บทที่ 280
บาร์เรียเวทมนตร์
ชายทั้งสองดูเส้นทางจากในเข็มทิศและเดินไปที่หน้าผาด้วยความระวัง ตลอดทางพวกเขาเห็นโครงกระดูกของสัตว์วิญญาณและมนุษย์มากมายซึ่งกลายเป็นสีดำไปหมดแล้ว แต่ก็ไม่ได้กลิ่นอะไรเพราะพวกเขาสวมหน้ากากป้องกันหมอกควันไว้
ที่นี่ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษยกเว้นก็แต่วิญญาณปีศาจที่แปลกออกไป
มือทั้งสองจับกันแน่น มู่หรงรู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ชุ่มจากฝ่ามือ หลักๆก็เผื่อในกรณีฉุกเฉิน มู่หรงเสวี่ยจะได้สามารถพา เฟิงจือหลิงเข้าไปในมิติลับได้ทันเวลาดังนั้นพวกเธอจึงไม่ปล่อยมือจากกัน
“นี่เราควรจะเข้ามาโดยที่ไม่บอกจือหลินเลยงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม
“ถ้าบอกนางก็คงร้องที่จะตามมาด้วยแน่ๆ ยังไงพวกเราก็ต้องออกไปอยู่แล้ว งั้นไม่ต้องนางน่าจะดีกว่า!” เขารู้นิสัยน้องสาวตัวเองดี ถ้านางรู้ว่าพวกเขาจะเข้ามาที่นี่ นางก็คงจะร้องตามพวกเขาเข้ามาด้วยแน่ๆ
“ระวังด้วย นี่เกือบจะถึงหน้าผาแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยเตือน
ยิ่งพวกเธอเข้ามาลึกมากเท่าไร วิญญาณปีศาจก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเท่านั้น ไม่รู้ว่ามู่หรงเสวี่ยคิดไปเองหรือเปล่าแต่เธอรู้สึกเหมือนกับว่าวิญญาณปีศาจที่อยู่ในร่างกายของเธอดูจะตื่นตัวมากกว่าปกติราวกับว่ามีอะไรบางอย่างกำลังโจมตีเธอจากขอบหน้าผา
“รอเดี๋ยวนะ…” เฟิงจือหลิงดึงมู่เทียนไว้
“มีอะไรงั้นเหรอ?” มู่หรงถาม
เฟิงจือหลิงจ้องไปที่การเปลี่ยนแปลงในร่างกายของ มู่เทียน ตอนนี้ทั่วทั้งร่างของมุ่เทียนกำลังเปล่งประกายราวกับแสงคริสตัลและผมสีม่วงของเธอก็เปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิมอีก ทั่วทั้งร่างกายของเธอดูศักดิ์สิทธิ์และเปล่งประกายอยู่ในป่าที่มืดมิดนี้
“เจ้าสวยมากเลย…” เฟิงจือหลิงพึมพำ
มู่หรงพูดออกมาพร้อมทั้งมองไปที่ร่างกายของตัวเองที่กำลังเปล่งแสง “ชมผู้ชายว่าสวยมันไม่ค่อยน่าฟังเท่าไรเลยนะ โอ้!”
เฟิงจือหลิงได้สติกลับมาทันทีแล้วก็นึกได้ว่าตัวเองเพิ่งจะพูดอะไรออกไป เขาหลบสายตาของมู่เทียนและพูดออกไปว่า “เจ้าไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ ทำไมเจ้าถึงรู้สึกแบบนี้…”
มู่หรงเสวี่ยเองก็รู้สึกว่าวิญญาณปีศาจในร่างกายของเธอช่างผ่อนคลายเหลือเกิน เธอรู้สึกราวกับว่าพลังแห่งจิตวิญญาณของตัวเองกำลังเติบโตขึ้น เป็นเพราะวิญญาณปีศาจเข้าได้ดีกับเธอหรือเปล่า?! “บางทีอาจจะเป็นเพราะข้าถูกวิญญาณปีศาจเปลี่ยนร่างก็ได้ ข้ารู้สึกผ่อนคลายมากเลย…”
“เป็นไปได้ยังไง?! เจ้ากลายเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์แล้วงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถามอย่างเป็นกังวล ถึงแม้เขาจะรู้ว่ามู่เทียนกลายเป็นครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจไปแล้ว แต่อย่างน้อยเขาก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ ถ้าเขากลายเป็นปีศาจโดยสมบูรณ์แล้วอนาคตจะเป็นยังไง
มู่หรงเสวี่ยไม่ได้คิดมากเกี่ยวกับเรื่องนี้ ยังไงซะเรื่องมันก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้วและเธอก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อีก งั้นทำใจยอมรับซะดีกว่า “มีอะไรเหรอ? เจ้าไม่คิดว่าข้าเป็นเพื่อนอีกแล้วเหรอ?” ถ้าเขาคิดแบบนั้นงั้นเธอก็จะเคารพการตัดสินใจของเขาแต่ก็คงจะเศร้าอยู่ดี
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น ข้าแค่เป็นห่วงว่าตัวเองจะต้องห่างจากเจ้า…ถ้าเราไม่ได้เจอกันอีกล่ะ ข้าไม่อยากที่จะอยู่ห่างจากเจ้านะ…เพื่อน…” เฟิงจือหลิงรีบอธิบายถึงแม้ว่าในหัวใจเขาจะคิดเกินเพื่อน เขาไม่อยากที่จะทำลายความสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนของพวกเขา
“ข้าจะคิดว่าเจ้าเป็นเพื่อนเสมอแต่ไม่มีใครคาดเดาอนาคตได้ดังนั้นเราจึงต้องกังวลเรื่องในตอนนี้ก่อน! ไปกันเถอะ นี่เกือบจะถึงหน้าผาแล้ว รีบไปดูกันเถอะ”
เธอคาดเดาไม่ได้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นและเธอก็ไม่อยากที่จะคิดถึงเรื่องนี้ด้วย เธอมั่นใจมากว่าความสามารถของเธอจะต้องพัฒนาได้โดยเร็วที่สุด ออกตามหาพ่อแม่แล้วก็จะได้ครอบครัวกลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง นี่คือความหวังสูงสุดของเธอในตอนนี้
“งั้นก็ไปกันเถอะ” เฟิงจือหลิงยับยั้งอารมณ์ไว้แล้วพูดออกไป ไม่ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ติดตามมู่เทียนไปตลอด!
ภายใต้หน้าผาไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากแต่มันดู อึมครึมมากกว่าคราวที่แล้วมาก หน้าผาที่ลึกจนมองไม่เห็นด้านล่างถูกปกคลุมไปด้วยหมอกปีศาจ เห็นได้อย่างชัดเจนว่าที่นี่คือจุดที่ปัญหาทุกอย่างเกิดขึ้น
“อะไร? เจ้าอยากจะลงไปข้างล่างงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงถาม
“เจ้าจะไม่กลับไปรายงานคนอื่นก่อนงั้นเหรอ? หลงหมิง บอกว่าเราไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรโดยไม่ได้รับอนุญาต…” ตั้งแต่ต้นพวกเขาทุกคนต่างก็สัญญาไว้แล้วก่อนที่จะเข้ามา
มู่หรงไม่อยากที่จะเสียเวลา เธอรู้สึกว่ามีบางอย่างกำลังร้องเรียกเธออยู่ที่ก้นบึ้งของหน้าผา “ไม่งั้นเจ้าก็กลับไปรายงานทุกคนแล้วให้ข้าลงไปก่อนดีไหม?”
ตอนที่พวกเขาเข้ามา พวกเขาไม่เห็นอะไรแปลกๆเลย ผู้คนที่อยากจะเข้ามาก่อนหน้านี้ต่างก็เข้ามาเพราะวิญญาณปีศาจและไม่มีการโจมตีจากอะไรอื่นเลย ดังนั้นต่อให้เฟิงจือหลิงต้องกลับไปคนเดียวก็คงไม่มีอันตรายอะไร สถานที่ที่อันตรายอย่างแท้จริงน่าจะอยู่เบื้องล่างหน้าผา
“ไม่ ถ้าเจ้าลงไปข้างล่าง ข้าก็จะลงไปด้วย!” เขาจะยอมให้เขาลงไปเสี่ยงคนเดียวได้ยังไง
ดูเหมือนว่าเธอแทบจะรอไม่ไหวที่จะได้ลงไปข้างล่าง “ข้าอยากที่จะบอกเจ้าถึงเรื่องสถานการณ์ที่นี่ ยังไงซะผู้คนจากทั่วทั้งทวีปเฟิงหยุ่นก็กำลังรออยู่ เจ้าเชื่อข้าเถอะ! ข้าคิดว่ามีบางอย่างที่ข้าต้องการอยู่ข้างล่างนี้”
“เจ้าต้องการอะไร? หมายความว่ายังไง?” เฟิงจือหลิงถาม
“บางทีอาจจะเป็นเพราะครึ่งหนึ่งที่เป็นปีศาจของข้า ข้ารู้สึกข้างล่างมีสมบัติล้ำค่าที่สามารถทำให้การฝึกตนของข้าเพิ่มขึ้นได้ ข้าไม่อยากที่จะรอต่อไปอีกแล้ว ข้าอยากที่จะลงไปข้างล่างก่อน…”
“ไม่ ข้าปล่อยให้เจ้าลงไปคนเดียวไม่ได้” สีหน้าของ เฟิงจือหลิงเปลี่ยนไป เขารีบลากมู่หรงเสวี่ยออกมาทันที
มู่หรงสะบัดมือออกและกลับไปที่ขอบหน้าผา “ข้าจะลงไป!” เธอกระโดดตรงลงไปที่ก้นบึ้งของหน้าผา
แต่เฟิงจือหลิงก็คว้าเอวเธอและดึงกลับมาทัน
“ปล่อยข้านะ ปล่อยข้า ข้าอยากที่จะลงไปข้างล่าง…” มู่หรงเสวี่ยขัดขืนและถึงขนาดใช้พลังแห่งจิตวิญญาณด้วย ถ้าตอนนี้เธอไม่ได้สวมหน้ากากป้องกันหมอกควัน เขาก็คงจะได้เห็นดวงตาเข้มของเธอที่กำลังเปล่งแสงสีม่วง
เฟิงจือหลิงกอดร่างเธอไว้แน่น ไม่สนใจแสงออร่าที่เธอเอาแต่พุ่งใส่เขา จนกระทั่งพวกเขาออกมาห่างจากหน้าผาบ้างแล้ว มู่หรงเสวี่ยถึงค่อยๆหยุดลง
“ข้าเป็นอะไรไปงั้นเหรอ?” มู่หรงมองมือตัวเองที่ทำร้ายเฟิงจือหลิงอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“เจ้าเหมือนกับโดนเวทมนตร์ปิดกั้นไว้…กระแอ่ม…” เฟิงจือหลิงเห็นว่าสุดท้ายมู่เทียนก็กลับมาได้สติแล้ว เขาจึงค่อยๆปล่อยเธอพร้อมกับกระอักเลือดที่เต็มปากออกมา
เมื่อกี้มู่เทียนพึ่งพลังแห่งจิตวิญญาณใส่เขาโดยไม่ปรานีเลย
สีหน้าของมู่หรงเปลี่ยนไป เธอรีบคุกเข่าลงไปอย่างเร็วและถามออกมาด้วยความเป็นห่วง “เจ้าเป็นไงบ้าง? ข้าขอโทษนะ ข้า…” เมื่อกี้เธอไม่รู้เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น เธอควบคุมตัวเองไม่ได้เลย จนถึงตอนนี้เธอก็ยังรู้สึกได้ถึงความปรารถนาอย่างแรงกล้าในหัวใจอยู่เลย
“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง ก็แค่บาดเจ็บภายนอก รีบออกไปกันเถอะ…” เฟิงจือหลิงลุกขึ้นและจับมือมู่เทียนเพื่อเดินออกไปข้างนอก
ต่อไปเขาต้องไม่ยอมให้มู่เทียนเข้าใกล้หน้าผาอีก เขามีลางสังหรณ์ที่ไม่ดี เขารู้สึกมาตลอดว่าตราบใดที่มู่เทียนเข้าใกล้หน้าผา เรื่องที่ไม่คาดฝันก็อาจจะเกิดขึ้นได้
“ได้…” มู่หรงเสวี่ยมองกลับไปที่หน้าผาในระหว่างที่เดิน ถึงแม้เธอจะกลับมาได้สติแล้วแต่ก็ยังอยากที่จะเห็นเบื้องล่างอยู่ดี
เฟิงจือหลิงไม่ได้ละเลยท่าทางของมู่เทียน เมื่อมองไปที่ท่าทางของเขาในตอนนี้ เขาก็รีบดึงมู่เทียนให้เดินเร็วขึ้นไปอีก
“หลังจากนี้ เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปที่นั่นอีกเข้าใจไหม?” เฟิงจือหลิงพูด
มู่หรงพูด “ไม่นะ ข้าอยากที่จะลงไปข้างล่าง!”
“เจ้าเพิ่งเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยรู้ตัวหรือเปล่า? เจ้าเกือบจะถูกปีศาจครอบงำไปจนหมดแล้ว…” เฟิงจือหลิงตะโกนใส่มู่เทียนเป็นครั้งแรก
มู่หรงเสวี่ยอ้าปากแต่เธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก เธอไม่เข้าใจว่าเมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น แต่ข้างล่างหน้าผาจะต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่ดี แต่เธอก็ต้องลงไปข้างล่างให้ได้ บางทีท่านอาจารย์อาจจะอยู่ข้างล่างนั้น
เมื่อเห็นสีหน้าที่โกรธเกรี้ยวของเฟิงจือหลิง เธอก็รู้สึกว่าตัวเองจะต้องทำให้เขาเจ็บมากจนเกินจะทนแน่ๆ เธอรู้สึกผิดอย่างมาก นอกจากนี้เธอก็เข้าใจดีที่เขาเป็นห่วงเธอ
เมื่อพึ่งเข็มทิศ ไม่นานพวกเขาก็เดินออกมาจนถึงรอบนอกของป่าแห่งความตาย นอกจากบาร์เรียแล้วพวกเขาก็เห็นว่าหลงหมิงและคนอื่นๆต่างก็ยังยืนเฝ้าระวังอยู่ด้วย
“ในที่สุดพวกเจ้าก็ออกมา…” หลังจากที่ได้เห็นมู่หรงเสวี่ย หลงหมิงก็ดูผ่อนคลายอย่างเห็นได้ชัด แล้วเขาก็เห็นสีหน้าของเฟิงจือหลิงที่ดูไม่ค่อยดีเท่าไรจึงเกิดความกังวลและถามออกไป
“บาดเจ็บงั้นเหรอ?! รีบกลับไปรักษาที่โรงหมอเดี๋ยวนี้เลย…”
เฟิงจือหลิงส่ายหัว “ไม่เป็นไร! แล้วอีกทีมล่ะ? ออกมากันหรือยัง?”
“อีกทีมออกมานานแล้ว พวกเขาเดินไปตลอดทางแต่ก็ไม่เจออะไรเลยแต่สถานการณ์ก็เป็นอย่างที่พวกเจ้าบอกตอนที่ออกมาในตอนแรก โชคดีที่พวกเขามีเข็มทิศอยู่กับตัวด้วย! แล้วพวกเจ้าล่ะ? เจออะไรในนั้นบ้างหรือเปล่า?”
ครั้งนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ดีกว่าครั้งที่แล้วอย่างเห็นได้ชัด อย่างน้อยทุกคนที่ได้เข้าไปก็กลับออกมาได้หมด ดูเหมือนว่าหน้ากากป้องกันหมอกควันจะใช้ได้ผลดีจริงๆ
“เดินไปคุยไปแล้วกัน” เฟิงจือหลิงพูดแล้วก็ไม่ลืมที่จะดึงมู่เทียนให้ตามมาด้วย
“ข้างในมีหน้าผา วิญญาณปีศาจออกมาจากเบื้องลึกของหน้าผา เรายังไม่ได้ลงไปข้างล่าง เราอยากที่จะออกมารายงานท่านก่อน!” เฟิงจือหลิงอธิบายเสียงเบา
“หน้าผางั้นเหรอ?”
“ใช่ แต่มองไม่เห็นได้ไม่ชัดเลยว่าข้างล่างมีอะไร มันดูเหมือนจะไม่สิ้นสุดและก็ดูอึมครึมมากด้วย…”
“ถ้างั้นเราก็แก้ไขปัญหาไม่ได้” หลงหมิงคิดถึงเรื่องนี้และพูดออกมา “พวกเจ้าเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ กลับไปพักสักสองวัน แล้วหลังจากนั้นเราค่อยกลับเข้าไปดูสถานการณ์กันใหม่…”
อย่างไรก็จู่ๆมู่หรง เหมือนจะกลับมาได้สติแล้วจึงพูดออกมา “ข้าจะเข้าไปด้วย!”