ผ่านไปนาน เสียงที่แฝงไปด้วยความจนใจของหลัวเทียนเฉิงดังขึ้น “ท่านย่า เหตุใดจึงคิดว่าวิญญาณหลานมาเยี่ยมท่านมากกว่าการที่หลานกลับมาแล้วเล่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าผุดลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหันที่หัวเตียง นางก็ฟาดฝ่ามือใส่เขาทันที “เจ้าเด็กโชคร้ายผู้นี้ กลับก็ควรกลับมาดีๆ เหตุใดจึงโผล่มายามดึกสงัดเช่นนี้ คิดจะหลอกให้ข้าตกใจใช่หรือไม่”
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเริ่มโมโห เสียงที่เอ่ยจึงดังขึ้น หงฝูที่เป็นห่วงฮูหยินผู้เฒ่ายิ่งนั้นมิได้ถอดเสื้อคลุมออกเลย นางจึงลงจากเตียงวิ่งเข้ามาดู เมื่อเห็นข้างเตียงมีเงาอีกเงาหนึ่งเพิ่มขึ้นมา นางก็รีบปิดปากตนไว้ปล่อยให้เสียงกรีดร้องหยุดอยู่ที่คอหอยเท่านั้น
สาวใช้ใหญ่ที่ดูแลรับใช้ฮูหยินผู้เฒ่ามานานเช่นนางนั้นสลักความสุขุมเข้าไปในกระดูกเสียนานแล้ว เพราะหากฮูหยินผู้เฒ่าที่อายุปูนนี้เกิดตกใจกับเสียงกรีดร้องของตนจนเป็นอันใดไป คนในบ้านคงได้ประสบเคราะห์ภัยไปกับนางแน่
ฮูหยินผู้เฒ่าชำเลืองมองหงฝูคราหนึ่งแล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ออกไปเถิด”
หงฝูไม่ต่างอันใดกับแม่นมหยาง ล้วนเป็นคนที่นางเชื่อใจ เรื่องนี้จึงมิต้องกังวลใดๆ เลย
เพราะแสงตะเกียงอันสลัวรางนั้นทำให้หงฝูเห็นแล้วว่าคนผู้นั้นคือใคร นางจึงก้มหน้าลงย่อกายคารวะแล้วเดินออกไปเงียบๆ
หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยว่า “หลานมีความจำเป็นขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าเลิกคิ้วขึ้น “พูดมาว่าเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
หลัวเทียนเฉิงมิได้ตอบคำถามของฮูหยินผู้เฒ่า แต่กลับเอ่ยถามด้วยท่าทีเคร่งขรึมว่า “ท่านย่า เจี๋ยวเจี่ยวเล่า ข้าแฝงตัวกลับมาเมืองหลวงจึงได้ยินข่าวว่านางล้มป่วย เมื่อครู่ข้าลอบเข้าไปในเรือนชิงเฟิงแต่กลับมิเห็นนาง”
ฮูหยินผู้เฒ่ามองเขาคราหนึ่ง นางรู้ทันทีว่าหากไม่มีข่าวลือว่าเจินเมี่ยวล้มป่วย เกรงว่าหลานชายผู้นี้ก็คงจะหาตัวไม่พบอย่างไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีแน่ จึงอดมองเขาด้วยสายตาตำหนิมิได้ แต่ก็เข้าใจในความลำบากของเขา ชั่วขณะนั้นจึงไม่ทราบว่าควรโมโหหรือดีใจดี
หลานชายที่นางเลี้ยงมากับมือ กลับเห็นนางสำคัญน้อยกว่าภรรยาอีกงั้นหรือ
“เจินเมี่ยว…นางหายตัวไป”
หลัวเทียนเฉิงกำหมัดแน่น ริมฝีปากบางเม้มแน่น สีหน้าไม่เผยอารมณ์ใดเลยสักนิด ผ่านไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยถามด้วยเสียงเรียบนิ่งว่า “หายตัวไปได้อย่างไร”
“หลังกลับมาจากงานมงคลของเฉินอ๋อง นางก็หายตัวไประหว่างเดินทางกลับจวน” ฮูหยินผู้เฒ่าถอนหายใจออกมา
“แล้วเฉินอ๋อง…”
“วันนั้นข้าได้ส่งสารไปที่จวนอ๋องแล้ว หลายวันมานี้คนของจวนอ๋องก็ออกตามหาอยู่ แต่ไม่กล้าทำอย่างโจ่งแจ้งนัก”
หลัวเทียนเฉิงคลายหมัดตนออก “ท่านย่า ท่านพักผ่อนเถิด หลานต้องไปก่อนแล้ว”
เขาพูดจบก็เปิดหน้าต่างแล้วกระโดดออกไปอย่างคล่องแคล่ว
ฮูหยินผู้เฒ่าวิ่งตามไป แต่ในความมืดมิดนั้นกลับมองไม่เห็นแม้แต่เงาคน
ฮูหยินผู้เฒ่าโกรธจนต้องกระทืบเท้า “เจ้าเด็กเหม็นเน่า ยังมิทันได้บอกข้าว่าเกิดเรื่องใดขึ้นก็ไปเสียแล้ว!”
แม้จะพูดเช่นนี้ แต่นางกลับเผยรอยยิ้มออกมาอย่างที่มิได้เห็นมาหลายวัน
ไม่ว่าอย่างไร ต้าหลังก็ปลอดภัยกลับมาแล้ว ส่วนเรื่องของหลานสะใภ้ใหญ่ นางเชื่อว่าจะต้องปลอดภัยแน่เมื่อต้าหลังยังคงอยู่
เดี๋ยวก่อน ยังมิทันได้ถามถึงโอวหยางเจ๋อว่าเป็นอย่างไรบ้างเลย!
ฮูหยินผู้เฒ่าเกาะขอบหน้าต่างมองออกไปด้านนอกอยู่นาน กระทั่งยืนไม่ไหวแล้วจึงค่อยๆ เดินกลับไปที่เตียง เมื่อนอนลง ไม่นานก็หลับไป
หงฝูเดินเข้ามาอย่างเงียบๆ เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าหลับไปแล้วจึงดึงผ้าห่มขึ้นคลุมให้อย่างเบามือ แล้วเดินออกไปเงียบๆ
องค์ชายหกนอนอยู่บนเตียงในห้องตำรา ได้แต่พลิกกายไปมาเพราะนอนไม่หลับ
จยาหมิงหายตัวไป เขาให้องครักษ์ลับของจวนเฉินอ๋องออกไปตามหา แต่ก็ยังไม่ได้เบาะแสอันใด หากหลัวเทียนเฉิงกลับมา เขาจะตอบหลัวเทียนเฉิงว่าอย่างไรเล่า
เขาลุกขึ้นเดินไปยืนอยู่หน้าชั้นวางตำราครู่หนึ่ง แล้วโค้งกายลงไปหยิบภาพวาดที่ซ่อนอยู่ในช่องลับออกมาคลี่ดู เขาอาศัยแสงไฟอันขมุกขมัวนั้นจ้องมองคนบนภาพวาดด้วยสายตาอันอ่อนโยน
หากนางรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับจยาหมิงขึ้นคงเป็นห่วงยิ่งกระมัง
องค์ชายหกยื่นมือออกไปลูบหญิงงามบนภาพวาดนั้นอย่างเบามือ รอยยิ้มของคนผู้นั้นค่อยๆ ซ้อนทับเข้ากับภาพอันสดใสของคนอีกผู้หนึ่ง
จยาหมิงคงมิได้พบกับเรื่องเช่นนั้นกระมัง
เมื่อคิดเช่นนี้โทสะก็พวยพุ่งขึ้นมาในใจเขาทันที สมควรตายจริงๆ!
ภายในห้องเงียบสงัดและมิได้จุดเทียน มีเพียงแสงจันทร์ที่สาดเข้ามาทางหน้าต่าง ส่องให้พื้นกลายเป็นสีขาวราวน้ำค้างชั้นหนึ่ง ไข่มุกราตรีที่แขวนอยู่บนผนังส่องสะท้อนกับแสงจันทร์ทำให้ห้องสว่างขึ้นมา แต่แสงอันนิ่งสงบนั้นกลับพลันกระเพื่อมไหว
องค์ชายหกชะงักไป เขารีบเก็บภาพนั้นไว้ทันที แล้วจ้องมองไข่มุกราตรีนั้นนิ่ง ทุกคราที่มันขยับแสงในห้องก็พลันวูบไหว เมื่อมันวูบไหวอีกคราจนครบสามครั้ง ทุกอย่างก็กลับมาสงบเช่นเดิม
องค์ชายหกเดินเข้าไปกดที่ใต้ภาพแขวนผนังภาพหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงแกร็กๆ เบาๆ เมื่อเขาผลักมือออก ภาพแขวนผนังนั้นก็ค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นทางอันมืดมิดสายหนึ่ง
นี่เป็นกลไกที่มหัศจรรย์ยิ่ง หากคิดจะใช้ทางลับมาโผล่ที่ห้องตำราจะต้องให้คนในห้องตำราเปิดประตูให้จึงจะได้ แต่หากคนในห้องคิดจะเข้าไปก็สามารถเปิดมันได้ทุกเมื่อ เพราะช่องทางลับนี้มีไว้เพื่อความปลอดภัยของเจ้าของห้อง
หลัวเทียนเฉิงเดินออกมาจากความมืดมิดนั้น
เขาสวมชุดดำที่แทบจะหายกลืนเข้าไปในความมืดมิด ดูไปแล้วก็คล้ายว่าความมืดได้ย่างกรายเข้ามาในห้องนี้อย่างไรอย่างนั้น
มุมปากองค์ชายหกค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา เขายื่นมือไปตบบ่าหลัวเทียนเฉิง “ข้ารู้ว่าเจ้าต้องไม่เป็นอันใดแน่!”
ทว่าหลัวเทียนเฉิงกลับไม่มีรอยยิ้มบนใบหน้าสักนิด เมื่อเดินออกมาจากความมืดมิดนั้นเขาก็โค้งกายคารวะแล้วเอ่ยถามว่า “ท่านอ๋องสืบได้ความว่าอย่างไรบ้าง”
“จิ่นหมิงคิดว่าผู้ใดลักพาตัวจยาหมิงไปหรือ”
“เสนาบดีกรมพิธีการ หยางอวี้เต๋อ!” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเน้นย้ำออกมาทีละคำ
องค์ชายหกเลิกคิ้วขึ้นด้วยความสนใจ “จิ่นหมิงไปจิงโจวครานี้ได้หลักฐานสำคัญมาด้วยใช่หรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงมององค์ชายหกแล้วยิ้มเยาะในใจ ไม่ผิดจากที่คาดไว้ สำหรับท่านอ๋องทั้งหลายคงไม่มีอันใดสำคัญไปกว่าอำนาจของพวกเขาแล้ว
เขาเองก็เป็นบุรุษจึงเข้าใจดีถึงเสน่ห์เย้ายวนของอำนาจ และพวกเขาทั้งสองก็ลงเรือลำเดียวกันแล้ว จึงเลือกที่จะปิดบังความไม่พอใจนั้นไว้ แล้วพยักหน้ารับอย่างสำรวม
องค์ชายหกตาเป็นประกายขึ้นมาทันที ครู่เดียวก็กลับมาเป็นปกติ แล้วเอ่ยว่า “หลายวันมานี้ข้าส่งคนไปจับตาดูจวนเสนาบดีและจวนเยี่ยนอ๋องไว้แล้วแต่ก็มิพบอันใดผิดปกติ ไม่รู้ว่าพวกเขาเอาจยาหมิงไปซ่อนไว้ที่ใด”
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกผิดหวังยิ่งจึงกัดฟันเอ่ยว่า “ข้าจะไปหาหยางอวี้เต๋อ”
องค์ชายหกขวางเขาไว้ “จิ่นหมิง หยางอวี้เต๋อต้องให้เจ้าทำลายหลักฐานและทูลต่อเสด็จพ่อว่าไม่มีอันใดผิดปกติที่จิงโจวแน่ เช่นนี้เขาจึงจะปล่อยจยาหมิง”
ครานี้เป็นโอกาสอันดีที่จะล้มเยี่ยนอ๋อง หากพลาดไปก็ยากจะมีโอกาสเช่นนี้อีก
“แล้วอย่างไรเล่า” หลัวเทียนเฉิงสบตากับองค์ชายหกด้วยความสงบนิ่ง น้ำเสียงราบเรียบ ท่าทีจริงจังอย่างที่สุด “ท่านอ๋องอาจไม่เข้าใจ แต่สำหรับเทียนเฉิงแล้ว ความปลอดภัยของนางสำคัญกว่าทุกสิ่ง ไม่ว่าเรื่องใดล้วนเริ่มใหม่ได้เสมอ แต่หากเกิดเรื่องขึ้นกับคนผู้หนึ่งแล้วย่อมมิอาจเรียกคืนมาได้ตลอดกาล”
องค์ชายหกหลับตาลงอยู่นาน จึงลืมตาขึ้นแล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “เจ้าพูดถูก ข้าเชื่อเจ้า หากคิดจะล้มเยี่ยนอ๋อง เรายังคงมีวิธีอื่นอีก”
หากคนผู้นั้นเป็นจยาหมิง การที่เขายอมถอยสักคราก็นับว่าคุ้มค่า เพื่อ ‘นาง’ จะได้มิเสียใจ
หลัวเทียนเฉิงลอบผ่อนลมหายใจอยู่ในอก
เมื่อครู่เขาเพียงแค่ลองใจเฉินอ๋องเท่านั้น
สำหรับอ๋องที่มีใจปรารถนาในตำแหน่งจักรพรรดิ เขามิขอให้คนผู้นั้นมีจิตใจเมตตาอารี เพราะในการปกครองและบริหารบ้านเมืองที่เต็มไปด้วยการแก่งแย่งอันดุเดือดนี้ ผู้ที่มีใจเมตตาคงยากจะรอดชีวิตไปได้ แต่อย่างน้อยก็ต้องรู้ว่าอันใดคือสิ่งที่มิอาจแตะต้องได้ของคนที่เคารพและติดตามเขา ‘กระต่ายม้วย ต้มสุนัข’ นั้นเป็นเรื่องที่คนซึ่งคอยสนับสนุนเชื้อพระวงศ์ให้ขึ้นครองบัลลังก์ต่างกลัวทั้งสิ้น
เขายืนอยู่บนถนน เมื่อได้ยินเสียงป่าวร้องบอกเวลามาแต่ไกลก็พลันหยุดฝีเท้าลง เขากระโดดขึ้นลงไม่กี่คราก็หลายลับไปในมุมถนนนั้นทันที
เสนาบดีหยางนอนไม่หลับเช่นกัน แม้ข่าวการตกน้ำของหลัวเทียนเฉิงกับโอวหยางเจ๋อจะแพร่ไปทั่ว แต่เขากลับยังไม่วางใจ มักรู้สึกเสมอว่าคนเช่นนั้นจะหายสาบสูญไปตามแผนการของเขาง่ายๆ เช่นนี้ได้จริงๆ หรือ
เขาพลิกกายไปมาหลายครา เมื่อรู้สึกกระหายจึงลุกขึ้นนั่ง ครั้นคิดจะลงจากเตียงก็ตัวแข็งไปทันที
ที่ริมหน้าต่างมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่
“หลัวซื่อจื่อ?” หลังจากความหวาดกลัวและตกใจผ่านไป เสนาบดีหยางก็หาเสียงของตนจนเจอ เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่ติดสั่นเครืออยู่บ้างว่า “เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”
หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้นเอ่ยเสียงราบเรียบว่า “แค่ลองเสี่ยงดูเท่านั้น”
เสนาบดีหยางเป็นเสนาบดีแห่งกรมพิธีการ ย่อมต้องให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์เป็นพิเศษ ในจวนจึงไม่มีอนุเลยสักคน วันนี้มิใช่วันที่หนึ่งและมิใช่วันที่สิบห้า คิดว่าฮูหยินเสนาบดีที่อายุเลยครึ่งร้อยมาแล้วคงมิอาจรั้งใจคนไว้ได้ เช่นนั้นเขาคงต้องอยู่ที่ห้องตำราเป็นแน่
หลัวเทียนเฉิงมุ่งตรงไปที่นั่นทันที เพราะกลัวว่าหากช้าไปเพียงเค่อ เจี๋ยวเจี่ยวก็จะมีอันตรายเพิ่มขึ้นไปอีกหนึ่งเค่อ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งคือต้องการให้เสนาบดีหยางเกิดความกังวลจนไม่กล้าทำอันใดส่งเดช
เสนาบดีหยางกลับคืนสู่ท่าทีสุขุมอีกครา แต่เบื้องลึกในดวงตากลับเต็มไปด้วยความกังวล “หลัวซื่อจื่อช่างวาสนามากมี ดวงชะตาแข็งกร้าวยิ่ง”
“เป็นเพราะบารมีของเสนาบดีหยางแท้ๆ เรามาพูดคุยกันอย่างเปิดอกดีกว่า ฮูหยินข้าอยู่ที่ใด”
เสนาบดีหยางจ้องหลัวเทียนเฉิงนิ่งแล้วหัวเราะแหะๆ ออกมา “หลัวซื่อจื่อรักใคร่ปรองดองกับฮูหยินนั้นมิใช่ข่าวลือจริงๆ ด้วย หลัวซื่อจื่อวางใจได้ จยาหมิงเซี่ยนจู่อยู่ในที่ที่ปลอดภัยแล้ว ขอเพียงหลัวซื่อจื่อรู้ว่าควรต้องทำเช่นไร ถึงตอนนั้นนางย่อมกลับไปหาท่านอย่างปลอดภัยแน่”
“เสนาบดีหยางพูดจาไร้หลักฐาน ข้าคงต้องของดูสิ่งของของฮูหยินก่อน”
“หลัวซื่อจื่อโปรดรอสักครู่” เสนาบดีหยางสั่นกระดิ่งคราหนึ่งก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามา
“เอาของออกมา”
บุรุษผู้นั้นหมุนกายเดินจากไป ไม่นานก็กลับเข้ามา โดยในมือมี**บใบหนึ่งเพิ่มมาด้วย
“หลัวซื่อจื่อเชิญดูได้”
หลัวเทียนเฉิงยื่นมือไปรับมา เขาเปิด**บออก ก็เห็นปิ่นดอกท้อคู่หนึ่งวางอยู่
ท่าทีเขาดูตึงเครียดขึ้นมา ปิ่นดอกท้อนี้เขาเป็นคนสลักเองกับมือแล้วมอบให้นางในปีที่แต่งงานกัน เจี๋ยวเจี่ยวมักประดับมันบนมวยผมทุกคราเมื่อถึงยามวสันต์และคิมหันต์
เมื่อเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของหลัวเทียนเฉิง เสนาบดีหยางก็ยิ้มด้วยความพอใจ “หลัวซื่อจื่อ เป็นอย่างไรบ้าง”
หลัวเทียนเฉิงมองเขาคราหนึ่งแล้วเม้มริมฝีปากแน่น “พรุ่งนี้ข้าจะปรากฏตัวขึ้นที่เมืองหลวงแล้วไปทูลรายงานต่อฝ่าบาท”
“หลัวเทียนเฉิงช่างฉลาดนัก” เสนาบดีหยางหัวเราะเสียงดังออกมา
หลัวเทียนเฉิงออกมาจากจวนของเสนาบดีหยาง ก็มุ่งหน้าไปพบโอวหยางเจ๋อทันที
“หา ท่านจะทูลต่อฝ่าบาทว่าสืบความแล้วมิพบสิ่งใดผิดปรกติงั้นหรือ”
“ใช่ เจ้าคงต้องหลบซ่อนตัวอยู่ก่อนสักระยะ รอจนข้าส่งข่าวมาค่อยปรากฏตัวแล้วเอาหลักฐานทั้งหมดถวายฝ่าบาทไปเสีย”
โอวหยางเจ๋อส่ายหน้าติดๆ กัน “จะทำเช่นนั้นได้อย่างไร หลักฐานเหล่านี้ท่านเป็นคนหามาได้ ข้าแค่เป็นผู้ช่วยเท่านั้น เช่นนี้มิใช่แย่งเอาความดีความชอบของท่านหรอกหรือ ทั้งฝ่าบาทอาจจะตำหนิว่าท่านทำงานไม่เต็มที่อีกด้วย”
“ข้ายินดียกความดีความชอบให้เจ้า ไม่ได้หรือไร”
“ไม่ได้ การแย่งเอาความดีความชอบเช่นนี้ ข้าทำไม่ได้”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมา “เช่นนั้นก็ถือว่าช่วยข้าสักคราแล้วกัน หากตระกูลหยางล่มสลาย เกรงว่าเยี่ยนอ๋องคงไม่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอีก ที่เหลือก็มีเพียงซิ่งอ๋อง กุ้ยอ๋องและเฉินอ๋อง ข้าไม่อยากจะเอาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว”
โอวหยางเจ๋อรู้สึกว่าเรื่องนี้นั้นมิธรรมดา แต่เมื่ออีกฝ่ายไม่พูด เขาก็ไม่ควรถามต่อ จึงได้แต่พยักหน้ารับ