ความชิงชังที่เพิ่มพูน
บนเส้นทางสายอันห่างไกลผู้คนในจวนจงอู่โหว เสิ่นเสวี่ยพาอี่ชุ่ย สาวใช้เดินไปอย่างรีบร้อน
“ถึงหรือยัง อีกไกลแค่ไหน” หญิงสาวหยับผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อ พลางเอ่ยถามอย่างร้อนใจ โดยปกติภายในจวน นางเดินไกลที่สุดก็แค่ไปยังเรือนซงเฮ่อของท่านย่าเท่านั้น หรือไม่ก็ไปชมดอกไม้ในสวนเท่านั้น เคยมายังสถานที่เปล่าเปลี่ยวเช่นนี้เมื่อไหร่กัน
ในตอนนี้นางรู้สึกหวาดหวั่นยิ่ง เมื่อคิดว่ามารดาต้องมารับโทษในสถานที่เช่นนี้ นางก็รู้สึกปวดใจมาก ผนวกกับความคับข้องใจที่ได้รับตลอดหลายวันมานี้ นางยิ่งอยากพบหน้ามารดาโดยเร็ว
“ใกล้แล้วเจ้าค่ะ คุณหนู เลี้ยวด้านหน้าก็ถึงแล้วเจ้าค่ะ” อี่ชุ่ยก็รู้สึกขาล้าแล้ว ถึงแม้นางเป็นบ่าว แต่สาวใช้ใหญ่ข้างกายคุณหนูต่างก็ได้รับการปฏิบัติอย่างดี เป็นรองแค่คุณหนูเท่านั้น
เมื่อเดินต่อไปอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดก็มาถึงหอธรรมที่ฮูหยินหลิวใช้ปฏิบัติธรรม แต่ยังไม่ทันเดินเข้าไปใกล้ แม่นมชราผู้หนึ่งก้าวออกมาจากในห้องเล็ก มองนายบ่าวทั้งสองด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“แม่นมม่าย คุณหนูของเราจะมาเยี่ยมฮูหยิน” อี่ซุ่ยกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
หญิงชรายืนนิ่งไม่ขยับ แต่กระตุกมุมปาก เผยยิ้มแข็งกร้าว “ฮูหยินสามกำลังตั้งใจปฏิบัติธรรม คุณหนูห้ากลับไปเสียเถอะ อย่าได้รบกวนความสงบของฮูหยินสามเลยเจ้าค่ะ”
เสิ่นเสวี่ยพลันเดือดดาลขึ้นมา เมื่อไหร่กันที่แม้แต่บ่าวรับใช้ฐานะต่ำต้อยกล้าหักหน้านางเช่นนี้ “ยายเฒ่าเหตุใดเจ้าจึงพูดเช่นนี้กับเจ้านาย หลีกไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไป”
แต่แม่นมม่ายกลับไม่ยอมขยับ “คุณหนูห้าโปรดระงับโทสะด้วยเจ้าค่ะ บ่าวแค่ทำตามหน้าที่เท่านั้น ขอคุณหนูห้าอย่าทำให้บ่าวต้องลำบากใจ้เลยเจ้าค่ะ” แม้ปากจะเอ่ยออกไปเช่นนี้แต่ในใจกลับรู้สึกเย้ยหยัน ฮูหยินสามทำตัวเองจนต้องมารับโทษในหอธรรม คุณหนูห้ายังจะมีใครให้พี่งพิงอีก
เสิ่นเสวี่ยพลันเดือดดาลขึ้นมา ขยับไปเบื้องหน้าหมายจะตบหน้าอีกฝ่าย ฝ่ายอี่ชุ่ยเห็นอย่างนั้นก็รีบรั้งไว้ บอกเสียงเบาว่า “คุณหนู ไม่ได้นะเจ้าคะ แม่นมม่านเป็นคนในเรือนของเหล่าไท่จวิน” หากก่อเรื่องขึ้นมาจะต้องล่วงรู้ถึงหูเหล่าไท่จวินกับนายท่านแน่ๆ คุณหนูห้าคงไม่เป็นไร แต่นางคงถูกลงโทษแน่
เสิ่นเสวี่ยก็รู้ว่าจะก่อเรื่องไม่ได้จึงสะบัดผ้าเช็ดหน้า กัดฟันแน่นอย่างเคืองแค้น นางบ่าวสมควรตาย อาศัยอำนาจเจ้านายทำตัวกร่าง รอดูเถอะว่าหลังจากนี้นางจะจัดการมันอย่างไร
อี่ชุ่ยปลอบคุณหนูให้คลายโทสะ ก่อนจะเดินไปหาแม่นมม่ายด้วยรอยยิ้ม ปลดกำไลทองที่ข้อมือยัดใส่มืออีกฝ่าย “คุณหนูของเราอารมณ์ไม่ดี แม่นม ท่านอย่าได้ถือสาเลย ท่านดูเถอะ พวกเราเดินทางมาไกลก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ท่านก็ผ่อนปรนให้สักหน่อยเถอะ” อี่ชุ่ยกล่าวขอร้อง
กำไลทองที่สวมที่มือมีน้ำหนักมาก สีหน้าของแม่นมม่ายเผยความละโมบ สายตากวาดมองดวงหน้าของอี่ชุ่ย ก่อนจะเอ่ยอย่างมีเลศนัย “เข้าไปเถอะ”
“ขอบคุณแม่นมม่าย” อี่ชุ่ยดึงคุณหนูของนางเจ้าไปในหอธรรม และไม่ลืมกล่าวขอบคุณ
แม่นมม่ายมองตามแผ่นหลังของคนทั้งสอง ก่อนจะก้มหน้ามองกำไลทองในมือ ก่อนจะขยับมือคาดเดาน้ำหนัก ใบหน้าชราเผยรอยยิ้มพอใจ ถึงอย่างไรเสียข้างบนก็สั่งให้นางเฝ้าฮูหยินสามไว้ แต่ไม่ได้ห้ามไม่ให้ใครมาเยี่ยม
แต่ว่าสาวใช้คนสนิทของคุณหนูช่างใช้จ่ายมือเติบ ต้องขอบคุณฮูหยินสามจริงๆ นับตั้งแต่นางย้ายมาที่หอธรรม ตนก็ทำเงินได้หลายตำลึงแล้ว
“ท่านแม่ ท่านแม่” เมื่อเสิ่นเสวี่ยเข้ามาด้านในก็ตะโกนเรียก
ฮูหยินสามที่กำลังนั่งหันหลังให้ประตูอยู่บนหมอนรองนั่งหันมามองในทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น ริมฝีปากสั่นระริก เหมือนกับไม่อยากเชื่อ “เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ เป็นเจ้าใช่ไหม” นางยื่นมืออกไป แต่ลังเลไม่กล้าสัมผัส
เสิ่นเสวี่ยมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายชัดเจนก็ปิดปากอุทานอย่างตกตะลึง “ท่านแม่ เหตุใดท่านจึงกลายเป็นเช่นนี้เจ้าคะ”
หญิงชราตรงหน้าจะใช่มารดาที่สูงส่งและสง่างามของนางได้อย่างไร ช่วงเวลาสั้นๆ มารดาแก่ชราลงสิบปี ใบหน้าใสสะอาดเต็มไปด้วยริ้วรอย ซูบผอมลงมาก แต่งกายด้วยชุดสีดำ บนศีรษะแม้แต่ปิ่นปักผมก็ไม่มี
“ท่านแม่ พวกมันทรมานท่านใช่หรือไม่ ไป พวกเราไปขอความเป็นธรรมจากท่านย่ากัน” เสิ่นเสวี่ยเดือดดาลมาก ถึงอย่างไรท่านแม่ของนางก็เป็นฮูหยินสามของเรือน จะปล่อยให้บ่าวรังแกได้อย่างไร
“เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ทำเช่นนั้นไม่ได้” ฮูหยินหลิวรั้งตัวบุตรสาว “ท่านย่าของเจ้าร่างกายไม่แข็งแรง พวกเราอย่าสร้างเรื่องวุ่นวายให้ท่านอีกเลย”
จะพูดความจริงกับบุตรสาวได้อย่างไรเล่า แม้นางจะตกต่ำอย่างไรก็เป็นฮูหยินสาม บ่าวอย่างแม่นมม่ายไม่กล้ารังแกนาง เพียงแต่ว่าถูกบ่าวผู้นั้นคอยเฝ้าให้ปฏิบัติธรรมทั้งวัน เรื่องนี้ทำให้นางเหน็ดเหนื่อยเกิดกว่านางจะทนไหวแล้ว ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ นางต้องนั่งคุกเข่าจนหัวเข่าแดงช้ำไปหมด ไม่มีทางอื่น เพื่อให้พักผ่อนสักครู่ เพื่อให้มียาทาแก้ปวดเมื่อย เครื่องประดับบนศีรษะของนางทั้งหมดจึงต้องยกให้แม่นมม่ายเป็นสินน้ำใจ
“ท่านแม่!” เสิ่นเสวี่ยร้องออกมาอย่างไม่พอใจ “เหตุใดเวลานี้ท่านจึงได้ขี้ขลาดนัก ยังต้องกลัวแค่สาวใช้คนเดียวหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินหลิวรีบปิดปากบุตรสาวไว้ นางที่ไม่อาจออกไปจากที่นี่ได้ในเร็ววัน หากขัดแย้งกับแม่นมม่าย นางจะยังมีชีวิตที่สงบสุขได้หรือ หลายวันมานี้เพียงพอที่จะทำให้นางยอมรับความจริงได้แล้ว ไม่ว่าเหล่าไท่จวิน หรือสามีของนางต่างก็พึ่งพาไม่ได้
“เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์อย่าได้ใส่ใจเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้เลย แม่ไม่เป็นไร รีบบอกแม่มาเร็ว เจ้าสบายดีหรือไม่ น้องชายของเจ้าสบายดีหรือไม่ ถูกรังแกบ้างหรือไม่” ฮูหยินหลิวรับมือบุตรสาวเอ่ยถามอย่างห่วงใย
เสิ่นเสวี่ยน้ำตาไหลพรากในทันที ร่างบางถลาเข้าไปในอกมารดา บอกอย่างสะอึกสะอื้นว่า “ไม่ดี ไม่ดีสักนิด นับตั้งแต่ท่านแม่ต้องมาอยู่ในหอธรรม ลูกก็ไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง แม้แต่อาหารที่ถูกปากก็ไม่ได้กิน” เมื่อก่อนพวกพ่อบ้านแม่นมเห็นนางก็ยิ้มต้อนรับมาจากที่ไกลๆ เวลานี้มองเห็นนางก็ทำเหมือนมองไม่เห็น เมื่อวันก่อนนางให้คนไปเอาผ้าจากห้องเย็บปักเพื่อทำกระเป๋าเงิน กลับถูกคนดูแลบ่ายเบี่ยงไม่ยอมให้ วางท่ายกตนข่มคนของนาง
ฮูหยินหลิวร้อนใจขึ้นมา “น้องชายของเจ้าล่ะ เขาถูกรังแกหรือไม่” เมื่อเทียบกับบุตรสาวแล้ว นางห่วงบุตรชายที่อายุยังน้อยมากกว่า เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์แม้จะถูกรังแกอย่างไร แต่ปลายปีนี้ก็จะออกเรือนแล้ว แต่อี้เกอเอ๋อร์อายุยังน้อย
“ถูกรังแกเจ้าค่ะ บ่าวในเรือนปล่อยปละละเลย ไม่ใส่ใจเขา เสื้อผ้าของเขารอยขาดก็ไม่มีใครสนใจ” เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์พูดเสียงเครือ
ฮูหยินหลิวทรุดนั่งลงบนพื้น สีหน้าทั้งเจ็บปวดทั้งโกรธแค้น ปิดปากน้ำตาไหล “เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์กับอี้เกอเอ๋อร์ที่น่าสงสารของข้า” ตลอดเวลาที่อยู่ในหอธรรมแห่งนี้นางกังวลอยู่ตลอดเวลา กลัวว่าบุตรชายและบุตรสาวจะถูกระรังแก ในที่สุด เวลานี้เรื่องที่นางกังวลที่สุดก็เป็นจริง
“เวยเจี่ยเอ๋อร์!” แววตาของฮูหยินหลิวเผยความอำมหิต ทั้งหมดเป็นเพราะแผนร้ายของนางแพศยานั่น หากไม่ใช่เพราะมัน ตนคงไม่ต้องมารับโทษในหอธรรมแห่งนี้ เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์และอี้เกอเอ๋อร์คงไม่ถูกพวกบ่าวละเลย
“ใช่ ทั้งหมดเป็นเพราะมัน! ท่านแม่ เหตุใดครั้งนั้นท่านไม่ฆ่ามันให้ตาย” เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์เช็ดน้ำตา แววตาเผยความเคียดแค้น ยิ่งเห็นพวกคนดูแลจวนน้อยใหญ่คอยประจบประแจงเรือนเฟิงฮวานางก็ยิ่งแค้น
เหตุใดครั้งนั้นนางไม่ฆ่ามันให้ตาย ไม่อย่างนั้น ท่านแม่คงไม่ต้องมาทนลำบากในหอธรรมแห่งนี้ นางก็จะมีสินเดิมที่ทำให้หญิงสาวทั่วทั้งเมืองหลวงต้องอิจฉา ไปที่ใดต่างก็เป็นที่ชื่นชมของผู้คน เหตุใดนางไม่ฆ่ามันให้ตาย
สองแม่ลูกจมอยู่ในภวังค์ความแค้นที่มีแต่เสิ่นเวย ในขณะที่อี่ชุ่ยที่อยู่ข้างๆ กันอดไม่ได้ที่จะร้อนใจขึ้นมาจึงเอ่ยเตือนว่า “ฮูหยิน คุณหนู มีเรื่องอะไรก็รีบพูดกันเถอะเจ้าค่ะ เวลาผ่านไปนานแล้ว” คิดว่าอีกเดี๋ยวแม่นมม่ายคงจะมาไล่พวกนางกลับไป
ฮูหยินหลิวรีบเช็ดน้ำตา รั้งมือของบุตรสาวไว้ สั่งความอย่างกังวลว่า “เสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ เจ้าจะต้องดูแลน้องชายของเจ้าให้ดี ต่อไปเขาจะเป็นที่พึ่งพิงของเจ้า หากเขาเจริญรุ่งเรือง เจ้าก็จะรุ่งเรืองไปด้วย เจ้าต้องใส่ใจเขาให้มาก อย่าให้พวกบ่าวรังแกเขา และอย่าปล่อยให้พวกบ่าวทำให้เขาเสียคน หากมีเรื่องเช่นนี้เจ้าจะต้องบอกท่านพ่อกับท่านย่า รู้หรือไม่”
เสิ่นเสวี่ยพยักหน้าตอบ “ท่านแม่ ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ”
เห็นบุตรสาวยอมเชื่อฟัง ในใจของฮูหยินหลิวรู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้างง “อย่ามาพบแม่บ่อย สิบวันหรือครึ่งเดือนค่อยมาสักครั้ง และไม่ต้องนำข้าวของอะไรมา นำยาทาแผลภายนอกมาสักเล็กน้อยก็พอแล้ว แม่จะคิดหาทางออกไปโดยเร็ว” หากส่งเงินมาให้นาง คนที่ได้ประโยชน์ก็คือแม่นมม่าย
“เจ้าค่ะ” เสิ่นเสวี่ยพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น หยาดน้ำตาบดบังการมองเห็น
สุดท้ายฮูหยินหลิวก็ตัดใจผลักนางออกไป พร้อมเอ่ยว่า “ไปเถอะ รีบไปได้แล้ว”
“ท่านแม่” เสิ่นเสวี่ยถูกอี่ชุ่ยดึงกลับไปทั้งน้ำตา ในขณะที่ฮูหยินหลิวนั่งร้องไห้เงียบๆ อยู่บนพื้น ผ่านไปนานจึงลุกขึ้นคุกเข่าบนหมอนรองนั่งอีกครั้ง ในใจกำลังใคร่ครวญ…ยังมีเวลาอีกสามเดือนกว่าก็จะถึงวันมงคลของเสวี่ยเจี่ยเอ๋อร์ นั่นเป็นโอกาสของนาง นางจะต้องไขว่คว้าไว้ให้จงได้!
เพียงไม่นานบทสนทนาของฮูหยินหลิวและบุตรสาวก็ล่วงรู้ถึงหูของเสิ่นเวย นางเหยียดยิ้มหยันก่อนจะละความสนใจจากเรื่องนี้ สำหรับความกังวลของฮูหยินหลิว นางพอจะเข้าใจ กลัวว่านางจะวางแผนร้าย เลี้ยงดูอี้เกอเอ๋อร์ให้เสียคนเหมือนที่ฮูหยินผู้นั้นเคยทำกับเจวี๋ยเกอเอ๋อร์ไม่ใช่หรือ
ช่างโง่งมเสียจริง คิดว่านางมีสติปัญญาเท่าเด็กเหมือนนางหรือ ต่อไปผู้ที่จะปกครองเรือนสามก็คอเจวี๋ยเกอเอ๋อร์ หากอี้เกอเอ๋อร์ไม่เอาไหน เช่นนั้นจะไม่นำความเดือดร้อนมาให้เจวี๋ยเกอเอ๋อร์หรือ นางหวังให้อี้เกอเอ๋อร์มีความก้าวหน้ามากกว่า ต่อไปเมื่อแต่งงานแยกไปมีครอบครัวแล้วจะได้ไม่เป็นภาระของเจวี๋ยเกอเอ๋อร์
แผนการที่เสิ่นเวยวางไว้นานแล้ว ในที่สุดก็ฤกษ์ออกเดินทางเสียที นางพาเจวี๋ยเกอเอ๋อร์กับครอบครัวของท่านตาไปเที่ยวเล่นที่หมู่บ้านแถบชานเมืองสามสี่วัน คนที่ดีใจที่สุดก็คือหร่วนเหมียนเหมียน ญาติผู้น้อง นับตั้งแต่นางรู้เรื่องนี้ก็แย้มยิ้มไม่ขาด
ในคราวแรกท่านตาไม่ยอมไป ชายชราไม่ได้ออกจากจวนสิบกว่าปีแล้ว และไม่มีความคิดนั้นด้วย
ภายหลังอดทนต่อการออดอ้อนของเสิ่นเวยไม่ไหว จึงยอมตกลง
ตอนเช้าตรู่ รถม้าสิบกว่าคันเดินทางออกจากเมืองอย่างยิ่งใหญ่ เมื่อได้สูดอากาศบริสุทธิ์ เสิ่นเวยรู้สึกปลอดโปร่งไปทั้งตัว ได้ระบายความอึดอัดที่ต้องเก็บตัวอยู่ในเรือนหลัง มองเรือกสวนไร่นาระหว่างทาง อยากจะตะโกนออกไปดังๆ จริงๆ
“พี่เวย ในหมู่บ้านสนุกมากหรือเจ้าคะ” แววตาของหร่วนเหมียนเหมียนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและคาดหวัง เด็กน้อยน่าสงสารคนนี้ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยออกจากเมืองเลย จวนก็เคยออกไปไม่กี่ครั้งเท่านั้น
เอ่อ? ที่จริงเสิ่นเวยก็ไม่เคยไปที่หมู่บ้านแห่งนั้น แต่ว่านางเคยไปหมู่บ้านตระกูลเสิ่น หมู่บ้านแถวชานเมืองคงจะคล้ายกับหมู่บ้านตระกูลเสิ่นกระมัง
“สนุกสิ! ที่หมู่บ้านสามารถจับปลาได้ ขึ้นเขาไปเก็บผลไม้หรือล่าสัตว์ก็ได้ น่าตื่นเต้นมาก” เสิ่นเวยเล่าประสบการณ์ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นให้นางฟัง
“จริงหรือ ข้ายังไม่เคยจับปลามาก่อนเลย และไม่เคยเก็บผลไม้ด้วย พี่เวย ผลไม้นั้นอร่อยหรือไม่” หร่วนเหมียนเหมียนจับแขนเสิ่นเวยไว้ เด็กสาวตื่นเต้นมากๆ
“ตอนนี้คงไม่อร่อย ผ่านไปอีกสักสามสี่วันผลไม้บนเขาจึงจะสุกทั้งหมด ตอนนี้คงกึ่งสุกแล้ว” เรื่องนี้เสิ่นเวยมีประสบการณ์ ตอนที่อยู่ที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่น พวกเด็กรับใช้ของนางมักจะไปวิ่งเล่นบนเขา ทุกครั้งจะนำผลไม้ป่ากลับมาฝากนางอยู่เสมอ ถึงแม้จะลูกไม่ใหญ่ แต่เมื่อสุกแล้วรสชาติไม่เลว
นางเห็นหร่วนเหมียนเหมียนมีท่าทีผิดหวังอยู่บ้างจึงรีบเอ่ยว่า “พวกเราจับปลาได้ด้วย ได้ยินว่าในหมู่บ้านมีแม่น้ำสายเล็กๆ อยู่ด้วย พวกเราไปจับปลากันแล้วข้าจะย่างปลาให้เจ้ากิน รสมือของข้าไม่เลว” เสิ่นเวยหลอกล่อนาง
“ดีเลย ดี ข้าอยากกิน” หร่วนเหมียนเหมียนตบมืออย่างดีใจ เหล่าสาวใช้ที่ติดตามมาด้วยก็พลอยมีสีหน้าตื่นเต้นไปด้วย