ตอนที่ 591 ชุมชนหวงหยางนองเลือด

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 591 ชุมชนหวงหยางนองเลือด

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบ เดือนสี่ วันที่สิบสอง

คณะของฟู่เสี่ยวกวนออกเดินทางไปยังเขตเปาเฉิง ซูม่อนำกองกำลังดาบเทวะกองกำลังที่สามมาถึงชุมชนหวงหยางแล้ว

ศิษย์พี่ใหญ่ซูเจวี๋ยใช้เวลาอยู่ที่ภูเขาเหวินถึง 2 วัน เขาได้พบกับกองกำลังหลักของหยูเล่อ และยังคลำจนเจอกองกำลังป้องกันทั้งหมดของหยูเล่ออีกด้วย จึงได้กลับชุมชนหวงหยาง

“หยูเล่อเรียกรวมชาวยุทธ์ชุดดำ 100,000 นายที่ภูเขาเหวิน และหลบซ่อนตัวอยู่ในภูเขาเหวิน…” ซูเจวี๋ยจ้องมองแผนที่เจี้ยนหนานตงเต้าอย่างตั้งใจ “ซ่อนอยู่ตรงนี้ ใจกลางหุบเขาเหลิ่งเยียน ป่าภูเขาทั้งสองด้านมีด่านลับอยู่ 6 แห่ง ทั้งยังมีหน่วยลาดตระเวน 10 คนต่อกองกำลังป้องกันหนึ่งร้อยกว่าคน เส้นทางที่พวกเขาลาดตระเวนคืออ้อมแนวสันเขาสองฟากของหุบเขาเหลิ่งเยียน โดยห่างกันอยู่ที่ 1 ชั่วยาม”

เขาชะงักไปชั่วครู่ นิ้วชี้ไปบนแผนที่ แล้วกล่าวออกมาอีกว่า “ออกจากชุมชนหวงหยางเข้าไปยังภูเขาหมิน ด้านหน้าหนึ่งร้อยกว่าลี้สามารถให้รถม้า 2 คันขนาบข้างกันไปได้ ส่วนหวนลางเทียน ถนนใหญ่มิมีแล้ว ด้านหน้าคือทางเลียบผาภูเขาหมินอันเลืองชื่อ กว้างเพียงสามฉื่อกว่า ๆ สร้างบนหน้าผาที่สูงชัน ด้านล่างคือเหวลึกที่มองมิเห็นก้น”

“ทางเลียบผาภูเขาหมินของหวนลางเทียนรวมแล้วยาวราว 150 ลี้ พอมาถึงตรงนี้… สะพานหม่านเยวี่ย ก็จะเป็นถนนลูกรังที่ค่อนข้างคับแคบ จากสะพานหม่านเยวี่ยตรงไปยังเขตเวิ่นสุ่ย และเลี้ยวซ้ายเข้าไปในภูเขาเหวิน

เข้าภูเขาไปราว 30 ลี้ ก็จะเป็นหุบเขาเหลิ่งเยียน หวนลางเทียนกับสะพานหม่านเยวี่ยรวมไปถึงบนชุมชนหวงหยางตรงนี้ ข้าสงสัยว่าจะมีผู้สอดแนมของหยูเล่ออยู่ ดังนั้นพวกเราในตอนนี้ได้ถูกพบเห็นบ้างแล้ว”

ซูม่อตั้งใจฟังเป็นอย่างมาก เขามิได้ใส่ใจกับเรื่องที่ถูกพบเห็น มีจำนวนทหารตั้ง 3,000 นาย ขอเพียงแค่ศัตรูยังมีกะจิตกะใจต่อสู้ เยี่ยงไรก็ต้องสังเกตเห็น

“พวกเราสามารถข้ามภูเขาเทียนเชวียจากหวนลางเทียนได้หรือไม่ แทรกตัวไปทางตะวันตกของภูเขาเหวินโดยตรง ? ”

“…ค่อนข้างลำบาก” ซูเจวี๋ยใคร่ครวญใบหน้านิ่วคิ้วขมวดและเงียบไปชั่วครู่ “ระหว่างภูเขาเทียนเชวียและภูเขาเหวิน ถูกคั่นด้วยหมู่เมฆา กว้างเป็นร้อยจ้าง นอกเสียจากจะขึงเชือกไว้ 1 เส้น แล้วให้พวกเขาเลื่อนผ่านไป”

“ศิษย์พี่ใหญ่ มีเชือกอยู่ พวกเขาสามารถเลื่อนไปได้ เพียงแต่… ท่านบินข้ามไปได้หรือไม่ ? ”

ซูเจวี๋ยขยับหมวก มองซูม่อด้วยสีหน้าจริงจัง “ศิษย์น้องแปด ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าคือปรมาจารย์ ! ”

“…” ซูม่อหัวเราะขึ้นมาโดยทันพลัน “เยี่ยงนั้นก็พักผ่อนก่อน อีก 1 ชั่วยามให้หลังค่อยออกเดินทาง ! ”

“ประเดี๋ยวก่อน”

“ศิษย์พี่ใหญ่ยังมีเรื่องอันใดอีกกัน ? ”

“ในชุมชนหวงหยางนี้ มีหนูอยู่ 1 กลุ่ม”

……

……

ภายในชุมชนหวงหยางนี้ยังมีอยู่อีก 1 กองทัพ

พวกเขาคือองครักษ์ขององค์ชายสี่หยูเวิ่นชู มีจำนวน 3,000 คนเช่นกัน พวกเขามิได้รวมตัวกันที่ใดที่หนึ่ง แต่พวกเขากระจายกันอยู่ในโรงเตี๊ยมของชุมชนหวงหยาง จนทำให้โรงเตี๊ยมของชุมชนหวงหยางเต็มทั้งหมด

หัวหน้าองครักษ์มีนามว่า พานเยวี่ยโหลว เป็นหัวหน้าทหารยามของหยูเวิ่นชูตอนอยู่เมืองหลวง หลังจากที่หยูเวิ่นชูได้เป็นจิ่นชินอ๋อง เขาจึงได้ติดตามหยูเวิ่นชูไปยังซีหรงโดยปริยาย

ในตอนนี้ เขากำลังอยู่ในโรงเตี๊ยมหมิงเยวี่ย ภายในห้องยังมีรองแม่ทัพอยู่อีก 2 นาย

สีหน้าของทั้งสามเคร่งเครียดอย่างถึงที่สุด บรรยากาศภายในห้องหดหู่ลงอย่างเห็นได้ชัด

“ทัพของแม่ทัพใหญ่พ่ายแพ้ย่อยยับ องค์ชายเป็นหรือตายก็ยังมิอาจทราบได้ ข้าขอบังอาจถามท่านแม่ทัพว่าในตอนนี้พวกเราจะไปหรืออยู่ ? ” รองแม่ทัพฝ่ายซ้ายคำนับและเอ่ยถาม

“ท่านแม่ทัพ ผู้ที่มาคือกองกำลังดาบเทวะกองกำลังที่สาม พวกเขาย่อมต้องการเข้าภูเขาหมินเพื่อไปกวาดล้างลัทธิจันทรา ข้าคิดว่า… ตามแนวโน้มแล้ว สู้แยกย้ายกันไปดีหรือไม่ ? ” รองแม่ทัพฝ่ายขวาเองก็คำนับและเอ่ยขึ้นมาเช่นกันว่า

พานเยวี่ยโหลวมองออกไปนอกหน้าต่าง ต้นหวงหยางตั้งตระหง่านอยู่ด้านนอก ดอกของต้นหวงหยางได้ผลิออกมาแล้ว ช่างมิสวยงามเอาเสียเลย

“คนที่ส่งออกไปยังมิได้รับข่าวคราวขององค์ชายอีกหรือ ? ”

“เรียนท่านแม่ทัพ หน่วยสอดแนมที่ส่งออกไป 10 คน จากด่านชีผานถึงเจี้ยนเหมินและไปจนถึงสองฟากฝั่งเจี้ยนหนาน จนถึงตอนนี้ก็ยังมิได้รับข่าวคราวขององค์ชายเลยขอรับ”

“ท่านแม่ทัพ ในยามนั้นองค์ชายเฝ้าระวังอยู่ที่ด่านชีผาน เผิงยวี๋เยี่ยนนำกำลังทหาร 3,000 นายไปตีด่านชีผาน หรือว่าองค์ชาย… อาจจะถูกพวกเขาจับไปแล้ว ? ”

พานเยวี่ยโหลวขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็ส่ายหน้าไปมา “ยังมิได้ยินข่าวที่ว่าองค์ชายถูกพวกเขากุมตัวกลับไปยังเมืองหลวง ดังนั้นองค์ชายยังมิถูกจับไปอย่างแน่นอน และยังมิได้ยินว่าพวกเขาได้สังหารองค์ชายไปแล้ว ดังนั้นองค์ชายยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่โทษขององค์ชายนั้น… เกรงว่าจะทำให้เขามีชีวิตที่ยากลำบากสักเล็กน้อย”

พานเยวี่ยโหลวหันหลังกลับ จ้องมองรองแม่ทัพทั้งสองด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “ส่งหน่วยสอดแนมออกไปอีก ให้สนใจพวกเร่ร่อนจากทุกแห่งเป็นพิเศษ และจงออกตามหาในสถานที่ที่ห่างไกลออกไปด้วย ให้พวกเขาจำเอาไว้ว่า พวกเราและองค์ชายคือตั๊กแตนบนเชือกเส้นเดียวกัน มีสุขร่วมสุข มีทุกข์ร่วมทุกข์

อย่าได้มีจิตคิดเป็นอื่น นอกเสียจาก… องค์ชายจะสวรรคตแล้ว ! ”

“รับคำสั่ง ! ”

รองแม่ทัพทั้งสองออกไปแล้ว คิ้วที่ขมวดมุ่นของพานเยวี่ยโหลวจึงได้คลายออกจากกัน

กองกำลังดาบเทวะเข้าภูเขาหมิน… รังเก่าถูกพังราบโดยทหารดาบเทวะไปแล้ว ต่อให้องค์ชายยังมีชีวิตอยู่ แล้วจะยังสามารถไปที่ใดได้อีกกัน ?

ในยามที่เขารู้สึกไม่สบายใจ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากด้านล่าง หัวใจของเขาพลันบีบรัดจนแน่น จับดาบยาวที่อยู่ข้างกายเอาไว้แน่น จากนั้นก็ได้ยินเสียง ‘ปึง… ! ’ ดังขึ้น ประตูถูกกระแทกเปิดเข้ามา เขามิลังเลเลยแม้แต่น้อย ฟันดาบไปยังประตูห้องทันที เสียงฉับดังขึ้น ดาบของเขาฟันผู้ที่บินเข้ามาขาดเป็นสองส่วน แต่แล้วเขาก็ต้องเลิกคิ้วขึ้นสูง… ดาบนี้ ผู้ที่สังหารไปคือรองแม่ทัพฝ่ายซ้ายของตน !

ในเวลานั้น ก็ได้มีอีกหนึ่งร่างบินเข้ามา เขาชำเลืองมอง ร่างกายเบี่ยงหลบ และยกดาบฟันไปที่ประตูอีกครา

“ตู้ม… ! ”

ดาบของเขาสะบั้นประตูบานนั้น จนประตูแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ หลังจากนั้นก็เห็นคนผู้หนึ่งเดินเข้ามาท่ามกลางเศษซากที่ปลิวว่อน

คนผู้นี้สวมหมวกทรงสูง บนใบหน้ามีรอยแผลเป็นดูดุดันยิ่ง อยู่ห่างกันราว 2 จั้ง ดาบของเขายังมิถูกเก็บกลับคืน คนผู้นี้ก็เดินมาถึงเบื้องหน้าเขาเสียแล้ว หลังจากนั้นเขาก็เห็นอีกฝ่ายยื่นมือออกมา มือข้างนั้นมีนิ้วยื่นมาเพียงนิ้วเดียว

นิ้วนั้นจิ้มมาที่หน้าอกของเขา ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงพลังอันมหาศาล ราวกับมีค้อนเหล็กทุบลงมาตรงหน้าอก ร่างของเขาพลันถดถอย กระอักเลือดออกมาอย่างรุนแรง ชนเข้ากับพนังของโรงเตี๊ยม และลอยออกไปยังต้นหวงหยางด้านนอก

ทั่วทั้งชุมชนหวงหยางต่างก็เดือดพล่านขึ้นทันพลัน

เสียงโหยหวนที่น่าอนาถดังระงม แขกเหรื่อจำนวนมากกุมหัวแล้ววิ่งกระเจิง เถ้าแก่เนี้ยของโรงเตี๊ยมหมิงเยวี่ยอ้าปากค้าง ดวงตาเบิกกว้าง ลืมที่จะหายใจไปจนสิ้น

นางมองกลุ่มคนที่ปรี่เข้ามา และมองไปยังคนอีกกลุ่มที่คิดจะทะยานออกไป ร่างของพวกเขายังวิ่งหนีเอาชีวิตรอด แต่ศีรษะของพวกเขากลับลอยอยู่ในอากาศแล้ว

โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งพื้น และถูกระบายเอาไว้บนกำแพง !

ผู้มาเยือนสังหารอย่างไร้สุ้มเสียง ระหว่างที่ดาบในมือยังกวัดแกว่ง บนพื้นก็มีศพหล่นลงมาเกลื่อนกลาด

หลังจากนั้นพวกเขาก็วิ่งออกไป ยืนอยู่บนถนนใหญ่ของชุมชนหวงหยาง

แล้วจากนั้นเถ้าแก่เนี้ยก็เห็นเหตุการณ์เช่นเดียวกับที่เกิดขึ้นในโรงเตี๊ยมของตน แต่ทว่าเป็นฝั่งตรงกันข้าม

เวรตะไล โจรผู้ร้ายที่แกร่งกล้าเหล่านี้มาจากที่ใดกัน ? คาดมิถึงว่าจะดุเดือดถึงเพียงนี้ !

ชุมชนหวงหยาง ไก่บินหนีไปตัวละทิศละทาง สุนัขวิ่งโร่ เสียงโหยหวนค่อย ๆ หายไป กลิ่นโลหิตลอยคละคลุ้งไปทั่วทั้งชุมชน

มีผู้แข็งแกร่งต่อสู้อยู่กลางอากาศ ดาบทอประกายเต็มไปด้วยจิตสังหาร ‘ปัง ! ’ หลังจากนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้น และมีศพที่ตายตามิหลับหล่นลงมาจากอากาศ

จากนั้น เสียงปืนก็ดังขึ้นอีกหลายนัด สิ้นเสียงปืนที่ดังกึกก้อง ชุมชนหวงหยางเงียบสงบลงอีกครา

ช่วงเวลาสั้น ๆ เพียง 1 ก้านธูป องครักษ์ 3,000 นายและผู้มีฝีมือระดับสูง 12 คนของหยูเวิ่นชู นอกจากหน่วยสอดแนมที่ถูกส่งออกไปข้างนอก ล้วนสิ้นชีพทั้งหมดแล้ว

บนถนนใหญ่ ทหารเกือบ 3,000 นายยังคงยืนอยู่อย่างน่าหวั่นเกรง

บนดาบของพวกเขายังมีรอยเลือดประดับไว้อยู่ เหตุการณ์สังหารหมู่เมื่อครู่ ราวกับกำลังเชือดไก่มิกี่ตัว

เถ้าแก่เนี้ยกลืนน้ำลายอึกใหญ่ รีบหลบสายตามองไปทางอื่น รู้สึกว่าอาวุธสังหารของผู้คนเหล่านี้เฉียบคมยิ่งกว่าใบมีดเสียอีก !