บทที่ 78 ภัยจากอสูรชั่วร้าย (2)
ทันทีที่ใยสายฟ้าปรากฏ ซูเฉินก็รู้ว่าแย่แล้ว
อสรพิษสายฟ้าตัวนี้ถึงขั้นราชันอสูรกายแล้ว
จากประสบการณ์หลายปีที่มนุษย์สั่งสม เมื่อต่อกรกับอสูรกาย อสูรกายระดับสูงจะจัดให้มีพลังเทียบเท่ากับด่านสู่พิสดารแท่นบงกชห้าแท่น เจ้าอสูรกายเทียบเท่ากับด่านผลาญจิตวิญญาณ ราชันอสูรกายเท่ากับด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน และจักรพรรดิอสูรกายเทียบเท่ากับด่านมหาราชัน ซึ่งเป็นด่านสูงสุดที่มนุษย์จะพึงมีได้ในปัจจุบัน ส่วนเทพอสูรที่แกร่งกว่า ? น่าเสียดายที่ไร้มนุษย์คนใดจะสามารถต่อกรกับมันตัวต่อตัวได้
ชัยชนะสองสามคราที่มนุษย์เอาชนะเหล่าเทพอสูรได้เป็นเพราะคนทั้งอาณาจักรร่วมแรงกัน ทั้งยังสำเร็จเพราะได้คนแกร่ง ๆ จากเผ่าอื่นมาเสริมทัพด้วย
เดิมทีทุกคนคิดว่ามันเป็นเพียงเจ้าอสูรกาย แม้จะแกร่งเทียบเท่าด่านผลาญจิตวิญญาณ แต่ใช้คนด่านสู่พิสดารสักยี่สิบคนรวมพลังกันสู้ก็โค่นมันได้แล้ว
หากแต่เมื่อเริ่มสู้จริง ๆ แล้วกลับพวกว่าเจ้านี่ปกปิดพลังเอาไว้ตั้งแต่ต้น พลังที่แท้จริงของมันคือขั้นราชันอสูรกาย ! นับว่าเกิดปัญหาใหญ่แล้ว
และเมื่อสายฟ้าเหล่านั้นเริ่มซัดเข้ามา ผู้เชี่ยวชาญพลังทั้งหลายก็เริ่มร่วงลงจากฟ้า
ผู้เชี่ยวชาญพลังทุกคนล้วนเป็นด่านสู่พิสดาร แกร่งมากจนนับเป็นเสาหลักของเผ่ามนุษย์ได้ หากแต่ตอนนี้พวกเขากลับถูกราชันอสูรกายซัดคราเดียวจนร่างกระเด็นราวกับไม้ผุ พวกที่อ่อนแอหน่อยสิ้นใจคาที่ก็ยังมี
ลำแสงอีกหลายแท่งซัดเข้าใส่เมืองกลืนธารา เกิดเป็นเสียงระเบิดดังสนั่นเมือง ริ้วสายฟ้านับล้านเลื้อยไปตามพื้นราวกับอสรพิษร้าย โค่นบ้านเรือน สังหารคนบริสุทธิ์ที่ขวางทางจนสิ้น
พริบตาเดียว เมืองกลืนธาราก็พังทลาย หลั่งเลือดราวกับสายน้ำไปตามถนน
“ชั่วร้ายนัก !”
เสียงร้องโกรธเกรี้ยวดังขึ้น อสรพิษทะยานพุ่งขึ้นฟ้าไปอ้าปากยักษ์กว้าง ริ้วแสงนับไม่ถ้วนพุ่งออกจากปาก เกิดเป็นเปลวเพลิงดุดันทั่วท้องฟ้า มันยังใช้ฝ่ามือดอกไม้บิน แต่ดุดันและน่าเกรงขามกว่าที่กู่เซวียนเหมี่ยนใช้นัก
ในเวลาเดียวกันนั้น ตะวันตก ตะวันออก และทางเหนือของเมืองก็เริ่มเกิดความเปลี่ยนแปลง
ช้างศึกสวมเกราะสูงใหญ่ราวกับขุนเขาส่งเสียงร้องลั่นด้วยงวงขนาดใหญ่
วานรดาบหยกส่งเสียงคำราม ในมือถือดาบใหญ่ราวภูเขา ทุกครั้งที่หายใจออก ลมหายใจก็กระเพื่อมไปทั่วทิศราวกับคลื่นยักษ์
แมงป่องบินหกปีกเดินออกมาจากอ่าวกลืนกิน เหล็กในขนาดใหญ่ของมันชูขึ้นฟ้าพลางยิ่งหมอกสีม่วงเข้มขึ้นฟ้าไป
“บรรพชน !” ผู้เชี่ยวชาญพลังทั้งหลายร้องขึ้นพร้อมกัน
คนที่ปรากฏขึ้นคือเหล่าบรรพบุรุษของสี่ตระกูลใหญ่เมืองกลืนธารา ทั้งหมดล้วนเป็นคนทรงพลังที่อยู่ด่านผลาญจิตวิญญาณ
ด่านผลาญจิตวิญญาณทั้งสี่เข้าโจมตีพร้อมกัน ใช้กำลังน่าเกรงขามโอบล้อมเมืองกลืนธาราเอาไว้ พลังต้นกำเนิดมากมายปั่นป่วน ภายใต้การควบคุมของคนทั้งสี่ เมืองทั้งเมืองก็ถูกปกป้องจากการโจมตีทั้งหลาย
“ปกป้องเมือง ! เปิดค่ายกล !” คนหนึ่งร้องเสียงแหบขึ้น
เป็นเจ้าเมืองหัวถิงเยว่นั่นเอง
แสงลึกลับเริ่มส่องสว่างออกมาจากรอยแตกบนพื้น ค่อย ๆ ก่อรูปเป็นกำแพงแสงที่ผุดสูงขึ้นเทียมฟ้า
นี่คือสิ่งที่ปกป้องเมืองจากคลื่นพลังจากการต่อสู้บนท้องฟ้าเหนือเมืองนั่นเอง
ทว่าเป็นเพราะการโจมตีมากะทันหันมาก ค่ายกลเมืองกลืนธาราจึงถูกทำลายไปมาก พื้นที่เมืองส่วนใหญ่จึงไม่ได้อยู่ในการปกป้องของค่ายกล
ที่ทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายคือเมืองกลืนธาราไม่ใช่เมืองป้องกันของชายแดน แม้จะมีค่ายกลปกป้อง แต่พลังค่ายกลก็อ่อนแอกว่าความปั่นป่วนพลังที่มาจากการประจันหน้าของด่านผลาญจิตวิญญาณกับราชันอสูรกายนัก
ประกายไฟลอยมากระแทกเกราะ คลื่นพลังระลอกแล้วระลอกเท่าเข้าปะทะ เห็นได้ชัดว่ามันฝืนทนได้อีกไม่นาน ความผันผวนพลังนั้นสามารถแผ่เข้ามาสังหารคนบริสุทธิ์ที่อยู่ไม่ไกลได้ทุกเมื่อด้วยค่ายกลนั้นไม่สมบูรณ์
“ใครก็ได้ปิดรูพวกนั้นที !” หัวถิงเยว่ตะโกนเสียงดัง
ผู้เชี่ยวชาญพลังคนแล้วคนเล่าพุ่งเข้าไปยังรูเหล่านั้นและใช้วิชาต่าง ๆ ปะทะพลังที่พยายามดันเข้ารูมา
คนเหล่านี้อยู่ต่ำกว่าด่านสู่พิสดาร ไม่อาจเข้าร่วมต่อสู้ด้วยได้ แต่อย่างน้อยก็ยังช่วยเป็นทัพเสริมบนพื้น ปกป้องพวกชาวบ้านได้
เป็นตอนนั้นเองที่ใครเป็นผู้กล้าใครเป็นพวกขี้ขลาดก็ได้เห็นกันกระจ่าง ผู้เชี่ยวชาญพลังหลาย ๆ คนพุ่งเข้าหารูแตกบนเกราะเพื่อปะทะกับพลังงานที่แผ่ออกมาจากด้านบน คนด่านสู่พิสดารร่วมมือกับด่านผลาญจิตวิญญาณกันผลักดันอสรพิษยักษ์ให้ถอยไป ในเมื่อพวกเขาเป็นแนวหน้า ย่อมเป็นฝ่ายที่รับแรงโจมตีหนักหนาที่สุดไป
สายฟ้าแลบผ่านท้องฟ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกริ้วแสงเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตายอันน่าสะพรึงกลัว
ตู้ม !
แสงริ้วหนึ่งซัดถูกร่างคนด่านสู่พิสดารคนหนึ่ง เกราะพลังเขาแตกทันที เขายืดร่างแล้วสั่นเทิ้มไม่หยุด อสรพิษสายฟ้าปล่อยริ้วแสงออกมาอีก ทำลายแท่นบงกชของเขาจนแตกกระจาย ทำให้เขาสิ้นใจคาที่ทันที
“ฟ่อออ !”
อสรพิษสายฟ้าส่งเสียงขู่ฟ่อ มันเดี๋ยวหลบเข้าเดี๋ยวออกจากหมู่เมฆ สายฟ้าเต้นระริกอยู่บนเกล็ดสีรุ้ง หากแตะโดยสิ่งใดก็กลายเป็นผุยผง
เห็นได้ชัดว่าคนด่านผลาญจิตวิญญาณทั้งสี่รับมืออสรพิษสายฟ้าได้ยากยิ่ง
ความต่างของพลังมันมากเกินไป !
“นายท่าน พวกเราจะไม่ทำอะไรหรือ ?” กังเหยียนจ้องซูเฉิน ใบหน้าระบายความกังวลเต็มที่
นับตั้งแต่ที่อสรพิษสายฟ้าปรากฏตัวขึ้น ซูเฉินก็ทำแต่มอง ไม่ลงมือแม้แต่นิด
แน่นอนว่ากังเหยียนรู้ ซูเฉินไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชันอสูรกาย เขาไม่กล้าคิดให้ซูเฉินสังหารมันในท่าสังหารคราเดียวหรอก เพียงแต่หวังว่าอย่างน้อยซูเฉินจะสามารถทำอะไรได้บ้าง ไม่ใช่แต่เหม่อมองมันเช่นนี้
ทว่าซูเฉินยังคงสงบนิ่ง “อย่ากังวล ข้าจับตามองดูอยู่”
“มีอะไรให้ต้องจับตามองอีก ?” กังเหยียนไม่เข้าใจ
ซูเฉินตอบ “ข้ารู้ว่าเจ้ากังวล กังเหยียน แต่เชื่อใจข้า ข้าไม่กลัว แค่กำลังคิด”
“ตอนนี้ถึงเวลาที่เราต้องรีบลงมือทำบางอย่างแล้วนะ”
“เรื่องยิ่งด้วน เจ้ายิ่งต้องสงบ ยิ่งต้องไม่ทำพลาด” ซูเฉินว่า
เขามองท้องฟ้า ร่องรอยความสงสัยวาดผ่านนัยน์ตา “ข้ารู้ว่าราชันอสูรกายทรงพลังมาก แต่เจ้าว่ามันไม่แปลกหรือที่ราชันอสูรกายเลือกมาโจมตีเมืองกลืนธารา ? มันไม่ใช่เมืองเล็ก ๆ ทั้งยังมีสี่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงอยู่ มีสี่ด่านผลาญจิตวิญญาณ มีด่านสู่พิสดารเป็นโขยง ถึงมันจะเป็นราชันอสูรกายก็ยังต้องใช้แรงใช้กำลังและเสียหายหนักหนาหากคิดทำลายเมืองนี่ด้วยตัวมันเอง ที่ข้าจะสื่อคือ ราชันอสูรกายทุกตัวควรจะฉลาดจริงหรือไม่ ? ที่พวกมันวิ่งพล่านมาฝั่งมนุษย์ได้ไม่ใช่แค่เพราะมีพลังหรอก อีกทั้งพวกมันควรเข้าใจหลักการเล็งพวกอ่อนแอเลี่ยงพวกแข็งแกร่ง เมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมมันถึงเลือกโจมตีเมืองอย่างเมืองกลืนธาราได้ ?”
“ทำไมหรือ ?” กังเหยียนถาม ดูสับสน
ซูเฉินกล่าว “อาจเพราะมันยังมีกำลังเสริม ?”
พูดจบเขาก็หลับตาลง
เขาหยุดใช้ดวงตาของร่างเพื่อมองรอบข้าง และใช้พลังจิตมองรอบกายแทน
พลังงานจิตของเขาเพิ่มขึ้นมาถึงราว 420 หน่วยแล้ว เข็มขัดอสรพิษหยกเก้าตาก็ช่วยเพิ่มอีกราวสี่ร้อยหน่วย
คนที่มีพลังจิต 800 หน่วยก็นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังจิตได้แล้ว
เช่นนี้แล้ว พลังจิตของซูเฉินจึงค่อย ๆ แผ่ขยายไปตามท้องฟ้ากว้างอย่างเงียบงัน
ใยพลังจิตนี้ทำให้ซูเฉินสัมผัสที่อยู่ของสิ่งมชีวิตต่าง ๆ นับไม่ถ้วนในเมือง กระทั่งอารมณ์ความรู้สึกที่แสดงออกเป็นสี อาจเพราะพวกเขากำลังลนลานตกใจกระมัง แต่สิ่งมีชีวิตส่วนมากแสดงสีแดงออกมา ซึ่งหมายถึงความหวาดกลัว
กระนั้น ซูเฉินก็สัมผัสพลังงานของสิ่งมีชีวิตทรงพลังได้จากที่ไกล ๆ อารมณ์ของมันเป็นสีดำ
สีทึมทึบ ดำมืด และเต็มไปด้วยไอสังหาร
ซูเฉินขยายจิตไปหามันดู สิ่งมีชีวิตสีดำสั่นสะท้านราวกับสัมผัสบางอย่างได้ มันอ้าปากกว้างและกลืนเส้นสายพลังจิตที่ซูเฉินส่งไปทางมันทันที
ซูเฉินร้องออกมาพลางพ่นเลือดคำหนึ่ง หลุดออกจากสภาวะใช้พลังจิตทันที
เขาจึงเงยหน้าขึ้นตะโกนลั่น “ระวังด้วย ! มีอสูรกายอีกตัวซุ่มอยู่ไม่ไกล !!!”