ระยะนี้องค์ชายสามอารมณ์มิใคร่จะดีนัก เพราะมีข่าวเรื่องการเลือกคู่ของฉงสี่เซี่ยนจู่ออกมาจากวังจั่งกงจู่ นางต้องการบุรุษที่เก่งกาจในการเดินหมากรุก ทั้งยังต้องปิดตาเดินหมากได้อีกด้วย!
เรื่องพิณ หมากรุก พู่กันและการวาดภาพ เขาย่อมทำได้อย่างแน่นอน แต่ไม่ว่าด้านใดก็เพียงรู้อย่างเล็กน้อยเท่านั้น หากบอกว่าเก่งกาจคงมิได้เป็นแน่
เพราะเรื่องอันเหลวไหลนี่เองทำให้มันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่คนพูดถึงอย่างมากในเวลาอันรวดเร็ว ทั้งยังมีบุรุษหนุ่มมากความสามารถหลายคนคิดจะเข้าไปลองดูสักครา
สิ่งเดียวที่ทำให้เขาพอรู้สึกดีได้อยู่บ้างคือ ฝีมือการเดินหมากของกุ้ยอ๋องก็มิต่างอันใดกับเขา จึงได้แต่มองตาปริบๆ เท่านั้น
ท่ามกลางไอหมอกในยามเช้า ก็มีสาวใช้ใหญ่ผู้หนึ่งรีบร้อนเดินเข้ามา “ท่านอ๋อง พระราชนัดดามิใคร่สบายนักมาตั้งแต่เช้าแล้ว ท่านจะไปดูสักหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
องค์ชายสามรีบเก็บความคิดทุกอย่างไว้ทันที แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินตามสาวใช้ผู้นั้นไป
พระราชนัดดาน้อยกำลังพยายามลุกขึ้นนั่ง แต่ก็ถูกแม่นมหนิวจับไว้ “พระราชนัดดายังเยาว์นัก หากไม่สบายก็ต้องพักผ่อนให้มาก ไม่อาจเที่ยวไปวิ่งเล่นได้”
“แต่ข้ายังต้องไปเรียนตำรากับอาจารย์ เมื่อวานข้าเขียนอักษรเป็นแล้ว ต้องเอาไปให้อาจารย์ดู”
แม่นมหรงที่ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยเตือนว่า “พระราชนัดดารักษาตนให้หายดีก่อนจึงจะมีแรงไปคัดอักษร เช่นนี้จะยิ่งเขียนได้งดงามยิ่งขึ้น อาจารย์เห็นแล้วคงดีใจมากแน่เจ้าค่ะ”
อาจเพราะแม่นมหรงพูดตรงใจเขา หรืออาจเพราะเขาใกล้ชิดกับแม่นมหรงมากกว่าผู้ใด เมื่อฟังนางพูดแล้วก็หยุดดิ้นรน
แม่นมหนิวเห็นแล้วก็ได้แต่ลอบกัดฟัน ทั้งกลอกตาใส่แม่นมหรงคราหนึ่ง
หากพูดถึงฐานะ นางต่างหากที่ใหญ่ที่สุดในเรือนนี้แต่หากพูดถึงความสำคัญ สำหรับพระราชนัดดาแล้วแม่นมหรงคงสำคัญที่สุด นางจึงได้แต่แค้นเคืองที่ตนเกิดเร็วไปสิบปี
“แค็กๆ” องค์ชายสามกระแอมไอขึ้นมา
สาวใช้ในห้องจึงรีบคุกเข่าลงทันที
“พระบิดา…” เมื่อเห็นองค์ชายสาม พระราชนัดดาน้อยก็ยิ้มออกมา
องค์ชายสามเดินผ่านบ่าวไพร่ที่คุกเข่าอยู่เข้าไปหาพระราชนัดดาน้อย เมื่อยื่นมืออังที่หน้าผากเขาแล้วก็ต้องขมวดคิ้วเอ่ยว่า “ตัวร้อนอยู่เล็กน้อย วันนี้พักผ่อนเถิด”
พระราชนัดดาแม้ยังเยาว์แต่หลังจากที่องค์ชายสามค้นพบความฉลาดของเขาก็กลับเข้มงวดขึ้นมา ทั้งยังเอาความหวังทั้งหมดฝากไว้ที่เขาอีกด้วย
พระราชนัดดาน้อยพยักหน้าอย่างว่าง่าย “อืม”
“เหตุใดจิ่งเกอจึงตัวร้อนเช่นนี้”
แม่นมหรงคุกเข่าลง “เป็นความผิดของบ่าวเองเจ้าค่ะ เมื่อวานพระราชนัดดาถีบผ้าห่มออกทำให้ไม่สบาย”
จิ่งเกอรีบอธิบายทันที “พระบิดา ไม่เกี่ยวอันใดกับแม่นมเลย จิ่งเกอโตแล้ว จึงมิอาจให้แม่นมนอนด้วยอีก เมื่อวานจึงให้นางไปนอนนอกห้องแทน”
สายตาองค์ชายสามหยุดอยู่ที่แม่นมหรง
นางคุกเข่าอยู่บนพื้น ร่างโค้งต่ำลงเล็กน้อย เพราะยามนี้ผลัดเปลี่ยนเป็นอาภรณ์ยามคิมหันต์ทำให้มองเห็นลำคอระหงขาวเนียน ทั้งผิวอมชมพูที่อยู่เข้าไปในคอเสื้ออยู่รำไร ยังมีสะโพกงอนงามนั่นอีก…
หัวใจองค์ชายสามพลันร้อนผ่าวขึ้นมา เขารีบเก็บสายตาตนทันที
ตั้งแต่ถูกผู้ตรวจการทั้งหลายทูลฟ้อง เขาจึงได้แต่สงวนท่าทีตนไว้ ทว่ายามนี้กลับไม่มีความสนใจในสตรีแน่งน้อยและอนุที่คอยแก่งแย่งกันอีกต่อไป หรือเพราะเขาอดกลั้นมานานถึงได้เกิดสนใจในตัวแม่นมของจิ่งเกอขึ้นมาเช่นนี้
องค์ชายสามรีบกดความคิดนั้นไว้แล้วโบกมือพลางเอ่ยว่า “ออกไปให้หมด”
เมื่อทุกคนออกไปแล้วเขาจึงถามว่า “ดื่มยาแล้วหรือไม่”
“ดื่มแล้วขอรับ” จิ่งเกอตอบอย่างว่าง่าย
“จิ่งเกอ เจ้าอยู่ในวัยกำลังโต หากไม่สบายต้องพักผ่อน อาจารย์ไม่มีทางตำหนิเจ้าแน่”
จิ่งเกอทำปากยื่น
“เป็นอันใด”
“พระบิดา จิ่งเกอรู้สึกว่าการอยู่ในเรือนคนเดียวช่างน่าเบื่อ ให้ไปเรียนตำรากับอาจารย์ยังสนุกกว่าเสียอีก” เขากลอกตาคราหนึ่งแล้วกระตุกแขนเสื้อองค์ชายสาม “พระบิดา เมื่อใดข้าถึงจะได้พบกับท่านอาจยาหมิงอีกเล่า”
องค์ชายสามถึงกับชะงัก “จิ่งเกอยังคิดถึงท่านอาจยาหมิงอยู่อีกหรือ”
จิ่งเกอพยักหน้าโดยแรง เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยเสียงแผ่วว่า “จิ่งเกอเห็นท่านอาจยาหมิงแล้วรู้สึกคุ้นเคยยิ่งขอรับ”
องค์ชายสามค่อยๆ พ่นลมออกมาจากปาก
ยามนี้หลัวเทียนเฉิงไม่ทราบว่าอยู่หรือตาย รออีกหน่อยให้ข่าวการตายของเขาเป็นที่แน่นอนแล้วก็คงมิอาจเก็บจยาหมิงไว้ได้ ทว่ายามนี้เขากลับหวั่นไหวขึ้นมาแล้ว
หากจะให้เขาละเว้นชีวิตนางเพื่อจิ่งเกอก็มิใช่ทำไม่ได้ แค่พานางมาซ่อนตัวไว้ในจวนก่อน รอกระทั่งถึงวันนั้นค่อยพานางไปซ่อนไว้ในวังลึก แล้วจะมีผู้ใดทราบเล่า
ในหัวองค์ชายสามมีภาพเจินเมี่ยววาบผ่านเข้ามา ใจเขาพลันร้อนผ่าวขึ้นทันที
“จิ่งเกอ พ่อจะให้สหายร่วมเรียนมาอ่านตำราให้เจ้าฟัง ประเดี๋ยวพลบค่ำ พ่อจะมาเยี่ยมเจ้าใหม่”
เมื่อออกมาจากเรือนของจิ่งเกอ หัวใจขององค์ชายสามก็คล้ายมีแมวคอยข่วนอยู่ตลอด ประเดี๋ยวนึกถึงสะโพกงอนงามของแม่นมหรง ประเดี๋ยวคิดถึงเรียวขายาวเอวบางของเจินเมี่ยว เปลวเพลิงกองนั้นยิ่งโชติช่วงขึ้นทุกที เขาจึงออกจากจวนไปเงียบๆ ทั้งที่หมอกยังมิทันจางด้วยซ้ำ
บุรุษสองคนที่สวมเสื้อผ้าอย่างชาวบ้านทั่วไปที่คอยเฝ้าหน้าประตูจวนเยี่ยนอ๋องไว้สบตากันทันที หนึ่งในนั้นปลีกตัวหลบไปอีกทางหนึ่ง ส่วนอีกคนก็สะกดรอยตามไปอย่างระมัดระวัง
เขารู้ดีว่าผู้ที่มีฐานะเช่นองค์ชายสามย่อมต้องมีองครักษ์ลับคอยติดตามคุ้มกัน จึงมิกล้าเข้าไปใกล้นัก สิ่งที่ทำได้คือการตามไปห่างๆ และคอยทำสัญลักษณ์ซ่อนไว้
“นายท่าน เยี่ยนอ๋องออกจากจวนไปตั้งแต่เช้าแล้วขอรับ”
เมื่อได้ยินองครักษ์ลับรายงาน หลัวเทียนเฉิงก็ลุกขึ้นทันที
เขาเองก็มิแน่ว่าองค์ชายสามรู้ว่าเจินเมี่ยวอยู่ที่ใดหรือไม่ แต่เพื่อเป็นการไม่ประมาณจึงให้คนคอยเฝ้าจวนเสนาบดีหยางและจวนเยี่ยนอ๋องเอาไว้ คิดไม่ถึงว่าเขายังมิทันได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งต่อหน้าคนทั้งหลาย องค์ชายสามกลับมีการเคลื่อนไหวก่อนแล้ว
เขาไปที่จวนเสนาบดีหยางในยามวิกาล เวลาเช้าเช่นนี้เกรงว่าหยางอวี้เต๋อคงมิทันได้ส่งข่าวการกลับมาของเขาให้เยี่ยนอ๋องทราบเป็นแน่ หรือบางทีหยางอวี้เต๋อก็อาจจะมิแจ้งข่าวให้เยี่ยนอ๋องทราบเร็วเกินไปนัก เพื่อความปลอดภัยและมิให้เขาจับพิรุธได้
เช่นนั้นการออกจากจวนอย่างลับๆ ล่อๆ ตั้งแต่เช้าตรู่ของเยี่ยนอ๋องจึงทำให้คนอดสงสัยไม่ได้
“ไปกันเถิด!”
องค์ชายสามเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อพบกับสาวใช้ที่คอยปรนนิบัติเจินเมี่ยวก็ก้มหน้าเอ่ยถาม “ฮูหยินเล่า”
“ฮูหยินเพิ่งกินข้าวเช้าเสร็จ กำลังพักผ่อนอยู่ในห้องเจ้าค่ะ”
“เอาล่ะ เจ้าไปได้แล้ว หากไม่เรียกก็ไม่ต้องเข้ามา”
สาวใช้พลันชะงักฝีเท้า ก้มหน้าต่ำแล้วเดินออกไปเงียบๆ
เมื่อได้ยินเสียงบุรุษดังแว่วมาจากด้านนอก เจินเมี่ยวก็ใจหายวาบขึ้นทันที สายตาจ้องมองประตูนิ่ง
ครั้นประตูถูกผลักออก องค์ชายสามก็เดินเข้ามา
เจินเมี่ยวลุกขึ้นยืนทันที
คุณชายสามหยักยกมุมปากขึ้น สายตามองไปที่เจินเมี่ยว แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจว่า “จยาหมิง เจ้าผ่ายผอมลงไปไม่น้อยเลย”
เจินเมี่ยวยิ้มเยาะตนคราหนึ่ง “เสด็จพี่สามใส่พระทัยเกินไปแล้วเพคะ จยาหมิงเริ่มกลัวแล้ว”
องค์ชายสามหันไปปิดประตูลงเบาๆ
เจินเมี่ยวถอยหลังไปสองก้าวแล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “เสด็จพี่สามคิดจะทำอันใด กลางวันแสกๆ มีวาจาใดที่มิอาจเปิดประตูพูดจากันหรือ”
องค์ชายสามยิ้ม “จยาหมิง ที่ข้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องจะบอกเจ้า”
“มีเรื่องอันใด”
เขาจ้องสีหน้าของนางเขม็ง แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “หลัวเทียนเฉิงไปตรวจสอบเรื่องอุทกภัยที่จิงโจวแต่ไม่ทันระวังตกน้ำตายไปเสียแล้ว”
“เหลวไหล!”
“เรื่องเช่นนี้ ข้าจำเป็นต้องมาหลอกเจ้าหรือ”
เจินเมี่ยวเพียงรู้สึกหน้ามืดขึ้นมาเล็กน้อย แต่นางยังคงฝืนตนไว้ไม่ยอมแสดงความอ่อนแอออกมา นางกัดลิ้นตนเองโดยแรง เมื่อรับรู้ได้ถึงความคาวของเลือด นางจึงมีสติขึ้นมาอีกหลายส่วน ใบหน้านั้นขาวซีดยิ่งกว่าดอกสาลี่เดือนสามเสียอีก “ท่านไม่จำเป็นต้องเอาเรื่องนี้มาหลอกข้า ซื่อจื่อว่ายน้ำเก่งยิ่ง ไม่มีทางจมน้ำตายแน่นอน”
“ต่อให้เก่งแค่ไหน หากตกลงไปในน้ำที่เชี่ยวกรากที่ไหลบ่ามาจากภูเขา ต่อให้เป็นเซียนตกลงไปก็เกรงว่าจะไม่รอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาเลย” องค์ชายสามเดินขึ้นหน้าเข้าไปก้าวหนึ่ง แล้วเอ่ยด้วน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “จวนเจินกั๋วกงคลุมห่มไปด้วยผ้าขาว แม้แต่โถงตั้งศพจะตั้งตำแหน่งใดก็จัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ข้ามิได้พูดคำลวงแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นให้ฟ้าผ่าข้าได้เลย”
ฮูหยินรองจวนเจิ้นกั๋วกงล่วงลับไปแล้ว วาจาที่เขาเอ่ยออกไปนี้จึงมิผิดเลยแม้แต่น้อย
ครั้งนี้เจินเมี่ยวจึงจำต้องเชื่อแล้ว นางรู้ดีว่าคนในยุคสมัยนี้ให้ความเคารพเทพและหวาดกลัววิญญาณมาก จึงมิกล้าพูดสาบานเกี่ยวกับเรื่องนี้ส่งเดชแน่
เมื่อเห็นนางตัวโยนแทบล้ม หยาดน้ำตากลิ้งไหลดุจไข่มุกที่ร่วงกราว นัยน์ตาที่คลอด้วยน้ำตานั้นดำขลับดุจหมึก ยังมีเส้นผมดำขลับที่ปล่อยสยายดุจน้ำพุเพราะไม่มีปิ่นปักมัดมวยนั่นอีก องค์ชายสามหวั่นไหวขึ้นมาจึงยื่นมือไปคว้าข้อมือเจินเมี่ยวไว้
เจินเมี่ยวที่น้ำตาคลอเต็มหน้ากลับมิได้ขัดขืนอย่างที่คิดไว้ เพียงแค่มององค์ชายสามอย่างสงบนิ่ง “เสด็จพี่สามคิดจะทำอันใด”
องค์ชายสามใจเต้นระส่ำขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อสบเข้าดวงตาแวววาวดุจคันฉ่องคู่นั้น เขากลับรู้สึกลำคอแห้งผากขึ้นมา ไม่เคยมีสตรีออกเรือนแล้วคนใดทำให้เขาความรู้สึกเช่นนี้มาก่อนเลย
เขาเลียริมฝีปากตน แล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “จยาหมิง เจ้าคิดว่าเจ้ายังกลับไปได้อีกหรือ”
“จวนกั๋วกงปล่อยข่าวว่าเจ้าล้มป่วยหนัก ต่อให้ข้าส่งเจ้ากลับไป แต่หลัวซื่อจื่อตายแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงย่อมไม่มีทางยอมรับเจ้าที่ชื่อเสียงด่างพร้อยไปแล้วกลับไปใช้ชีวิตด้วยฐานะฮูหยินของคุณชายผู้สืบทอดแน่ เจ้าเสียใจเกินไปจนตายตามหลัวซื่อจื่อไปต่างหากจึงเป็นตอนจบที่ของเรื่องนี้”
เจินเมี่ยวฟังเขาเอ่ยอยู่เงียบๆ กระทั่งองค์ชายสามพูดจบนางจึงเลิกคิ้วเอ่ยถามว่า “แล้วอย่างไรเล่า”
องค์ชายสามจึงเขยิบเข้าใกล้ขึ้นอีก “จยาหมิง จิ่งเกอคิดถึงเจ้าอยู่ตลอด เขาเห็นเจ้าเป็นตัวแทนของมารดาไปแล้ว ข้ายินดีรับเจ้าเป็นอนุ ให้ตำแหน่งฐานะในจวนแก่เจ้า เจ้า…มาติดตามข้าเถิด”
เขาทนมิได้อีกต่อไปแล้วจึงยื่นมือไปดึงเจินเมี่ยวเข้ามากอด แล้วก้มหน้าลงหวังจะจับปากกลีบดอกท้อนั้นไว้
อาวุธแหลมคมชนิดหนึ่งกลับถูกแนบติดไว้บนลำคอเขา
องค์ชายสามถึงกลับสูดปาก แล้วร้องเสียงหลงออกมาว่า “จยาหมิง?”
ไม่ว่าจะเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดเหนือผู้ใดหรือเป็นคนที่อยู่ห่างจากอำนาจเช่นนั้นเพียงก้าวก็ล้วนรักชีวิตตนด้วยกันทั้งสิ้น
“เสด็จพี่สาม ท่านอย่าได้ขยับส่งเดช” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงเบา
“จยาหมิง เจ้าถือสิ่งใดไว้กันแน่”
ที่แท้ปัญหาเกิดขึ้นจากที่ใด ในห้องนี้ไม่มีของแหลมคมใดเลย แม้แต่เครื่องประดับที่ติดกายนางมาก็ถูกปลดไปหมดแล้ว นางไปเอาอาวุธแหลมคมมาจากที่ใดกัน
“เสด็จพี่สามสงสัยหรือ เช่นนั้นก็ก้มลงดูสักหน่อยเถิด”
องค์ชายสามก้มลงมองอย่างระมัดระวัง แต่เมื่อขยับตัว อาวุธแหลมคมนั้นก็ทิ่มเข้าไปในเนื้อของเขา ความรู้สึกเจ็บวิ่งแล่นเข้ามา
เขาจ้องมองอาวุธที่แนบลำคอตนนิ่งเป็นนานก็ยังดูมิออก
เจินเมี่ยวกลั้นน้ำตาเอ่ยออกมาว่า “ข้ากินไก่ไปแปดตัว เป็ดสามตัว ในที่สุดก็ได้กระดูกส่วนที่แข็งที่สุดมาเหลาเป็นมีด แม้เทียบกับของจริงมิได้ แต่หากคิดจะแทงมันเข้าไปในคอหอยก็พอจะทำได้อยู่ หากเสด็จพี่สามไม่เชื่อ ประเดี๋ยวเรามาลองดูกันได้”
ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นขององค์ชายสามคือโทสะ
โธ่เอ๊ย ผู้ใดให้นางกินเป็ดไก่มากเพียงนี้ นางมาอยู่เพียงไม่กี่วัน ที่นางกินไปนั้นหากสตรีทั่วไปกินคงอยู่ได้หลายเดือนทีเดียว!
เมื่อรู้สึกเจ็บ องค์ชายสามจึงตื่นจากภวังค์ความคิด เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก “จยาหมิง เจ้าอย่าเพิ่งวู่วาม วางมีดกระดูกลงก่อน”
“ไม่” เจินเมี่ยวเอียงคอยิ้ม “อย่างไรซื่อจื่อก็ไม่อยู่แล้ว ข้าต้องตกมาอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็มิคนจะมีชีวิตอยู่ต่อแล้ว เสด็จพี่สามไปปรโลกเป็นเพื่อนข้าเถิด เมื่อไปถึงที่นั่นข้าจะให้ซื่อจื่อชกท่านสักหมัดเป็นการระบายโทสะแทนข้า!”