ตอนที่ 592 วิหคตื่นธนู

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 592 วิหคตื่นธนู

หยูเวิ่นชูที่หลบซ่อนอยู่ในเขตหยุนไหล เกิดอาการตากระตุกทั้งวัน

ชีวิตในช่วงนี้ถูกรบกวนเพราะประกาศฉบับนั้นจึงทำให้เขาอารมณ์เสียมากยิ่งนัก หรือจะเกิดเรื่องอันใดขึ้นมาอีกกัน ?

มิได้การ เขามิอาจเดินทางออกไปจากเขตหยุนไหลนี้ได้ !

เขาจึงตัดสินใจทันที ก็เพียงแค่หาสตรีสักคนเท่านั้นมิใช่หรือ ? เยี่ยงไรเสียบัดนี้ข้าก็ไร้สตรีข้างกายแล้ว หาใหม่สักคนและได้รับผืนนาจากเขตหยุนไหล ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขสักระยะ รอให้เรื่องเงียบค่อยลงมือ

ส่วนเรื่องทำนา…ตนเองทำมิเป็นอย่างแท้จริง แต่ทั้งชีวิตนี้ก็คงจะมิเอาแต่ทำนา เมื่อถึงเวลาค่อยว่ากันอีกที

เขาจะต้องเข้าไปยังภูเขา วันนี้มีกลุ่มนายพรานเข้าไปในภูเขาหยุนเพื่อล่าสัตว์ ดังนั้นควรติดตามพวกเขาเพื่อทำความคุ้นเคยกับพื้นที่เสียหน่อย หลังจากนี้ข้าจะได้ลงมือคนเดียวได้ จากความสามารถของข้า การล่ากวางชะมดป่ามิใช่เรื่องยากเลยสักนิด

หยูเวิ่นชูเปลี่ยนอาภรณ์เป็นผ้าฝ้ายสีเขียว สวมหมวกกันหิมะและสะพายดาบออกจากโรงเตี๊ยมมุ่งหน้าไปยังร้านอาหารซื่อไห่ ซึ่งเป็นสถานที่ที่เหล่านายพรานและพ่อค้ามักมารวมตัวกัน

……

……

รัชสมัยเซวียนลี่ที่สิบ เดือนสี่ วันที่สิบห้า

หยูเล่อที่ซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาเหลิ่งเยียนมาเป็นเวลาเกือบ 20 วัน เริ่มอยู่ไม่ติดพื้น

เขาได้ส่งคนออกไปตามหาองค์ชายสี่ทุกแห่งหน แต่กลับมิมีข่าวคราวใดกลับมารายงานเลย พระเชษฐาผู้นี้ไปตายอยู่ที่ใดแล้วกันแน่ ?

เขาเดินวนไปเวียนมาอยู่ในกระโจมแม่ทัพอย่างกังวลใจ หากรอต่อไปคงมิดีเป็นแน่ เนื่องจากเสบียงที่นำมาด้วยเริ่มมิเพียงพอแล้ว ในวันนี้ทหารได้เข้ามารายงานว่าธัญพืชใกล้จะหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงก้นหม้อเท่านั้น อย่างมากสุดก็สามารถดำรงชีพอยู่ได้อีก 2 วัน… หากเหล่าทหารมิมีอาหารกินก็คงมิยินยอมเป็นแน่ พื้นที่หุบเขาเช่นนี้จะไปปล้นเสบียงมาจากที่ใด หรือว่าจะให้ไปล่าสัตว์มาประทังชีวิตกัน

ขงริ่งหยูที่ปรึกษาด้านการทหารที่ติดตามมาด้วยขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า “องค์ชาย ห่างออกไปจากหุบเขาเหลิ่งเยียนนี้มีชุมชนอยู่ ใกล้ที่สุดก็คือชุมชนหวงหยาง จะต้องใช้เวลาราว 6 วันในการเดินทาง แต่บัดนี้ทหารของเรามีอาหารเพียงพอแค่ 2 วัน มิอาจเพียงพอต่อการเดินทางไปยังชุมชนหวงหยางได้ ดังนั้น…”

หยูเล่อที่กำลังกังวลใจอยู่ได้หยุดฝีเท้าลงแล้วตะคอกออกมาว่า “มีความคิดเห็นเยี่ยงไรก็จงรีบกล่าวออกมา อย่ามากความ ! ”

ขงริ่งหยูรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก เขาตอบว่า “ทูลองค์ชาย พวกเราจะต้องส่งทหารออกไปล่าสัตว์ อย่างน้อยก็ต้องให้เพียงพอสำหรับทหารของเราเพื่อที่จะเดินทางไปยังชุมชนหวงหยาง”

ให้ตายเถอะ !

หยูเล่อกัดฟันแน่นแล้วโบกมือออกมาอย่างรำคาญใจ “ไป ๆ ! ข้าอุตส่าห์พาทหารมากมายเดินทางมายังที่แห่งนี้เพื่อฆ่าคน ! เพื่อสังหารเจ้าฟู่เสี่ยวกวนผู้นั้นเสีย ! แต่บัดนี้จะให้ล่าสัตว์…เจ้าฟู่เสี่ยวกวนออกเดินทางไปแล้วจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ขงริ่งหยูโค้งคำนับแล้วตอบ “การล่าสัตว์คือเรื่องจำเป็นยิ่ง ณ เวลานี้พ่ะย่ะค่ะ ส่วนฟู่เสี่ยวกวนเกรงว่าจะเดินทางออกจากทางสายเก่าจินหนิวไปยังฉ่านโจวแล้ว”

หยูเล่อสูดหายใจเข้าลึก ปัดมือเป็นสัญลักษณ์ให้ขงริ่งหยูออกไป จากนั้นก็ได้ยินเสียงดัง ‘ปึง ! ’จากทหารผู้ส่งสารนายหนึ่งที่ผลักประตูเข้ามาชนขงริ่งหยูเข้าจนเต็มเปา ทำให้เขาล้มลงพื้นด้วยอาการมึนงง

“ทูล…องค์ชาย ! ”

ทหารผู้ส่งสารชะงักลงชั่วครู่ “เอ่อ… ท่านที่ปรึกษา ข้าน้อยมีเรื่องสำคัญยิ่งที่ต้องมารายงานจึงมิทันได้มอง…” เขาเดินเข้ามาด้วยอาการตื่นตระหนก จากนั้นก็ช่วยพยุงขงริ่งหยูขึ้นจากพื้น

หยูเล่อมองทหารส่งสารแล้วเอ่ยถามออกมาว่า “เจ้ามีเรื่องอันใดจะรายงาน ? ”

“เอ่อ… ทูลองค์ชาย พบองค์ชายสี่ที่เขตหยุนไหลพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“ว่าเยี่ยงไรนะ ? ” หยูเล่อตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ในใจช่างยินดีเป็นล้นพ้น “เขตหยุนไหลเยี่ยงนั้นหรือ ? ” เขาเดินกลับมาที่โต๊ะแล้วก้มลงมองแผนที่…สวรรค์ ช่างไกลเสียจริง

“เขาไปยังเขตหยุนไหลเพื่อทำอันใดกัน ? ”

“เอ่อ…จากรายงาน กล่าวว่าองค์ชายสี่ไปล่าสัตว์อยู่ที่เขตหยุนไหลพ่ะย่ะค่ะ”

“……”

ล่าสัตว์ ….ล่าสัตว์บ้าบออันใดกัน !

หยูเล่อรู้สึกเอ่ยไม่ออกไปชั่วขณะ ข้าตามหาเจ้าอย่างลำบากอยู่ที่นี่ แต่เจ้ากลับไปล่าสัตว์อยู่ที่เขตหยุนไหล ว่าแต่เหตุใดถึงหนีเรื่องล่าสัตว์มิพ้นเล่า ?

ทหารของข้าก็จะไปล่าสัตว์เช่นกัน แสดงว่าเขามิมีจะกินแล้วเยี่ยงนั้นหรือ ?

เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็รู้สึกเข้าใจในทุกสิ่ง บัดนี้องค์ชายสี่มีหมายจับทั่วทั้งแคว้น คงมิกล้าเผยตัวตนเป็นแน่ มองดูแล้วคงมิมีเงินติดอยู่ในกระเป๋าเป็นแน่ เขตหยุนไหลก็ช่างห่างไกลความเจริญยิ่ง จึงทำได้เพียงแค่ออกไปล่าสัตว์ประทังชีวิตเท่านั้น

“เหตุใดถึงมิพาตัวองค์ชายสี่กลับมาด้วยเล่า ? ”

“ทูลองค์ชาย องค์ชายสี่…มิยอมรับพ่ะย่ะค่ะ ! ”

“มิยอมรับ ? หมายความว่าเยี่ยงไร ? ”

“องค์ชายสี่กล่าวว่าพวกเราจำคนผิดพ่ะย่ะค่ะ”

“……”

วิหคตื่นธนู ! หยูเล่อยกยิ้มเล็กน้อย บัดนี้องค์ชายสี่เปรียบเสมือนสุนัขจรจัด ส่วนหน่วยสอดแนมที่ส่งออกไปนั้น ในมือไร้ตราสัญลักษณ์ใด ๆ จะให้เขายอมรับคงมิได้เป็นแน่ แต่หากเขามิกลับมา ข้าจะทำเยี่ยงไร ?

จะให้กองทัพแยกย้ายกัน แล้วไปหาเขาที่เขตหยุนไหลเยี่ยงนั้นหรือ ?

จากที่แห่งนี้ไปยังเขตหยุนไหลไกลราว 300 ลี้ ต้องผ่านเส้นทางหวนลางเทียน 150 ลี้ ต้องใช้เวลาในการเดินทางหลายวันทีเดียว กว่าจะถึงเขตหยุนไหลคงต้องใช้เวลาอย่างน้อย 10 วัน

ไปหรือมิไปดี ?

ในขณะที่หยูเล่อกำลังลังเลอยู่นั้น ก็มีทหารหน่วยสอดแนมอีกคนหนึ่งวิ่งเข้ามารายงานว่า

“ทูลองค์ชาย ที่ชุมชนหวงหยางเกิดสงครามนองเลือดขึ้น มีคนตายไปกว่าสามพันคนพ่ะย่ะค่ะ”

หยูเล่อขมวดคิ้วมุ่น “ชาวบ้านเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“หาใช่ไม่พ่ะย่ะค่ะ ทางฝั่งผู้ตายได้ใช้ชีวิตในชุมชนหวงหยางมาหลายเดือนแล้ว ส่วนทางฝั่งผู้ลงมือสังหารเพิ่งจะเดินทางมาถึงชุมชนหวงหยางเมื่อวันที่สิบสองเดือนสี่เท่านั้น มีรายงานว่าอาจจะเป็นกองกำลังดาบเทวะ ! ”

หยูเล่อตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน กองกำลังดาบเทวะเยี่ยงนั้นหรือ ?

ขงริ่งหยูได้ยินดังนั้นก็วิตกกังวลขึ้นมาทันใด

“กองกำลังนั้นมุ่งหน้าไปทางใด ? ”

“เรียนท่านที่ปรึกษา กองกำลังนั้นเดินทางออกจากหวนลางเทียนเข้าไปยังภูเขาเทียนเชวีย”

“มิได้ผ่านถนนจ้านเต้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เอ่อ…มิได้ผ่านขอรับ พวกเขาทั้งหมดเข้าไปยังภูเขาเทียนเชวียแล้ว”

ขงริ่งหยูขมวดคิ้วมุ่น จากนั้นก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าแผนที่ พิจารณาอย่างละเอียดว่ากองกำลังดาบเทวะกำลังคิดทำอันใดอยู่กันแน่ ?

ระหว่างภูเขาเทียนเชวียและภูเขาเหวินมีซอกเขาร่วนหยุนที่ยากแม้แต่ให้นกบินผ่านอยู่ พวกเขามิอาจข้ามผ่านซอกเขาร่วนหยุนเพื่อไปยังภูเขาเหวินได้เป็นแน่

“แล้วพวกเขากำลังทำอันใดอยู่กันแน่ ? ” ขงริ่งหยูเอ่ยออกมาอย่างไม่เข้าใจ

หยูเล่อยิ่งงุนงงมากกว่าเดิม ครุ่นคิดชั่วครู่แล้วหัวเราะออกมา “พวกเขาน่าจะมิมีอาหารแล้ว จึงเข้าไปล่าสัตว์สินะ ! ใช่แล้ว พวกเขาต้องเข้าไปยังภูเขาเทียนเชวียเพื่อล่าสัตว์เป็นแน่”

ขงริ่งหยูคิดว่ามันมิน่าจะง่ายดายถึงเพียงนั้น แต่มิว่าเยี่ยงไรก็คิดหาเหตุผลอื่นมิได้แล้ว

“ในเมื่อพวกเขาสังหารชาวบ้านในชุมชนหวงหยางไปถึง 3,000 คน จะขาดแคลนอาหารได้เยี่ยงไรพ่ะย่ะค่ะ ? ”

“เช่นนั้น…เจ้าลองกล่าวมาว่าพวกเขากำลังทำอันใดอยู่กัน ? ”

ขงริ่งหยูเอ่ยไม่ออก ยกมือลูบไปยังเครายาวแล้วขมวดคิ้ว จ้องมองไปยังแผนที่แล้วนิ่งเงียบอีกครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยออกมาว่า “องค์ชาย พวกเราจะต้องส่งหน่วยสอดแนมไปดูว่าพวกเขากำลังทำอันใดอยู่ที่ซอกเขาร่วนหยุนพ่ะย่ะค่ะ”

หยูเล่อชะงักลงทันพลัน “เจ้าคิดว่ากองกำลังดาบเทวะมีปีกบินได้เยี่ยงนั้นหรือ ? พวกเรามีการป้องกันชั้นยอด หากกองกำลังดาบเทวะจำนวน 3,000 นายเข้าไปในภูเขา พวกเราก็ใช้กลยุทธ์รอซ้ำยามเปลี้ย และยังมีจอมยุทธ์ชุดดำอยู่ตั้ง 100,000 คน แบบนี้ก็น่าจะจัดการทหาร 3,000 นายได้แล้วมิใช่หรือ ? เจ้ากลัวสิ่งใดกัน ? หวาดกลัวเสียจนมีสภาพเป็นเช่นนี้ เจ้าคิดจริงหรือว่าพวกเขาฟันแทงมิเข้า ? รีบไปสั่งทหารออกล่าสัตว์เร็วเข้า ! ”

ขงริ่งหยูถูกหยูเล่อตำหนิ เขาจึงเดินออกจากกระโจมแม่ทัพไปอย่างเงียบ ๆ เขาคิดว่าคำเอ่ยของหยูเล่อก็พอสมเหตุสมผลอยู่บ้าง

จอมยุทธ์จำนวน 100,000 คนเชียวนะ อีกทั้งยังเป็นจอมยุทธ์ชุดดำผู้เก่งกาจ หากกองกำลังดาบเทวะ 3,000 นายตกอยู่ในมือพวกเขา เพียงแค่ถ่มน้ำลายใส่ก็คงจมน้ำตายไปแล้ว

แต่เหตุใดในใจของข้าจึงกังวลมากยิ่งนัก ?

……

บัดนี้ในใจของหยูเวิ่นชูก็กังวลเช่นกัน

เขาติดตามนายพรานเข้าไปในภูเขาหยุน เเละคิดถึงคำเอ่ยของคนกลุ่มนั้น บางทีอาจจะเป็นจริงก็ได้ แต่ก็มิสำคัญอีกต่อไปแล้ว ที่สำคัญก็คือมีคนตามหาตัวเขาพบแล้ว

อืม… แล้วจะมีผู้อื่นตามหาตัวข้าพบอีกหรือไม่ ?

ในขณะที่กำลังครุ่นคิด ก็ได้มีประกายแสงเยือกเย็นจากดาบลอยมาถึงตัว !