ฮูหยินผู้เฒ่ายังมิทันรอให้คนที่ส่งไปจิงโจวกลับมาส่งข่าวด้วยซ้ำ หน่วยองครักษ์จิ่นหลินก็กลับมาแจ้งเสียก่อน หลัวซื่อจื่อไปตรวจสอบเรื่องราวที่หมู่บ้านสือหลี่ที่จิงโจว แต่พลาดตกลงไปในน้ำ โอวหยางเจ๋อรีบกระโดดเข้าไปช่วย ทั้งสองจึงหายสาบสูญไปพร้อมกัน ยามนี้ไม่ทราบเป็นหรือตาย
เวลานี้จวนแม่ทัพโอวหยางเจ๋อก็ได้รับข่าวเช่นกัน นางเจียงถึงกับหมดสติไปทันที เหล่าไท่จวินสกุลตู้เสียใจมาก ทั้งเป็นห่วงหลานสะใภ้ที่กำลังตั้งครรภ์จึงได้หมดสติไปอีกคน
ส่วนมารดาของโอวหยางเจ๋อนั้นสุขภาพมิใคร่แข็งแรงอยู่แล้วจึงไม่มีผู้ใดกล้าไปแจ้งข่าว ด้วยกลัวว่ายังมิทันแน่ใจว่าโอวหยางเจ๋อตายแล้วหรือไม่ แต่มารดาเอาจากโลกนี้ไปก่อนได้
เมื่อเหล่าไท่จวินฟื้นขึ้น มือที่จับไม้เท้านั้นสั่นจนแทบจับไม่อยู่ “ไปจวนเจินกั๋วกง”
“ฮูหยินผู้เฒ่าเจ้าคะ เหล่าไท่จวินสกุลตู้มาเจ้าค่ะ”
แม้สองตระกูลจะไปมาหาสู่กันด้วยดี แต่ทุกคราที่มาพบล้วนต้องแจ้งก่อนหรือไม่ก็ส่งเทียบเชิญ นี่เป็นครั้งแรกที่มาเยือนโดยมิได้บอกกล่าว ทว่าฮูหยินผู้เฒ่ากลับมิได้รู้สึกเหนือความคาดหมายอันใด นางเอ่ยเสียงขรึมว่า “รีบไปเชิญเข้ามา”
พูดพลางลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอกเพื่อต้อนรับ
“พี่สาว…” เมื่อเดินเข้ามา เหล่าไท่จวินสกุลตู้ก็เอ่ยเสียงสั่นทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าเดินไปหาแล้วกุมมือนางไว้ “เหล่าไท่จวิน เข้าไปพูดคุยกันข้างในเถิด”
กระทั่งนั่งเรียบร้อยแล้ว เหล่าไท่จวินก็ทนไม่ได้อีกต่อไป นางจับมือฮูหยินผู้เฒ่าไว้แล้วร้องไห้ออกมา “พี่สาว เหตุใดชีวิตเราถึงขมขื่นนัก เจ้าตัวอัปรีย์นั่นเพิ่งกลับเมืองหลวง ไม่นานก็ออกไปอย่างไม่บอกไม่กล่าว ผู้ใดจะทราบว่าจะได้รับข่าวเช่นนี้ ต้องให้หัวหงอกส่งหัวดำหรืออย่างไร…”
ฮูหยินผู้เฒ่านับว่าสุขุมยิ่ง นางตบมือเหล่าไท่จวินคราหนึ่ง “เหล่าไท่จวิน เจ้าอย่าเพิ่งคิดวุ่นวายไป เด็กสองคนนั้นดวงแข็งนัก ไม่แน่ว่าอีกไม่นานเราอาจได้รับข่าวดีก็เป็นได้”
เหล่าไท่จวินเช็ดน้ำตา “พี่สาว ท่านแค่เอ่ยปลอบใจข้าเท่านั้นเอง แม่น้ำสายนั้นไหลเชี่ยวเพียงใด ใครตกลงไปล้วนมิอาจกลับมา…”
ฮูหยินผู้เฒ่ามุมปากกระตุกคล้ายกำลังกลั้นความเจ็บปวดไว้ แล้วเอ่ยปลอบว่า “เด็กทั้งสองคนนั้นว่ายน้ำเก่งยิ่ง ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะไม่อยู่แล้ว เจ้าลืมแล้วหรือ เมื่อปีก่อนหลานชายคนโตข้าก็เคยพบกับอันตรายขณะออกไปล่าสัตว์ แม้แต่ศพเขาก็ถูกคนยกมาถึงจวนแล้ว สุดท้ายเป็นอย่างไร คนเป็นกลับเดินทางกลับมาพร้อมกับศพนั่น”
เหล่าไท่จวินรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อยจึงเอ่ยว่า “หลานสะใภ้สกุลเจียงของข้าช่างน่าสงสารนัก เมื่อทราบเรื่องก็ถึงกับตกเลือด”
“นางไม่เป็นไรใช่หรือไม่” ฮูหยินผู้เฒ่าฟังแล้วก็เจ็บปวดตามไปด้วย
“เคราะห์ดีที่สามเดือนแล้ว เด็กจึงมิเป็นอันใด แต่ตอนนี้นางเจียงยังคงเหม่อลอยดั่งคนไร้วิญญาณ ไม่ยอมพูดจาอันใดเลย ใช่แล้ว นางเจินเป็นเช่นใดบ้างเล่า”
เมื่อเหล่าไท่จวินเอ่ยถึงนางเจิน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงคิดอันใดขึ้นมาได้ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “เด็กคนนั้นไม่สบายเมื่อหลายวันก่อน เมื่อได้ยินข่าวนี้ก็หมดสติไปทันที ยามนี้ยังคงไม่ฟื้นด้วยซ้ำ”
ผู้เฒ่าทั้งสองต่างถอนหายใจออกมาพร้อมกัน
หลังจากนั้นเหล่าไท่จวินก็เอ่ยปากว่า “วันนี้ที่ข้ามาเพราะคิดจะชวนพี่สาวเข้าวังด้วยกัน หลานชายเรามิอาจหายไปโดยไม่มีการตรวจสอบเช่นนี้ได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าส่ายหน้า “เหล่าไท่จวิน ฟังข้าก่อนเถิด เรายังคงไม่ต้องทำอันใดดีที่สุด พวกเขาออกไปนอกเมืองอย่างลับๆ คงเพราะได้รับพระบัญชาจากฝ่าบาทให้ไปทำภารกิจอันใหญ่หลวงอันใดก็เป็นได้ เรามิต้องไป ฝ่าบาทก็ย่อมต้องมีคำตอบให้กับเราแน่”
เหล่าไท่จวินเชื่อนางจึงรีบกลับจวนตนไป ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจยาวออกมา แผ่นหลังที่ตั้งตรงนั้นพลันห่อเ**่ยวลงมาทันที
“ฮูหยินผู้เฒ่า…” แม่นมหยางที่ยืนอยู่ด้านข้างร้องขึ้นด้วยความเป็นห่วง
ฮูหยินผู้เฒ่าคล้ายชราลงไปหลายปี นางเอ่ยถามด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ได้ข่าวคราวของหลานสะใภ้ใหญ่บ้างหรือไม่”
“ยังเจ้าค่ะ เฉินอ๋องเป็นกังวลถึงชื่อเสียงของต้าไหน่ไหน่ จึงมิกล้าออกตามหาอย่างกระโตกกระตาก”
ฮูหยินผู้เฒ่าทุบโต๊ะคราหนึ่ง “หลานสะใภ้ถูกลักพาตัว หลานชายเกิดเรื่อง ช่างเคราะห์ซ้ำกรรมซัดยิ่ง…”
เอ่ยถึงตรงนี้ก็พลันชะงักกึก เม็ดเหงื่อไหลกลิ้งลงมาจากหน้าผาก “แม่นมหยาง เจ้าว่าเรื่องนี้จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของหลานสะใภ้หรือไม่ คงมิใช่เพราะคิดจะเล่นงานต้าหลังกระมัง”
“คนที่สามารถลักพาตัวต้าไหน่ไหน่จากรถม้าไปได้ย่อมมิใช่คนธรรมดา ต้าไหน่ไหน่เป็นสตรี ต่อให้ล่วงเกินผู้ก็เป็นเพียงความขัดแย้งเล็กน้อยของสตรีเท่านั้น เกรงว่าผู้ที่จับต้าไหน่ไหน่ไปจะหวังเล่นงานซื่อจื่อแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่ามีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เช่นนั้นหากข่าวการตกน้ำของต้าหลังแพร่ออกไป หลานสะใภ้ใหญ่คง…”
ประโยคหลังนางมิได้พูดออกมา แต่ในใจกลับทราบดี เกรงว่าครั้งนี้เจินเมี่ยวคงเคราะห์ร้ายแล้ว
บรรยากาศภายในห้องพลันตึงเครียดขึ้นมา
ผ่านไปนานฮูหยินผู้เฒ่าจึงถอนหายใจออกมา “ไม่ว่าอย่างไร ข่าวการถูกลักพาตัวไปของหลานสะใภ้นั้นเราต้องปิดให้เงียบที่สุด”
“ทว่าเมื่อข่าวการตกน้ำของซื่อจื่อแพร่ออกไป ถึงตอนนั้นจะมีคนมากมายมาที่จวน เกรงว่าเราคงปิดไม่ได้แล้ว”
“ปิดไม่ได้ก็ต้องปิด เรื่องที่นางป่วยมาหลายวันแล้ว คนในจวนต่างทราบกันดี ต้าหลังเกิดเรื่องนางจึงเสียใจจนอาการทรุดหนัก”
แม่นมหยางพลันเข้าใจในทันที
หากข่าวการตายของซื่อจื่อยืนยันจนแน่ชัดแล้วยังไม่ทราบข่าวของต้าไหน่ไหน่อีก ก็เกรงว่าคงถูกคนฆ่าปิดปากเป็นแน่ ทว่าเรื่องน่าอับอายเช่นนี้หากแพร่ออกไป ชื่อเสียงของต้าไหน่ไหน่คงป่นปี้ไม่เหลือชิ้นดี แม้ตายไปแล้วผู้คนก็ยังคงตำหนิติเตียน ชื่อเสียงจวนกั๋วกงก็พลอยเสื่อมเสียไปด้วย ดังนั้นการปล่อยข่าวออกไปว่าต้าไหน่ไหน่ป่วยหนักก็เพื่อดูว่าเหตุการณ์จะมีความเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางใดกันแน่
ข่าวคราวในเมืองหลวงนั้นแพร่ออกไปรวดเร็วเสมอ ไม่เกินสองวันผู้คนต่างก็เอ่ยซุบซิบกันแล้ว แต่จวนเจิ้นกั๋วกงและจวนแม่ทัพโอวหยางต่างไม่มีความเคลื่อนไหว ทั้งเบื้องบนก็มิได้แสดงท่าทีใด จึงมิอาจไปเยี่ยมเยือนถึงเรือนได้ ผู้ใดที่เกี่ยวดองเป็นญาติก็เพียงส่งคนไปสอบถามข่าวคราวเท่านั้น
โดยเฉพาะจวนเจี้ยนอานปั๋ว ยังมีเจินเหยียนอีกคน ทั่งสองฝ่ายต่างส่งคนมาถามข่าวคราวอยู่หลายคราด้วยกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ากังวลว่าคนของตระกูลเจินเมี่ยวจะต้องการพบคนให้ได้จึงจำต้องบอกข่าวอันคลุมเครือไปก่อน
แต่เรื่องที่ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ารับมือแทบไม่ทันคือนางเถียนที่ล้มป่วยมานานหลายเดือนกลับจากไปในวันที่หนึ่งเดือนห้ายามรุ่งสาง
เรื่องพิธีศพของนางเถียนนั้นได้มีการเตรียมการไว้นานแล้ว เมื่อนางจากไปเช่นนี้ แม้ไม่นับว่าฉุกละหุกเท่าใด แต่ก็ต้องเผชิญหน้ากับคนที่มาร่วมไว้อาลัยอย่างเสียไม่ได้ คุณชายรองที่ถูกไล่ให้ไปอยู่เรือนชานเมืองก็ถูกรับกลับมาด้วย
อาจเพราะหมู่บ้านนอกเมืองเงียบสงบและปลอดโปร่ง คุณชายรองสกุลหลัวจึงดูปกติขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก เขาคุกเข่าอยู่ต่อหน้าศพนางเถียนแล้วร่ำไห้ออกมาเสียงดัง
เมื่อร้องไห้พอแล้วก็ซวนเซลุกขึ้น เขามองไปโดยรอบแล้วหันไปพูดกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “ท่านย่า เหตุใดจึงไม่เห็นพี่สะใภ้ใหญ่เล่า”
ฮูหยินผู้เฒ่ามองคุณชายรองด้วยความผิดหวัง
นางอยู่มาจนอายุปูนนี้ ต่อให้คุณชายรองปิดบังไว้อย่างดีเพียงใด นางก็ดูออกว่าเด็กนี้โกรธแค้นนาง
เขาปล่อยให้น้องชายฝาแฝดต้องเสียชื่อเสียงแทนตนเอง คิดไม่ซื่อกับสตรีของบิดา ทั้งที่ไปสำนึกตัวที่หมู่บ้านอันเงียบสงบห่างไกลมาพักหนึ่งแล้วกลับยังคิดไม่ได้ กระทั่งเอาความโกรธแค้นนั้นมาลงกับตระกูลตน เขากลายเป็นเช่นนี้ไปตั้งแต่เมื่อใดกัน
“ต้าหลังไปราชการ” นางซ่งเอ่ยปากขึ้น
“แล้วพี่สะใภ้ใหญ่เล่า ท่านแม่จากไปแล้วนางยังไม่มาลาส่งงั้นหรือ”
“พี่สะใภ้ใหญ่เจ้าล้มป่วยเมื่อหลายวันก่อนจึงลุกจากเตียงไม่ไหว”
คุณชายรองแค่นยิ้มเย็น “พี่สะใภ้ใหญ่อายุยังน้อย เหตุใดจึงป่วยจนลุกไม่ไหวได้เล่า”
“หยุดพูดจาเหลวไหลได้แล้ว!” คุณชายสามเอ่ยตำหนิด้วยความโมโห “ท่านแม่จากไปแล้ว เจ้ายังจะก่อเรื่องต่อหน้าศพท่านแม่อีกหรือ”
เวลานี้เสียงประทัดก็ดังขึ้น คนที่มาร่วมไว้อาลัยต่างทยอยกันเข้ามา
คุณชายรองคุกเข่าลงไปอีกครั้งด้วยใบหน้าเฉยชา
ครั้นเห็นเขาสงบลงแล้ว คุณชายสามก็ถอยไปคุกเข่าลงด้านข้างเช่นกัน
สาวใช้ประคองฮูหยินผู้เฒ่าเดินเปลี่ยนทิศไปยังห้องโถง
ฮูหยินทั้งสามของจวนเจี้ยนอานปั๋วต่างมากันครบแล้ว นางเวินที่เฝ้าห่วงหาเจินเมี่ยวจึงมองไปรอบทิศทันทีที่จุดธูปไหว้ศพเสร็จ
คุณชายรองพลันเอ่ยปากขึ้นทันทีว่า “ไท่ไท่สกุลเวินมองหาพี่สะใภ้ใหญ่หรือ นางป่วยลุกจากเตียงไม่ไหวจึงมามิได้”
นางเวินหน้าถอดสีไปทันที จนนางเกือบจะล้มคว่ำหมดสติอยู่ตรงนั้นแล้ว
นายท่านสี่สกุลหลัวและคนทั้งหลายต่างหันไปมองคุณชายรองอย่างขุ่นเคือง แต่เขากลับคุกเข่าอยู่ตรงนั้นไม่เหลือบสายตาขึ้นมาสักนิด
เขาเป็นบุตรชายคนโตของนางเถียน ไม่ว่าอย่างไรก็มิอาจแยกเขาออกไปได้ในเวลานี้
นางเวินจึงเอ่ยขอร้องฮูหยินผู้เฒ่าทันที “ข้าอยากพบเมี่ยวเอ๋อร์”
แขกเหรื่อภายในห้องยังมีอีกไม่น้อย ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธกรุ่นอยู่ในใจยิ่ง
เดิมนางคิดไว้แล้วว่าจะเชิญนางเวินไปพูดคุยเป็นการส่วนตัว ทั้งบอกนางว่าหลานสะใภ้ใหญ่ป่วยเป็นโรคติดต่อ จึงมิอาจพบผู้คนได้ รอให้ดีขึ้นอีกสักหน่อยจะเชิญนางมาเยี่ยมด้วยตนเอง แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อคุณชายรองเอ่ยเช่นนี้ออกมา นางเวินกลับเป็นกังวลจนเอ่ยวาจาขึ้นต่อหน้าแขกเหรื่อทั้งหลายในห้อง
เมื่อนางพูดขอต่อหน้าคนทั้งหลายเช่นนี้ นางจะบอกว่าหลานสะใภ้ใหญ่ป่วยด้วยโรคเช่นนั้นได้อย่างไร!
เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าเงียบไป นางเวินก็ยิ่งกังวล นางปิดปากร่ำไห้ขึ้นว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า หรือเมี่ยวเอ๋อร์ผู้น่าสงสารของข้าป่วยหนักจนจะไม่ไหวแล้ว”
มิเช่นนั้นเหตุใดจึงมิเห็นนางทั้งที่เป็นพิธีศพของนางเถียนเล่า
ระยะนี้ผู้คนต่างลือถึงเรื่องที่หลัวซื่อจื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน แต่จวนกั๋วกงมิพูดอันใด นางจึงคิดว่าเป็นเพียงข่าวลือ แต่ยามนี้คิดว่าคงเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว เมี่ยวเอ๋อร์ถึงได้ป่วยหนักลงเช่นนี้
นางเวินร้องไห้กระซิกๆ เถียนเสวี่ยที่ยืนอยู่ข้างฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยปากขึ้นทันทีว่า “ไท่ไท่สกุลเวิน ท่านอย่าได้ร้อนใจไป อาการป่วยของพี่สะใภ้ใหญ่นั้นแค่มิอาจออกมาตากลมได้ ข้าจะพาท่านไปพบพบพูดคุยอยู่หลังม่านกั้นเองเจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ นางเวินก็โล่งอกแล้วรีบเดินตามไปทันที
“หลานสะใภ้สาม…”
เถียนเสวี่ยหันกลับไปยิ้มให้ฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่าวางใจเถิด ข้าจะรีบไปรีบกลับ เมื่อวานตอนไปเยี่ยนพี่สะใภ้ นางยังพูกับข้าอยู่หลังม่านนั้นเลยกว่ากลัวไท่ไท่สกุลเวินจะเป็นห่วง”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่เผยพิรุธใด เพียงพยักหน้ารับแล้วเอ่ยว่า “เจ้าไปเถิด อย่าเดินเร็วนักเล่า ระวังครรภ์เจ้าด้วย”
บรรดาสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายจึงละความสงสัยไปได้
เมื่อเรื่องนี้ผ่านไป ฮูหยินผู้เฒ่าก็เรียกเถียนเสวี่ยเข้ามาถาม นางเพียงตอบว่า “ข้าพาไท่ไท่สกุลเวินไปที่ที่ไร้ผู้คนแล้วบอกเล่าถึงความลำบากใจของท่านย่าให้นางฟังเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าผ่อนลมหายใจออกมาทันที “โชคดีที่เจ้ามีไหวพริบ”
ดึกสงัดฮูหยินผู้เฒ่านอนไม่หลับ อายุมากแล้วจึงมักลุกไปปลดทุกข์เบา เมื่อกลับมาจากสุขา เพิ่งล้มตัวลงนอนที่เตียงก็ได้ยินเสียงเรียกแผ่วเบาว่า “ท่านย่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วทำให้เท้าเตะไปถูกเก้าอี้ล้มคว่ำ
เมื่อได้ยินเสียงดังลอยมา หงฝูที่นอนเฝ้าอยู่ด้านนอกก็รีบใส่เสื้อคลุมพลางร้องถาม “ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเป็นอันใดหรือไม่เจ้าคะ”
ครั้นนางเอ่ยปากถาม ภายในห้องกลับเงียบสงัดไร้ความเคลื่อนไหว
ฮูหยินผู้เฒ่าใจเต้นตึกตัก นางกระแอมไอออกมาก่อนเอ่ยเสียงสูงว่า “มิเป็นอันใด ข้าแค่จะไปห้องสุขา แต่ลุกเร็วไปหน่อย แต่ตอนนี้ไม่อยากไปแล้ว เจ้ารีบนอนเถิด หากมีเสียงอันใดดังขึ้นอีก ข้าคงนอนไม่หลับแน่”
“เจ้าค่ะ” หงฝูเอ่ยรับคำ
ภายในห้องเงียบลงอีกครั้ง มีเพียงตะเกียงที่วางอยู่บนตู้ข้างเตียงที่ส่องแสงวูบไหว ประเดี๋ยวมืดประเดี๋ยวสว่าง
“ต้าหลัง เป็นเจ้าหรือไม่ วิญญาณของเจ้ากลับมาเยี่ยมย่าหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้ออกมาพลางเอ่ยถามเสียงแผ่ว