ภาคที่ 4 บทที่ 77 ภัยจากอสูรชั่วร้าย (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 77 ภัยจากอสูรชั่วร้าย (1)

ซูเฉินยังคงทำการทดลองต่อไปพลางแนะแนวทางการบ่มเพาะพลังของกังเหยียนต่อดังเช่นปกติ นับตั้งแต่แบ่งความรับผิดชอบเครือข่ายเรือเหาะไปแล้ว แรงกดดันที่มีก็ลดลงมาก

กังเหยียนกำลังฝึกเคล็ดวิชาจิตแท้ หลังจากพัฒนาวิชาจิตตัดฟ้าขึ้นมาได้แล้ว ซูเฉินก็รู้ซึ้งถึงความสำคัญของพลังจิต ไม่เพียงตัวเขาเองใช้เวลาฝึกฝนพลังจิต แต่กังเหยียนก็ถูกลากมาฝึกด้วย

แต่สำหรับเผ่าหินผาแล้ว การฝึกพลังจิตนั้นยากมาก

ระหว่างที่ฝึกไป เปลือกตากังเหยียนเริ่มตก จากนั้นก็เริ่มกรนออกมาเสียงเป็นจังหวะ

“ฉ่า !” เปลวไฟม้วนหนึ่งกระทบหนังกังเหยียน เผาหนังเขาจนเกิดเสียงฉ่า ความเจ็บปวดปลุกกังเหยียนสะดุ้งตื่นทันที รีบกลับมาฝึกฝนต่อ ตรงที่ถูกเพลิงไหม้ไปฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว ก่อนหายไปไร้ร่องรอย

ซูเฉินมองบาดแผลที่หายไปแล้วก็ถอนหายใจ “ดูท่าฝึกเคล็ดวิชาจิตแท้ต่อไป พลังจิตเจ้าอาจไม่เพิ่มมากขึ้นเท่าไหร่ แต่หนังเจ้าจะทนไฟมากขึ้นมากกว่ากระมัง”

กังเหยียนเกาศีรษะ “นายท่าน เผ่าหินผาพลังจิตต่ำต้อยอยู่แล้ว พวกเราไม่เคยพึ่งพาสิ่งนั้น สุดท้ายฝึกไปข้าอาจไม่ได้ใช้”

“ข้าเลยกดดันให้เจ้าฝึกพลังจิตอยู่นี่ไง” ซูเฉินตอบ “ในเผ่าหินผาไม่เคยมีด่านสู่พิสดารมาก่อน ข้าวิเคราะห์ร่างเจ้ามาแล้ว แท้จริงแล้วร่างกายมนุษย์กับเผ่าหินผาก็ไม่ต่างกันมาก แม้ร่างกายพวกเจ้าจะกำยำกว่า แต่แก่นพลังกลับคล้ายกัน แต่เรื่องพลังจิตนั้นเผ่าหินผาอ่อนแอกว่ามนุษย์เล็กน้อย หากเจ้าอยากกลั่นแท่นบงกชทะลวงสู่ด่านสู่พิสดารก็จำต้องใช้พลังงานจิต ข้าเลยคิดว่าปัญหาที่ขวางกั้นเผ่าหินผาอยู่จริง ๆ แล้วคือพลังงานจิต”

“เช่นนั้นข้าจะบ่มเพาะพลังต่อ” กังเหยียนตอบอย่างจนใจ

“เอาเถอะ ค่อยเป็นค่อยไปดีกว่า อย่างไรเราก็มีเวลาตั้งมาก” ซูเฉินหัวเราะ

“ขอรับ” กังเหยียนตอบคำ เขากลัวตนเองจะหลับไปอีก ดังนั้นจึงเลือกเรื่องคุยขึ้นมาเองบ้าง “ใช่แล้วนายท่าน ท่านจะขอหมั้นกับตระกูลกู่ตอนไหนหรือ ?”

“ยังต้องรอโอกาสดีเพื่อทำให้ดูเป็นธรรมชาติอยู่ อย่าพูดมาก มุ่งจิตไป แล้วปล่อยจิตออกมา ลองยืดมันออกไป ใช้พลังงานจิตลองสัมผัสโลกภายนอก…… ไหนบอกข้าสิว่าสัมผัสอะไรได้บ้าง ?”

“ลมพัดผ่านใบหน้า ไอน้ำในอากาศกำลังหมุนเวียน พลังต้นกำเนิดหลั่งไหล……” กังเหยียนเอ่ย ๆ เอ่ยคำราวกับละเมอ ทุกอย่างที่สัมผัสได้ล้วนเป็นสิ่งที่ผู้ฝึกจิตเริ่มแรกจะสัมผัสได้ทั้งสิ้น

ซูเฉินพยักหน้าพอใจ แม้กังเหยียนจะดูหัวทึบไปบ้าง แต่จริง ๆ แล้วก็ฉลาดกว่าเผ่าหินผาคนอื่น ๆ มาก

“ข้ายัง ……ได้กลิ่นเลือด” กังเหยียนว่าพลางสูดจมูกฟุดฟิด

อะไรนะ ?

ซูเฉินชะงักไป ก่อนจะสัมผัสได้เช่นกัน สีหน้าเขาทะมึนลง

กังเหยียนยังคงนั่งหลับตาสัมผัสธรรมชาติรอบกายตนต่อ “ข้าสัมผัสถึงพลังกดดันที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ…… เป็นพลังเริ่มแรกที่ให้สัมผัสเป็นธรรมชาตินัก…… มันช่างสง่าผ่าเผยอะไรเช่นนี้ ! ข้าหายใจแทบไม่ออก !”

กังเหยียนร่างเริ่มสั่นเทิ่มก่อนตะโกนลั่นขึ้น “มันคืออะไรกัน ? นายท่าน ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าความมืดกำลังคืบคลาน ?”

“ก็เพราะว่ามันใช่ไงเล่า” ซูเฉินตอบเสียงเย็น

กังเหยียนจึงลืมตาตื่น เห็นว่าท้องฟ้าเหนือหัวกลายเป็นสีดำตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้

ความมืดโรยตัวมายังพื้นที่โดยรอบราวกับหมอกหนาลง เมืองกลืนธาราตอนนี้ถูกกลืนเข้าความมืดไปแล้ว

กลางวันกลายเป็นกลางคืน แรงกดดันไร้ร่างเข้าปกคลุม

“นี่มัน…… เกิดอะไรขึ้นกัน ?” กังเหยียนตกตะลึง

“ก็อย่างที่เจ้าว่ามาและสัมผัสได้” ซูเฉินเอ่ยช้า ๆ

ฟ้าว !

ตู้ม !

สายฟ้าวาบผ่าน เกิดเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น มันซัดตรงลงมายังพวกเขา ก่อนจะหายไปแทบจะในพริบตา

ความมืดยิ่งหนาแน่น กลิ่นอายคลุ้มคลั่งแผ่ซ่านไปทั่วทุกอณูอากาศ

“เป็นอสูรกาย ! ตัวมหึมาเลย !” กังเหยียนโพล่งออกมา

ในที่สุดเขาก็เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น

เผ่าสัตว์อสูรบุก !

แม้พวกมนุษย์จะตั้งทัพใหญ่ไว้ที่ชายแดนเพื่อป้องกันเผ่าสัตว์อสูร แต่ก็มีบางครั้งที่อสูรกายจำนวนมากฝ่าแนวกั้นมาได้แล้วบุกรุกเข้ามายังเขตแดนมนุษย์ จากนั้นก็จะทำการฆ่าสังหารสร้างความโกลาหล

อสูรกายที่สามารถฝ่าทัพป้องกันมาได้ย่อมไม่ใช่อสูรกายธรรมดา

เมฆดำลอยเต็มฟ้า ปราณชั่วร้ายพลุ่งพล่านในอากาศ เห็นได้ชัดว่าเป็นอสูรกายทรงพลังที่บุกเข้ามา

“ระดับเจ้าอสูร ! อย่างน้อยก็ระดับเจ้าอสูร !” กังเหยียนร้องลั่น

และราวกับมันอยากตอบเสียงร้องของกังเหยียน

“โฮกกก !”

เสียงคำรามดังลั่นกระหึ่มทั่วเมฆดำ ไม่นานหัวขนาดใหญ่ของมันก็โผล่ขึ้นมา

แค่หัวก็มีขนาดเท่าบ้านหลังหนึ่ง ลำตัวท่อนล่างที่คล้ายกับงูขดอยู่กับพื้น ในสองตามันมีสายผ่าส่องประกาย

เมื่องูยักษ์ปรากฏขึ้น มันก็อ้าปากกว้างออก ปล่อยลำแสงซัดลงที่พื้นทันที โจมตีเข้าด้านตะวันตกของเมืองกลืนธารา ราวกับดาบยักษ์ถูกส่งลงจากฟ้า ซัดพื้นคราหนึ่งเกิดเป็นรอยลึก ไม่ว่าลำแสงนั่นไปตรงจุดไหนก็แผดเผาผู้คนจนหายไปทันที

ทรงพลัง โหดเหี้ยม น่าผวา และดุดันนัก !

นี่คือพลังอำนาจของอสูรกายระดับสูงของแท้

“เจ้าอสูรร้าย อย่าคิดว่ากระทำการโหดเหี้ยมเช่นนี้แล้วจะหนีไปได้ !” เป็นตอนนั้นเองที่มีเสียงหนึ่งดังลั่นขึ้น แสงเส้นหนึ่งวาบผ่านฟ้าไป

เป็นกู่เซวียนเหมี่ยนนั่นเอง

ริ้วแสงแผ่ออกจากฝ่ามือ มันส่องสว่างราวกับดวงดาราในราตรีมืด ส่องแสงเรืองบนท้องฟ้าสีดำ มันซัดเข้าร่างอสรพิษสายฟ้าตัวนั้นก่อนจะระเบิดออกเป็นเปลวเพลิงคะนอง

นี่คือฝ่ามือดอกไม้บินตระกูลกู่ แต่เมื่อเป็นกู่เซวียนเหมี่ยนใช้ มันกลับราวกับมีจิตนึกคิดเป็นของตนเอง

หากแต่อสรพิษยักษ์ไม่ใส่ใจ มันมุ่งหน้าเข้าปะทะบุปผาเพลิงพร้อมอ้าปากกว้าง

ลำแสงอีกหนึ่งพุ่งออกจากปาก แต่ครั้งนี้มันเล็งไปทางกู่เซวียนเหมี่ยน

เห็นเช่นนี้ กู่เซวียนเหมี่ยนก็ไม่กล้ารับมือตรง ๆ รีบกระโดดหลบการโจมตี ดังนั้นลำแสงจึงซัดลงพื้นแทน

ลำแสงกำลังจะคร่าชีวิตคนไปอีกนับร้อย ริ้วแสงสีขาวกับรุดหน้าเข้าไปปะทะกับลำแสงนั้นอย่างทันท่วงที

“ช้างศึกหกทิศ !”

สิ้นเสียงคำรามลั่น ภาพช้างศึกสีขาวก็ปรากฏขึ้นแล้วต้านลำแสงนั่นไว้

“ผู้นำตระกูลฟาง ฟางเจ้าหยาง !” คนด้านล่างร้องขึ้นทีละคน

เป็นตอนนั้นเองที่เงาร่างคนอีกสองคนพุ่งขึ้นฟ้าไป

คนหนึ่งชุดขาว อีกคนสวมเกราะทอง เป็นนายท่านตระกูลสายเลือดชั้นสูงอีกสอง หลิ่วอู๋เซิงและจงหยวนชี

พริบตาที่ทั้งคู่ปรากฏตัว จงหยวนชีก็ตะโกนบอก “ผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดารทุกคน ร่วมมือกับข้าแล้วเข้าโจมตีมัน !”

“ขอรับ !”

สิ้นเสียงคำรามลั่น คนกว่ายี่สิบคนก็พุ่งขึ้นฟ้าไป

เมืองกลืนธารานับเป็นเมืองใหญ่ในเขตหลงซี มีคนด่านสู่พิสดารและด่านสูงกว่าอยู่มากมายกว่าเมืองธารน้ำใสเสียอีก

ยามไร้ศัตรูร่วมกัน ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเหล่านี้ก็มักตีกันเองเพื่อชิงผลประโยชน์ แต่ซูเฉินต้องยอมรับเลยว่าเมื่อศัตรูร่วมกันปรากฎ ตระกูลชั้นสูงเหล่านี้ก็นับเป็นสันหลังของเผ่ามนุษย์โดยแท้

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแม้จะเจ้าเล่ห์ขี้โกงไปบ้าง แต่คนส่วนมากก็รู้หน้าที่ตนเองดี

ส่วนมากแล้วคนตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็มีความสุขกับฐานะสูงส่งของตน แต่ยามข้าศึกมาถึงพวกเขาก็นำเป็นทัพหน้าเช่นกัน

กระนั้นอสพิษยักษ์ก็ทำเพียงปรายสายตาหยามเหยียดใส่ผู้เชี่ยวชาญทั้งหลายที่รุดหน้าเข้าไปเท่านั้น

จากนั้นมันก็ส่งเสียงคำรามต่ำ

เป็นเสียงก้องกังวาลราวกับเสียงคำรามมังกร

สิ้นเสียงคำรามก็เกิดลำแสงอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เกิดลำแสงกว่าร้อยลำ เชื่อมกันเป็นตาข่าย หมายจะถล่มเมืองทั้งเมืองเสีย

“ราชันอสูร ! เป็นราชันอสูร !” เสียงร้องลนลานดังไปทั่ว