เสี่ยวซงกงรู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนักจึงตะโกนขึ้นเสียงดัง “เจ้าต้องสาบานกับบรรพชนของเขาหลีซาน ว่าจะไม่โกหกเด็ดขาด! เจ้าบอกกับชิวซานไป สรุปแล้วชีเจียนเป็นลูกขององค์หญิงเผ่ามารหรือไม่!”

หัวหน้าพรรคมองไปที่ชิวซานจวินแล้วพูดอย่างปลงอนิจจัง “เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง”

ความหมายของคำพูดนี้ชัดเจนอย่างมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง แน่นอนว่าเรื่องอื่นนอกจากนี้ไม่ใช่เรื่องจริง

เสี่ยวซงกงไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น เพียงแค่เจ้ายอมรับตรงจุดนี้ก็ดีแล้ว ถึงได้โล่งอกไปในทันที

ประมุขตระกูลชิวซานมองภาพที่ด้านหน้าถ้ำพำนัก อยู่ๆ ก็รู้สึกว่ามีตรงไหนที่ไม่ค่อยถูกต้อง ใช่ ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าพรรคหรือว่าชิวซานจวินล้วนแสดงออกอย่างสงบเกินไป

“เจ้ายังอยู่ที่นี่ทำอะไร”

ชิวซานจวินพูดกับไป๋ไช่อย่างสงบ “รีบพยุงหัวหน้าพรรคเข้าไปพักผ่อน”

ทั่วทั้งภูเขาล้วนเงียบสนิท ทุกคนล้วนรู้สึกมึนงง ไม่เข้าใจว่านี่หมายความว่าอย่างไร

ถึงจะเป็นไป๋ไช่ก็ยังตะลึงงันไปแล้ว ถึงค่อยได้สติกลับมา และพยุงหัวหน้าพรรคเข้าไปในถ้ำพักนักตามที่สั่ง

ก่อนที่จะเข้าถ้ำพำนัก หัวหน้าพรรคได้พูดขึ้น “เจ้าจัดการให้ดี”

ชิวซานจวินพูดขึ้น “อาจารย์โปรดวางใจ”

เมื่อพูดประโยคนี้จบ เขาก็ยื่นมือจากหน้าถ้ำพำนักไปยังภายในกระบี่แสงนับสิบสาย แล้วหยิบเอากระบี่ที่เป็นของตนเล่มนั้นออกมา

กระบี่เล่มนั้นมีชื่อว่าเกล็ดมัจฉาทวนแสง

เมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์นี้ ทุกคนถึงได้รู้ว่า ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หัวหน้าพรรคได้มอบค่ายกลใหญ่หมื่นกระบี่ของเขาหลีซานให้กับเขาแล้ว!

ผู้อาวุโสเสี่ยวซงกงมองไปที่ชิวซานจวิน สีหน้าค่อยๆ เคร่งเครียดขึ้นมา พลางพูดขึ้น “เจ้าถามจบแล้ว”

ชิวซานจวินพูดขึ้น “ใช่ ถามจบแล้ว”

เสี่ยวซงกงหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดขึ้น “แล้วหลังจากนั้นล่ะ”

ชิวซานจวินมองไปที่ยอดเขาต่างๆ และพูดขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ “หลังจากนั้น…แน่นอนว่าศิษย์เขาหลีซานจะยกกระบี่ขึ้นรับมือศัตรู”

สีหน้าของเสี่ยวซงกงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดอย่างมาก และตวาดขึ้นเสียงเย็น “เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่! หรือว่าเจ้าไม่ได้ยิน! อาจารย์ของเจ้ายอมรับแล้ว! มารดาของชีเจียนก็คือองค์หญิงของเผ่ามาร!”

ชิวซานจวินยกกระบี่ขึ้นมา มองไปที่เสี่ยวซงกงกับพวกศัตรูที่แข็งแกร่งเหล่านั้น แล้วถามขึ้น “เช่นนั้นแล้วอย่างไร”