บทที่ 6 สถาบันสอนพิเศษ โดย Ink Stone_Fantasy
รองบรรณาธิการเริ่นกำลังถือเค้กสองกล่องเดินเข้ามาในสถานีตำรวจ แน่นอนว่าสำหรับเธอแล้ว สถานที่ที่เธอมาเยือนนี้เรียกได้ว่ารกร้างผู้คนเลยทีเดียว
หม่าโฮ่วเต๋อที่กำลังเล่นเกม Minesweeper* อยู่ในที่ทำงาน แม้แต่จะหายใจยังไม่กล้าด้วยซ้ำ ด้วยเพราะครั้งนี้เขาอาจจะทำคะแนนได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์เลย
เล่นเกม Minesweeper มาสิบกว่าปีแล้ว แต่ไหนแต่ไรมายังไม่เหลือระเบิดแค่ลูกเดียวเหมือนวันนี้เลย เซอร์หม่ารู้สึกเหมือนว่าวันนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเอาไว้จริงๆ จะขาดก็แค่การถ่ายทอดสดเท่านั้น
เขาถึงขนาดเช็ดเหงื่อบนฝ่ามือเป็นอย่างดิบดี ก่อนที่เขาจะเลือกกดปุ่มอันสุดท้าย “มาเถอะ! พลังที่หลั่งไหลมาของข้า!! ตอนนี้ได้เวลาพิสูจน์ความอัศจรรย์แล้ว!”
เขาสูดลมหายใจเข้าไปลึกๆ เฮือกหนึ่ง ใช้ความศรัทธาที่มีมาสิบกว่าปีเตรียมพร้อมออกรบ ช่วงเวลาที่เกียรติยศชื่อเสียงใกล้จะมาถึง ประตูสำนักงานก็ถูกผลักเปิดดังป๊าบ
“เหล่าหม่า! ชารอบบ่าย!”
ทันใดนั้นเสียงราวกับฝันร้ายของเซอร์หม่าก็ดังขึ้น มือของเขาลื่นพรวดไปทันที… BOW!
“เริ่นจื่อหลิง!! ผมกับคุณคงอยู่ร่วมโลกกันไม่ได้แล้ว!!!”
…
“เค้กร้านนี้ใช้ได้เลยนี่” หม่าโฮ่วเต๋อกินไปคำหนึ่ง แต่กลับมองผู้หญิงที่น่ารำคาญคนนี้ด้วยสายตาระแวงตามความเคยชิน “ค่าปรับเดือนนี้เท่าไรล่ะ? บอกไว้ก่อนนะ ถ้าไม่เกินสิบใบ ผมไม่จัดการให้นะ!”
“สิบใบพอดีเลย~”
“…” หม่าโฮ่วเต๋อนวดหว่างคิ้ว ถอนหายใจแล้วถือโอกาสหยิบเค้กชิ้นที่สองขึ้นมาอีก
อย่างไรไม่กินก็เสียทิ้งไปเปล่าๆ ยังไงก็ต้องทำงานนี้อยู่ดี…ไม่สู้กินให้เยอะๆ ดีกว่าเอาไปให้คนนอก “หนุ่มน้อยลั่วชิวกลับมาแล้วเหรอ?”
“อืม! เครื่องลงเมื่อคืน…อ้อ จริงสิ นี่เป็นของฝาก เขาฝากฉันเอามาให้นายน่ะ”
เซอร์หม่ามองสิ่งที่ส่งมาให้เป็นที่เขี่ยบุหรี่ ก่อนหยิบขึ้นมาเพ่งมอง “นี่มันเยี่ยมไปเลย! ลั่วชิวรู้ใจผมเหมือนเดิมเลยนะ!”
หลังจากนั้นไม่นาน
หม่าโฮ่วเต๋อก็เท้าแขนลงบนโต๊ะ เขาชะโงกตัวเข้ามาใกล้ แล้วพูดเสียงเบาๆ ว่า “คราวที่แล้วคุณบอกว่า ลั่วชิวมีแฟนแล้ว หน้าตาเป็นยังไงบ้าง?”
“หม่าโฮ่วเต๋อ นายชอบแส่เรื่องชาวบ้านตั้งแต่เมื่อไรกัน?” เริ่นจื่อหลิงหรี่ตาลงพลางถามว่า “ช่วงนี้ว่างมากใช่หรือเปล่า? ไหนเมื่อก่อนบอกว่าต้องคอยปกป้องพลเมือง วันๆ เอาแต่ทำงานล่วงเวลาจนเหนื่อยอย่างกับหมาแก่ๆ ไม่ใช่เหรอ?”
หม่าโฮ่วเต๋อตอบส่งๆ “เลิกทำไปนานแล้วล่ะ ตอนนี้ภาครัฐไม่ได้เป็นอัมพาตอยู่แต่บ้าน ก็ถือว่าดีมากแล้ว”
“ช่วงนี้ว่างมากจริงๆ เหรอ?” เริ่นจื่อหลิงถามย้ำ
“ผมนี่ไม่มีข้อมูลให้คุณแล้วนะ” หม่าโฮ่วเต๋อเข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ “ช่วงนี้สงบสุขทุกที่! ไม่มีคดีแปลกๆ อะไรเลย นอกจากคดีลักเล็กขโมยน้อยบางคดี ถ้าคุณสนใจละก็ ลองไปถามพวกข้างนอกเองสิ”
“ไม่ได้บอกว่าฆ่าตัวตายไปหลายรายเหรอ?”
“แต่จากที่คุณพูด มันเป็นการฆ่าตัวตายไม่ใช่เหรอ?” หม่าโฮ่วเต๋อยังจับที่เขี่ยบุหรี่เล่นพลางพูดว่า “เหล่าฉินที่ฝ่ายนิติเวชก็ยืนยันว่าเป็นการฆ่าตัวตายจริงๆ ไม่ผิดแน่ พวกเราวิเคราะห์ดูแล้ว แม้ประเด็นที่ว่าทุกรายเป็นนักเรียนนั้นจะบังเอิญไปสักหน่อย แต่คนพวกนี้ก็ไม่ได้มีความแค้นกับใคร เป็นนักเรียนดีเด่น แถมยังอยู่คนละโรงเรียนกันด้วย แต่…”
“แต่อะไร?” เริ่นจื่อหลิงตาเป็นประกาย
หม่าโฮ่วเต๋อกลอกตามองบนแล้วพูดว่า “คุณแอบใช้ปากกาอัดเสียงอีกแล้วเหรอ? ผมอนุญาตให้คุณบันทึกเสียงแล้วเหรอ?”
รองบรรณาธิการเริ่นยิ้มเฝื่อน
หม่าโฮ่วเต๋อจุดบุหรี่แล้วพูดต่อ “แต่พวกเขาทุกคนเรียนพิเศษที่สถาบันเดียวกัน ได้ยินว่าเพิ่งเปิดได้ไม่นานนี้เอง พวกเราลองไปตรวจสอบสถาบันสอนพิเศษนี้แล้ว ก็ไม่ได้ผิดปกติตรงไหน ที่มาของใบอนุญาตก็ถูกต้อง อาจารย์ที่รับผิดชอบรายวิชาพวกนั้นก็เป็นอาจารย์เกษียณมากประสบการณ์”
เริ่นจื่อหลิงขมวดคิ้วพลางถามว่า “แต่มันแปลกไม่ใช่เหรอ ทำไมนักเรียนที่ฆ่าตัวตายถึงเรียนที่นี่ทั้งหมด?”
“แปลกน่ะสิ” หม่าโฮ่วเต๋อพยักหน้าแล้วพูดว่า “ประเด็นที่ว่าพวกเขาฆ่าตัวตายไม่ผิดแน่ หนึ่งในนั้นยังถูกกล้องวงจรปิดบันทึกภาพว่าเดินขึ้นไปบนดาดฟ้าเองคนเดียว ทางนิติเวชและฝ่ายรวบรวมหลักฐานก็ได้ข้อสรุปเหมือนกัน เจ้าของคดีก็สรุปไปแล้ว แถมครอบครัวยังรับศพกลับไปแล้วด้วย แล้วผมจะทำอะไรได้อีก? อีกอย่าง โรงเรียนจะได้กำไรอะไรจากเด็กฆ่าตัวตายล่ะ?”
เซอร์หม่ายักไหล่พูดอีกว่า “ตอนนี้ก็ได้แต่บอกว่าเด็กพวกนี้ทนแรงกดดันไม่ไหว อีกอย่าง วันหนึ่งมีนักเรียนฆ่าตัวตายทั่วทั้งประเทศกี่คนกันล่ะ ความจริงแล้วนับไม่ถ้วนเลย เพียงแต่คนทั่วไปไม่รู้เท่านั้นเอง หรือว่าพวกคุณอยู่วงการนี้ยังไม่รู้อีกเหรอ?”
“เอาที่อยู่สถาบันมาให้ฉัน” เริ่นจื่อหลิงแบมือยื่นออกไปทันที
“คุณคิดจะทำอะไร? พวกผมปิดคดีไปแล้ว พี่ช่วยอย่าก่อเรื่องจะได้ไหม”
“ฉันหาข้อมูลเผื่อหลานไม่ได้หรือไง! ในอนาคตหลานของฉันก็ต้องสอบเข้ามหา’ลัยเหมือนกันนะ!” เริ่นจื่อหลิงถลึงตาใส่
“หลาน หลาน??” หม่าโฮ่วเต๋ออึ้ง สองมือตบลงบนโต๊ะอย่างแรง ลุกขึ้นวิ่งมาอย่างลนลาน “เจ้าหนุ่มนี่สุดยอดจริงๆ!! ทำคนอื่นท้องโตซะแล้ว!! เยี่ยมไปเลย! ไม่ทันแต่งงานก็มีลูกแล้ว! สมแล้วที่ได้เชื้อพี่ใหญ่มาเต็มๆ!”
“พูดบ้าอะไรของนาย! ที่ฉันพูดหมายถึงล่วงหน้า! ล่วงหน้าน่ะ!” เริ่นจื่อหลิงถอนหายใจ แล้วพูดพึมพำกับตัวเอง “ฉันก็หวังว่าเขาจะเลิกเป็นคนเฉยชาสักที”
“เล่นเอาผมตกใจหมด…”
…
พอภูตดำหมายเลขสิบแปดเห็นเริ่นจื่อหลิงถือที่อยู่ของสถาบันสอนพิเศษเดินออกมาจากสถานีตำรวจ ก็รู้สึกกดดันทันที…มาฟัง ‘บุคคลสำคัญ’ สองท่านถกกันเรื่องนายท่านคนใหม่อยู่ที่นี่ มันดีจริงๆ เหรอ?
เมื่อไรภารกิจนี้ถึงจะสิ้นสุดสักที?
ภูตดำหมายเลขสิบแปดถอนหายใจ ลอยเหาะขึ้นมา…ผู้หญิงคนนี้ขับรถเร็วจริงๆ เผลอแป๊บเดียวก็ไม่รู้ว่าหายไปไหนแล้ว
“ภูตดำหมายเลขสิบแปด หยุดก่อนเถอะ”
“โอ้ คุณหนูโยวเย่!”
ภูตดำหมายเลขสิบแปดรีบหันมา ก็เห็นคุณสาวใช้ของสมาคมมาปรากฏตัวด้านหลังเธอโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียง
ในมือคุณสาวใช้ยังหิ้วถุงชอปปิงมาถุงหนึ่ง ด้านในใส่พวกผักสดและเนื้อไว้เต็ม “คุณมาได้ยังไงคะ? คุณหนูโยวเย่”
“หมายเลขสิบแปด อีกสองวัน เธอเตรียมตัวกลับมาพบนายท่านคนใหม่อย่างเป็นทางการนะ” โยวเย่พูดสั่งเบาๆ
ภูตดำหมายเลขสิบแปดถามอย่างงุนงง “แต่ว่า ไม่ต้องคุ้มครองคุณเริ่นคนนี้แล้วหรือคะ?”
คุณสาวใช้ตอบเสียงเรียบเฉย “นายท่านคนใหม่เปิดประตูมิติได้แล้ว ฉันซ่อนตัวเธอไม่ได้อีก อีกอย่าง นายท่านคนใหม่ได้พลังเพิ่มขึ้น ก็ไม่ต้องให้เธอทำงานส่วนนี้แล้วล่ะ”
“ประตูมิติเปิดแล้ว?” ภูตดำหมายเลขสิบแปดพูดอย่างตื่นเต้น “มิน่าล่ะ ฉันถึงรู้สึกไม่อยากเข้าใกล้คุณเริ่นตั้งแต่เมื่อวานแล้วค่ะ”
สำหรับทูตภูตดำที่กระจายอยู่ตามที่ต่างๆ ทั่วโลกนั้น การเปิดประตูมิติทำให้งานของพวกเขาง่ายขึ้น เมื่อตำแหน่งที่เรียกประตูมิติมีมากพอ ก็แสดงว่าทูตภูตดำแต่ละตัวก็จะมี ‘อาณาเขต’ เป็นของตัวเอง และไม่ต้องมาอยู่รวมกันที่เดียวหมด จนเกิดเหตุการณ์แย่งลูกค้ากัน
ส่วนความรู้สึกที่เธอไม่อยากเข้าใกล้นั้น เกรงว่าจะเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเจตนาของนายท่าน บางทีอาจจะไม่ได้มีเจตนาแบบนี้ แต่สำหรับภูตดำแล้วกลับสัมผัสได้อย่างแจ่มชัด
“อืม แต่นายท่านคนใหม่ยังไม่ได้เปิดจุดเชื่อมต่ออย่างเป็นทางการ” โยวเย่พูดเสียงเรียบ “นายท่านยังไม่ได้ตัดสินใจ พวกเราในฐานะผู้รับใช้ก็ไม่ควรเสนอ เข้าใจไหม”
“ฉันทราบแล้วค่ะ” ภูตดำหมายเลขสิบแปดพยักหน้าอย่างจำใจ
เธอรู้ว่าคุณสาวใช้กำลังเตือนเธอ ‘ห้ามเสนอให้นายท่านคนใหม่กำหนดจุดเชื่อมต่อในพื้นที่ที่เธอสะดวกและคุ้นเคยเด็ดขาด’
ตั้งแต่สามร้อยปีก่อนแล้ว หลังจากคุณสาวใช้คนนี้ได้ถือกำเนิดขึ้นมาในสมาคม ภูตดำที่ใจร้อนดุร้ายพวกนั้นก็ถูกจัดการจนเรียบ
“สองวันนี้เธอพักผ่อนสักหน่อยเถอะ” แล้วโยวเย่ก็เตรียมกลับ “ฉันต้องกลับไปเตรียมมื้อเย็นให้นายท่านแล้ว”
“คุณหนูโยวเย่เดินทางดีๆ นะคะ”
…
…
ณ สมาคม
ลั่วชิวยกแก้วชาดำขึ้นมาจิบด้วยความเคยชินคำหนึ่ง แล้วก็หยุดชะงัก เขาพบว่ารสชาติของชานี้แปลกไป จึงเงยหน้าขึ้นมาทันที
แล้วเขาก็พบว่าคนที่ส่งชาให้เขาไม่ใช่โยวเย่ แต่เป็นฉินชูอวี่
“สาวใช้ของคุณไปจ่ายตลาดค่ะ เธอสั่งให้ฉันเติมน้ำดื่มให้คุณไปก่อน” ฉินชูอวี่อย่างเฉยเมย
ไม่ได้เหมือนไม่พอใจ…แต่ก็เหมือนมีบางอย่างที่ไม่พอใจอยู่นะ
“คุ้นเคยกับที่นี่บ้างหรือยังครับ?” ลั่วชิววางแก้วชาลง แล้วถามเสียงเรียบเฉย
ฉินชูอวี่ตอบ “สำหรับฉันแล้ว จะพักอยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างกันหรอก แต่อยู่ที่นี่ช่วยให้ฉันฟื้นฟูพลังที่สูญเสียไปได้เร็วขึ้น”
ลั่วชิวได้ยินก็ถามด้วยความใคร่รู้ “ผมได้ยินไท่อินจื่อบอกว่า คนที่ฝึกวิชาในแผ่นตราหยกขาวนี้สำเร็จมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แถมวิชายังหายสาบสูญไปในช่วงคนรุ่นหลังคุณ หรือพูดได้ว่าในเวลาเกือบห้าร้อยปีมานี้ มีแค่คุณที่ฝึกสำเร็จ”
“คุณคิดจะพูดอะไร?” ฉินชูอวี่ถามอย่างเฉยชา
ลั่วชิวยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “ผมแค่แปลกใจ ว่าก่อนหน้านี้มีใครฝึกสำเร็จแล้วเป็นเหมือนอย่างคุณบ้างหรือเปล่า…แล้วในแต่ละภพแต่ละชาติใช้ชีวิตอยู่ที่ไหน”
“มีอะไรที่พวกคุณไม่รู้ด้วยเหรอ?” ฉินชูอวี่ถามอย่างเฉยชา “ทำไมยังต้องมาถามฉันอีก?”
เจ้าของร้านลั่วแค่ยิ้มๆ ไม่ได้ตอบคำถามนี้ บอกไม่ได้หรอกว่าข้อมูลข่าวสารมันต้องมีข้อแลกเปลี่ยน แต่รู้จากปากคุณ เราก็ไม่ต้องสิ้นเปลือง…ถ้าขี้เหนียวแบบนี้นะ
“นอกจากฉันแล้ว คนที่ฝึกวิชาเต๋าสำเร็จก็มีแค่สองคน คนหนึ่งคืออาจารย์ของฉัน อีกคนหนึ่งคือปรมาจารย์คนแรก” ฉินชูอวี่ตอบทันที “ฉันก็กำลังตามหาพวกเขาอยู่เหมือนกัน”
ลั่วชิวคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามอีกว่า “ในเมื่อคิดจะตามหาพวกเขา ทำไมไม่ขอให้พวกเราช่วยล่ะครับ?”
“ไม่จำเป็นหรอก” หลังจากฉินชูอวี่ยกน้ำชามาให้เรียบร้อยแล้ว ก็เดินกลับไปตรงมุมหนึ่งของห้องโถง ดูท่าทางจะเตรียมนั่งสมาธิ ก่อนที่เธอจะหลับตาลง ได้ยินเธอพูดเนิบๆ แค่ว่า “นี่ก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการบำเพ็ญเพียรเหมือนกัน”
ในที่สุด เธอหลับตาลง แล้วก็เข้าสู่ภวังค์ความคิดของตนเอง
ลั่วชิวเห็นฉินชูอวี่นั่งสมาธิ เขาก็ใจลอยไป คล้ายเห็นภาพนี้จากที่ไหนมาก่อน
ใช่แล้ว…รูปปั้นที่ซ่อนการ์ดทองเงินใบแรก
เขาก็ลืมเรื่องที่ตนเองลืมไปซะอย่างนี้เลยนะ
เจ้าของร้านลั่วส่ายหัวแล้วดูแผนที่โลกที่เพิ่งเปิดอ่านวันนี้ต่อ…โลกของผู้บำเพ็ญเพียรเข้าใจยากจริงๆ
ตอนนี้ได้เวลาคิดตำแหน่งประตูสักที
…
“…ถนนไฮเวย์หมายเลขยี่สิบสี่…ใช่แล้ว ตรงนี้แหละ”
หลังจากที่เริ่นจื่อหลิงมองที่อยู่ในมือและเทียบกับสถานที่เป้าหมายแล้ว เธอก็หยุดรถมองดูรอบๆ แถวนี้เป็นตึกสำนักงานทั้งหมด ถนนย่านการค้าที่ไกลที่สุดก็เกือบสองกิโลเมตร
เหมือนเป็นศูนย์รวมอาคารสำนักงานอะไรพวกนี้ แต่ก็ถือว่าเงียบสงบเช่นกัน ดูแล้วเหมาะใช้สอนพิเศษจริงๆ
“เจ้าของสถาบันสอนพิเศษนี้ก็ใส่ใจมากเหมือนกันนะเนี่ย”
หลังจากเริ่นจื่อหลิงสังเกตดูแวบหนึ่งแล้ว ก็เตรียมจะขึ้นไปบนอาคารใหญ่ของสถาบันสอนพิเศษตรงหน้านี้
ก่อนประตูลิฟต์จะปิดลง ก็มีเสียงรีบร้อนโพล่งขึ้นว่า “รอด้วยค่ะ รอก่อน!”
เริ่นจื่อหลิงกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์ ก็เห็นหนูน้อยหน้าตาสะอาดสะอ้านคนหนึ่งกำลังวิ่งมา ดูแล้วน่าจะอายุประมาณสิบแปดสิบเก้าปีล่ะมั้ง?
จริงสิ ยังถือนมเท่อหลุนซู**ในมือกล่องหนึ่งด้วย
มาเรียนพิเศษเหมือนกันเหรอ?
*Minesweeper (ไมน์สวีปเปอร์) คือ เกมคอมพิวเตอร์แบบเล่นคนเดียว มีเป้าหมายเพื่อเปิดพื้นที่ของทุ่งกับระเบิดทั้งหมด โดยไม่ทำให้ระเบิดทำงาน ปัจจุบันมีให้เล่นบนระบบคอมพิวเตอร์เกือบทุกแพลตฟอร์ม ฉบับที่รู้จักกันดีที่สุด คือ ฉบับที่ติดตั้งมาพร้อมกับไมโครซอฟท์ วินโดวส์ ตั้งแต่เวอร์ชัน 3.1 เป็นต้นมา
**นมเท่อหลุนซูเป็นเครื่องดื่มนมยี่ห้อดังที่สุดในประเทศจีน