ตอนที่ 397 พ้นจากอันตราย

วาสนาบันดาลรัก

“จยาหมิง เหตุใดเจ้าต้องทำถึงเพียงนี้” องค์ชายสามกลั้นความเจ็บปวดไว้ “เหตุใดต้องไปปรโลกด้วยเล่า แค่เจ้ายอมติดตามข้า จิ่งเกอก็จะเคารพรักเจ้าดั่งมารดา ข้าเองก็…มีใจให้เจ้า…” 

 

 

“หุบปาก!” เจินเมี่ยวแค่นยิ้ม “อย่าได้ใช้คำพูดเหล่านี้มาแปดเปื้อนหูข้า ท่านมีใจให้ข้าหรือ ข้าว่าท่านมีใจให้สตรีออกเรือนแล้วทุกคนกระมัง” 

 

 

มีดกระดูกนั้นแทงเข้าไปอีก องค์ชายสามเจ็บจนร้องออกมา จึงไม่กล้าเอ่ยถึงเรื่องนั้นอีก เพียงพูดเรียกสตินางว่า “แม้แต่มดยังรักชีวิต จยาหมิงเจ้าอายุยังน้อย…” 

 

 

“นี่คือความต่างของคนกับมดอย่างไรเล่า” 

 

 

“จยาหมิง เจ้าก็รู้ว่าต่อให้จับข้าไว้ได้ในยามนี้แต่แม้ติดปีกก็ยากจะบิน…” องค์ชายสามพร่ำเอ่ยดึงความสนใจของนาง ส่วนอีกมือหนึ่งก็ยื่นไปจับบิดข้อมือนางเสีย 

 

 

แต่เหตุใดจึงมิขยับเลยเล่า! 

 

 

มีดกระดูกในมือเจินเมี่ยวกลับแทงลึกเข้าไปยิ่งกว่าเดิม โลหิตสดพุ่งออกมาทันที องค์ชายสามถึงกับเข่าอ่อนไปโดยพลัน 

 

 

เจินเมี่ยวแค่นยิ้ม “เสด็จพี่สาม แม้ข้าจะเป็นสตรีอ่อนแอที่ไม่มีแรงแม้จะจับไก่ แต่การใช้มีดกระดูกนี้แทบท่านให้ตาย ข้ายังพอทำได้!” 

 

 

องค์ชายสามยกมุมปากขึ้นบิดเบ้โดยแรง หากนี่เรียกว่าไม่มีแรงแม้จะจับไก่ เช่นนั้นเขานับเป็นอันใดได้ 

 

 

เมื่อรู้สึกได้ว่าองค์ชายสามโน้มกายเข้ามาซบนาง เจินเมี่ยวก็ยิ้มเยาะออกมา “ข้ายังเผลอคิดไปว่าเสด็จพี่สามนั้นกล้าหาญชาญชัยยิ่ง ที่แท้แค่นี้ก็เข่าอ่อนแล้ว” 

 

 

“ข้าเห็นเลือดแล้วจะหน้ามืด!” องค์ชายสามเอ่ยแก้ต่าง 

 

 

“วันนั้นพระชายาของท่านถูกแทง เลือดสาดเต็มพื้น มิเห็นทันหน้ามืดสักนิด” 

 

 

องค์ชายสามเอ่ยอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรมว่า “ข้าจะหน้ามืดเมื่อเห็นเลือดตนเท่านั้น!” 

 

 

เจินเมี่ยวนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ แล้วจึงเอ่ยอย่างทอดถอนใจออกมาในที่สุด “เสด็จพี่สาม คนที่เห็นแก่ตัวเช่นท่านนี่ช่างเหลือเกินจริงๆ!” 

 

 

เวลานี้ความอ่อนหวานละมุนละไมในใจขององค์ชายสามได้หายไปหมดแล้ว เขาแค้นจนอยากฆ่าสตรีตรงหน้าให้ตายไปเสีย แต่น่าเสียดายที่การขัดขืนเมื่อครู่ล้มเหลว ทำให้เขาไม่กล้ากระทำการส่งเดชอีก 

 

 

แค่เขาเดินออกจากประตูไปก็จะมีองครักษ์ลับที่ซ่อนตัวอยู่คอยคุ้มครองถึงสองคน แต่น่าเสียดายที่เมื่อครู่ได้สั่งให้พวกเขารออยู่ด้านนอกจะได้มิมารบกวนเรื่องดีงามของเขา ขณะที่องค์ชายสามกำลังกลัดกลุ้มอยู่นั้นกลับถูกจนเหมือนผลักตัวออกไป 

 

 

“ออกไป” 

 

 

องค์ชายสามลอบยินดีอยู่ในอก เขาจึงเดินตามออกไปอย่างว่าง่าย 

 

 

เจินเมี่ยวใช้เท้าถีบประตูให้เปิดออก 

 

 

ลมอุ่นยามเดือนห้าพัดเอาความอัดอั้นที่มีมาหลายวันมลายหายไปจนหมด เจินเมี่ยวหรี่ตาลง รู้สึกว่าสายตายังไม่ชินกับแสงแดดเท่าใดนัก 

 

 

องครักษ์ลับสองคนกระโดดออกมาจากหลังกำแพงทันที 

 

 

“เดี๋ยวก่อน” เจินเมี่ยวพลันร้องขึ้น 

 

 

องครักษ์ลับทั้งสองมองหน้ากัน แล้วหันไปมองนายตน 

 

 

เจินเมี่ยวดึงองค์ชายสามถอยหลังไปจนหลังของนางติดกับกำแพง แล้วใช้มีดกระดูกแทงเข้าไปอีกให้ลึกอีกเล็กน้อยอย่างไม่เกรงใจ โลหิตสดไหลเป็นทางออกมาอีกครา 

 

 

เมื่อหลังติดกับกำแพง นางก็มิต้องกังวลว่าจะมีอาวุธลับใดลอบแทงข้างหลังได้ เจินเมี่ยวผ่อนลมหายใจออกมา แล้วเอ่ยกระซิบข้างหูองค์ชายสามว่า “ให้คนของท่านเปิดประตูใหญ่ออก แล้วพาคนที่เฝ้าประตูอยู่ด้านนอกเข้ามาที่นี่” 

 

 

“พาคนเข้ามา!” องค์ชายสามกัดฟันเอ่ย 

 

 

องครักษ์ลับหนึ่งในสองเปิดประตูใหญ่ออกแล้วคนอีกสี่ห้าคนก็พุ่งเข้ามาทันที 

 

 

“ให้พวกเขายืนเรียงแถวห่างออกไปหนึ่งจั้ง” 

 

 

เมื่อชีวิตน้อยๆ ตกอยู่ในกำมือของผู้อื่น องค์ชายสามก็ได้แต่รีบกำชับให้คนของเขาทำตาม 

 

 

เจินเมี่ยวมองใบหน้าของแต่ละคนจากหัวแถวไปจนถึงหางแถว แล้วสายตาก็หยุดอยู่ที่คนสุดท้าย “เอาล่ะ เจ้าไปดึงอิฐที่กำแพงมาก้อนหนึ่ง” 

 

 

ความรู้สึกบอกนางว่าปกติแล้วผู้ที่ยืนอยู่หางแถวมักจะเป็นคนที่อ่อนแอที่สุด 

 

 

คนผู้นั้นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง องค์ชายสามร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดทันที เขาจึงตะโกนอย่ามีโทสะว่า “รีบไปเร็ว พวกเจ้าเป็นศพหรือไร นางให้ทำอันใดก็ทำตามนางเถิด!” 

 

 

คนผู้นั้นรีบวิ่งไปที่ใต้กำแพงทันที ทั้งยังตั้งใจเลือกก้อนที่ดีที่สุดตามสัญชาตญาณที่ต้องการแสดงความสามารถตน 

 

 

เจินเมี่ยวยกมุมปากขึ้นด้วยความพอใจแล้วกำชับว่า “ใช้อิฐในมือเจ้าทุบพวกเขาให้หมดสติ” 

 

 

หา? 

 

 

คนผู้นั้นถึงกับเบิกตาโตขึ้น 

 

 

“เสด็จพี่สาม ข้ามิได้พูดเพื่อต่อรองอันใด แต่หากคนของท่านยังคงลังเลอยู่เช่นนี้ ข้าคงมิอาจไว้ไมตรีแล้ว” เจินเมี่ยวยังรู้สึกว่าไม่พอ นางจึงแค่นยิ้มเย็นเป็นการข่มขวัญ “ท่านก็รู้ดีว่าสตรีผู้หนึ่งที่พบเรื่องเช่นนี้ อยู่ไปก็มิสู้ตาย หากใช้ชีวิตข้ามาแลกกับเสด็จพี่สามได้นั้นนับว่าคุ้มค่ายิ่ง แต่หากเราตายไปพร้อมกัน บันทึกประวัติศาสตร์คงจากรึกว่าเยี่ยนอ๋องชมชอบสตรีออกเรือนแล้ว จึงใช้กำลังบังคับจยาหมิงเซี่ยนจู่ไปไว้ในเรือนลับ จยาหมิงเซี่ยนจู่เป็นคนเด็ดเดี่ยวจึงใช้ของมีคมแทงเยี่ยนอ๋อง จบชีวิตไปพร้อมกันเพื่อรักษาความบริสุทธิ์ของตนไว้” 

 

 

องค์ชายสามฟังแล้วก็แทบกระอักโลหิตออกมา ทำอย่างไรได้ ผู้ใดให้ก่อนหน้านี้เขาทำเรื่องเหลวไหลจนลือกระฉ่อนไปทั่ว หากคนทั้งสองตายอยู่ที่นี่ ไม่แน่ว่าเรื่องราวอาจลงเอยอย่างที่จยาหมิงเซี่ยนจู่พูดก็เป็นได้ 

 

 

แต่ที่ทำให้คนรู้สึกโมโหที่สุดคือ เขาทุ่มเทแรงกายแรงเพียงนี้แต่ผู้อื่นกลับยังคิดว่าจยาหมิงเซี่ยนจู่ยังคงรักษาความบริสุทธิ์ของนางเอาไว้ได้ มารดามันเถอะ! 

 

 

“เร็วเข้า!” องค์ชายสามมององครักษ์ที่ลังเลเลิกลักผู้นั้นด้วยความโมโหที่อัดอั้นไว้นานแล้ว ในใจก็เอ่ยว่าคนพวกนี้เป็นคนของท่านตา องครักษ์ลับของเขามีหรือจะโง่เขลาปานนี้! 

 

 

คนผู้นั้นจึงรับคำทันทีแล้วเดินไปฟาดอิฐเข้าใส่ศีรษะองครักษ์ลับที่ฉลาดและเก่งกาจที่สุดขององค์ชายสามซึ่งยืนอยู่หัวแถวจนเขาหมดสติไป 

 

 

องค์ชายสามได้แต่ลอบภูมิใจอยู่ลึกๆ ทำอย่างไรได้ องครักษ์ของเขาออกจะเชื่อฟังถึงเพียงนี้ จะให้เขาอยู่หรือตายล้วนทำตามโดยไม่แม้จะขมวดคิ้วสักนิด! 

 

 

เฮ้ย เขากำลังเบิกบานใจอันใดอยู่เล่า! 

 

 

องค์ชายสามมองคนผู้นั้นที่ทุบทุกคนจนหมดสติไปทั้งแถวด้วยความคล่องแคล่วแล้วอยากจะร้องไห้แต่กลับไร้น้ำตา 

 

 

“ข้าทุบจนสลบหมดแล้ว” คนผู้หันมององค์ชายสามเลิกลัก 

 

 

“จยาหมิง เขาทำตามที่เจ้าต้องการแล้ว ยังคิดจะทำอันใดอีก” 

 

 

เจินเมี่ยวขยับเข้ามาสองก้าว นางเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าต้องมีคนที่แสร้งหมดสติอยู่ในนี้อย่างแน่นอน เสด็จพี่สาม คิดว่าควรทำอย่างไรดีเล่า” 

 

 

องค์ชายสามกัดฟันเอ่ยว่า “จยาหมิง เจ้าคิดกลั่นแกล้งข้าหรือ หากไม่วางใจจะให้ตัดหัวพวกเขาออกมาเลยหรือไม่เล่า” 

 

 

หากจยาหมิงเซี่ยนจู่เป็นคนโหดเ**้ยมคงมิให้อิฐอันใดนั้นทุบพวกเขาตั้งแต่แรกแล้ว เขาก็อยากรู้เช่นกันว่านางจะทำอย่างไร! 

 

 

“สมแล้วที่เสด็จพี่สามเป็นผู้กล้าแสนเด็ดเดี่ยว จึงเห็นชีวิตของข้ารับใช้นั้นด้อยข้ากว่ามดตัวหนึ่งเสียอีก แต่เรื่องเช่นนี้ข้าทำไม่ได้จริงๆ ชีวิตคนล้วนสำคัญ ข้าทำไม่ลงหรอก” เจินเมี่ยวชำเลืองมองคนผู้นั้นแล้วเชิดคางขึ้น “รบกวนเจ้าถอดเสื้อผ้าของพวกเขาออกมาให้หมดแล้วเผามันทิ้งตรงนี้เลย” 

 

 

เมื่อวาจานี้เอ่ยออกไป มือของคนผู้หนึ่งก็ถึงกับกระตุกไหว 

 

 

อาจเพราะเมื่อครู่ถูกองค์ชายสามตะโกนใส่ คนผู้นั้นจึงชำเลืองมองเขาคราหนึ่ง เมื่อเห็นเขามิเอ่ยอันใดก็รีบทำตามนางสั่งทันที 

 

 

เปลวไฟลุกโชติช่วง ควันลอยโขมงขึ้น 

 

 

หลัวเทียนเฉิงที่เดินตามสัญลักษณ์ลับมาจนถึงที่นี่จึงเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้านิ่งขรึม 

 

 

“นายท่าน ข้าเห็นเยี่ยนอ๋องนั่งเรือจากตรงนี้ไปที่เกาะกลางน้ำขอรับ” 

 

 

ที่นี่เป็นพื้นที่ที่ถูกทิ้งร้างไว้ เดิมนั้นเป็นเรือนพักผ่อนของมหาเสนาบดีในรัชกาลก่อน ต่อมามหาเสนาบดีผู้นั้นทำความผิดจึงถูกประหารสามชั่วโคตร แรกเริ่มมันได้ถูกเปลี่ยนมือไปหลายครั้งยิ่ง สุดท้ายคนที่ได้มันมาครอบครองล้วนต้องพบกับภัยพิบัติ ด้วยเหตุนี้มันจึงถูกทิ้งร้างกลายเป็นเรือนผีที่ไร้เงาผู้คนมากล้ำกราย 

 

 

ไม่มีคนสนใจมันมานานแล้วปีแล้ว ฝั่งตะวันตกของพื้นที่นั้นเป็นแม่น้ำกว้างใหญ่สีเขียวมรกต มองไปแต่ไกลก็เห็นเรื่องลำหนึ่งจอดอยู่ข้างเกาะกลางน้ำนั้น 

 

 

เกาะกลางน้ำมีเรือนพักอยู่หลายหลัง ควันโขมงนั้นลอยคลุ้งออกมาจากเรือนที่อยู่ตรงกลางเกาะพอดี 

 

 

หลัวเทียนเฉิงมิสนใจสิ่งใดอีก เขากระโดดลงน้ำแล้วว่ายไปจนถึงเกาะกลางน้ำทันที 

 

 

เมื่อเห็นเสื้อผ้ากองย่อมๆ ถูกเผาจนเกลี้ยงแล้ว เจินเมี่ยวก็พยักหน้าด้วยความพอใจ นางใช้เท้าชี้ขึ้น “คนผู้นี้แสร้งหมดสติ เจ้าฟาดเขาอีกที หากครั้งนี้เขาไม่หมดสติ เจ้าก็ถอดเสื้อผ้าตนเองออกมาเสีย” 

 

 

คนผู้นั้นมือสั่นระริกไปหมด ครานี้จึงฟาดแรงกว่าเดิม โลหิตพลันอาบเต็มหน้าองครักษ์ที่แสร้งหมดสติผู้นั้น เขาร้องหึคราหนึ่งแล้วหมดสติไปจริงๆ 

 

 

“บนตัวเจ้ามีมีดสั้นอยู่ด้วยกระมัง” 

 

 

คนผู้นั้นรีบพยักหน้าทันที “มี!” 

 

 

เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากผลิยิ้มบางเบา “ข้ารู้ว่าในจวนอ๋องนั้นมีขันทีอยู่ด้วย ให้พวกเข้าเปลี่ยนงานสักหน่อยดีหรือไม่” 

 

 

ครานี้มีคนถึงสามคนที่เปลือกตาไหวระริกขึ้น 

 

 

นายของเขาไปเอาอาวุธสังหารนี้มาจากที่ใด ช่างร้ายกาจนัก! เขาต้องอดทนแสร้งหมดสติยังไม่พอ ทั้งยังถูกถอดเสื้อผ้าจนเปลือยเปล่า แต่ทั้งหมดยังอเนจอนาถไม่พอ สุดท้ายกลับจะให้พวกเขาที่เป็นองครักษ์อยู่ดีๆ ไปแย่งข้าวกับขันทีกิน! ไม่ได้เด็ดขาด หากภรรยารู้เขา คงตีเขาจนตายแน่! 

 

 

คนผู้หนึ่งที่ความอดทนค่อนข้างต่ำจึงกระโดดผลุงขึ้นมา ภายใต้แววตาอันแปลกใจขององค์ชายสา เขากลับแย่งอิฐจากมือคนผู้นั้นมาฟาดศีรษะตนเอง “ข้าน้อยไม่อยากเปลี่ยนสายงาน เช่นนั้นข้าน้อยขอลงมือเองเถิด!” 

 

 

เสียง ปึก ดังขึ้น คนผู้นั้นก็ค่อยๆ ร่วงลงกับพื้น ส่วนอีกสองคนก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกันจึงลุกตามขึ้นมา และถึงขนาดวิวาทกันเพราะแย่งอิฐ 

 

 

เจินเมี่ยวหัวเราะเบาๆ คราหนึ่ง 

 

 

องค์ชายสามเอ่ยด้วยความอับอายระคนโกรธ “พวกเขามิใช่คนของจวนข้า!” 

 

 

สุดท้ายจึงเหลือเพียงคนแรกที่เจินเมี่ยวเลือกไว้ผู้นั้น เขามองนางอย่างระแวดระวัง 

 

 

เจินเมี่ยวเพียงยิ้มให้เขา ยังมิทันได้เอ่ยสิ่งใด เขาก็รีบฟาดอิฐใส่ศีรษะตนทันที 

 

 

เจินเมี่ยวถอนหายใจอย่างเสียดาย “เดิมข้าคิดจะให้เขามอบมีดสั้นเขาให้ข้าเท่านั้น แต่ช่างเถิด มีดกระดูกนี้ก็เหมาะมือดีแล้ว เสด็จพี่สาม พวกเราออกไปกันเถิด” 

 

 

หลายวันมานี้นอกจากนางจะคอยรับกระดูกให้เป็นมีดแล้ว นางจะรวบรวมข้อมูลได้ไม่น้อยเลย 

 

 

สถานที่นางอยู่ มีความชื้นและกลิ่นดินโคลน เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมต้องมีน้ำอยู่ใกล้ๆ อย่างแน่นอน 

 

 

ทั้งครั้งก่อนที่องค์ชายสามมา นางทำลูกชิ้นหล่นกลิ้งไปตกข้างเท้าเขา นางเห็นว่ารองเท้าเขามีคราบโคลน ตัวของเขาก็มีกลิ่นคาวน้ำคล้ายนั่งเรือมา 

 

 

สถานที่เช่นนี้ย่อมมิใช่เรือนที่อยู่อาศัยแน่ เมื่อมาคิดดูแล้วคนที่คอยเฝ้านางไว้แม้จะเก่งกาจแต่คงมีจำนวนไม่มากนัก ดังนั้นนางจึงรอให้องค์ชายสามมาที่นี่อีกครั้ง หากเขามาทุกอย่างก็จะพลิกผันทันที เพราะมันจะเป็นโอกาสให้นางได้หนีไปจากที่นี่เสียที 

 

 

แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับนำข่าวการตายของซื่อจื่อมาบอกแก่นางด้วย นอกจากความเสียใจแล้วนางกลับยิ่งอยากออกไปจากที่นี่มากขึ้นกว่าเดิมด้วย 

 

 

นางไม่ยอมเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย นางก็ต้องกลับจวนไปให้ได้ มิใช่เหม็นเน่าอยู่ในสถานที่ที่ไร้แสงตะวันเช่นนี้ 

 

 

ว่าไปแล้วนางก็ไม่เชื่อเด็ดขาดว่าซื่อจื่อจะทิ้งนางไปเช่นนี้ นางต้องกลับไปดูให้เห็นกับตา! 

 

 

เจินเมี่ยวผลักองค์ชายสามให้ที่ประตูทางออกอย่างช้าๆ แต่กลับต้องชะงักฝีเท้าลง ดวงตาของนางเบิกกว้างพลางจ้องเขม็งไปที่หน้าประตูใหญ่ 

 

 

คนผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นที่หน้าประตู ตัวเขาเปียกไปหมด น้ำหยดติ๋งๆ ลงไปตามชายกางเกง บนศีรษะยังมีตะไคร่น้ำติดอยู่อีกด้วย 

 

 

“เจี๋ยวเจี่ยว ข้ามาช่วยเจ้าแล้ว…” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยไปได้เพียงครึ่งก็ต้องชะงักไปเมื่อสังเกตเห็นสภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้า 

 

 

เขาต้องมาผิดที่แน่ๆ นี่คงเป็นภาพลวงตา! 

 

 

“จิ่นหมิง!” เจินเมี่ยวร้องขึ้นด้วยความแปลกใจระคนดีใจ นางเตะองค์ชายสามจนกระเด็นไปอีกทางแล้ววิ่งเข้าไปซบอกหลัวเทียนเฉิงพลางร้องไห้กระซิกๆ “หากท่านไม่มาเสียที ข้าคงได้ตกใจตายแน่…”