ตอนที่ 707 บ่นไม่หยุด / ตอน 708 ความสามารถในการปกป้องผู้หญิงของตนก็นับว่ายังมีอยู่

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ตอนที่ 707 บ่นไม่หยุด 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ขี่ม้าตัวเดียวกันกับเฉินยาง อีกทั้งม้าตัวนี้ยังวิ่งมาตลอดทั้งคืน มันเองก็เหนื่อยสายใจแทบขาดแล้วเมื่อถึงตอนนี้ ม้านั้นวิ่งต่อไปไม่ไหวแล้ว เดินเท้าอย่างไรก็เร็วไม่เท่าเป็นแน่ ทหารไล่ล่าด้านหลังนั้นเปลี่ยนม้าทุกๆ สองสามชั่วโมง ดังนั้นที่เฉินยางพูดก็ไม่ได้ไม่มีเหตุผลนัก เท้าหน้าของทั้งสองคนเพิ่งจะขึ้นเขา เท้าหลังทหารไล่ล่าก็ตามมาทันเสียแล้ว 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋จงใจทิ้งม้าไว้ข้างทาง คนที่ตามมาด้านหลังคาดเดาว่าพวกเขาอาจจะขึ้นเขาไปแล้ว เมื่อขึ้นเขาหากขี่ม้าคงไม่ใคร่สะดวกนัก คงต้องเดินอย่างเดียว ม้าของพวกเขาจึงต้องมัดไว้ข้างทาง 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋นับจำนวนคนแล้ว ไม่เกินสิบกว่าคน คนเพียงหยิบมือนี้ยังไม่เพียงพอให้เขาฝึกฝีมือเลย คงไม่ต้องแอบซ่อนกระมัง ออกไปจัดการเสีย ก็จะสามารถเอาม้าพวกเขามาเดินทางต่อได้ 

 

 

แต่เฉินยางรั้งเขาไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย นางกังวลยิ่งนัก เกรงว่าเขาจะบาดเจ็บ อย่างไรเสียก็เป็นดาบจริงปืนจริงที่สู้กัน ก็คือไม่วางใจที่จะให้เขาไปนั่นเอง “รออีกประเดี๋ยวเถิด รอให้พวกเขาขึ้นเขาไปแล้ว พวกเราค่อยลงไป แล้วค่อยเอาม้าของพวกทหารขี่หนีไป ไม่ต้องเปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์ ในมือพวกเขาล้วนถือดาบไว้ ด้านหลังยังมีกระบอกลูกธนูอีก ต่อให้ท่านสู้เก่งเพียงใด ก็สู้กับการที่พวกเขาจะมาแว้งกัดไม่ได้หรอก ตอนนี้ยังไม่ต้องไปคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขา พวกเราควรรีบไปให้ถึงไท่โจวก่อนค่อยวางแผนกัน” 

 

 

ขอให้เขามีความมั่นใจเพียงใด แต่ในเมื่อภรรยาพูดมาอย่างนี้แล้ว ก็คงต้องเชื่อฟังอย่างง่ายดาย ความคิดผู้หญิงนั้นละเอียดอ่อน เรื่องที่กังวลก็มีมากมายนัก หากพูดอย่างไพเราะหน่อยก็คือมีความรอบคอบ หากจะพูดอีกแบบหนึ่งก็คือช่างขี้บ่นนัก เฝิงเยี่ยไป๋ก่อนที่จะลงมือทำอะไรในความคิดเขามักจะมีแผนการที่คิดเอาไว้ในใจอยู่แล้ว หัดทำเยี่ยงนี้ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คืออะไร ข้อได้เปรียบในมือมีเท่าไหร่ เขาล้วนลำดับความสำคัญไว้แล้วหมดสิ้น หากแต่ตอนนี้ในเมื่อมีคนคอยควบคุม ความรู้สึกก็กลับไม่เหมือนเดิม มีคนควบคุม ก็รู้สึกอย่างกับว่าหัวใจนั้นทนเข้ากับอะไรที่นุ่มนิ่มเสียเหลือเกิน อีกประการหนึ่งเขาเองก็ไม่อยากเห็นนางต้องกังวลหรือตกใจ จึงทำได้เพียงเชื่อฟัง ก็ลองเป็นเต่าหดหัวในกระดองครานี้ดูสักที 

 

 

เฉินยางเกรงว่าหากเขาวู่วามก็จะพุ่งตัวออกไปสังหารทหารพวกนั้น มือนางจึงดึงแขนเขาไว้เสียแน่นไม่ยอมให้เขาไป รอจนคนพวกนั้นขึ้นเขาไปแล้ว เมื่อมองไม่เห็นแม้แต่เงาคนแล้ว เฉินยางจึงได้กล้าที่จะปล่อยเฝิงเยี่ยไป๋ ให้เขายื่นศีรษะออกมา 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋นั้นมือยาวเท้ายาวเมื่อก้าวเดินขึ้นมาก็รวดเร็วดั่งดาวตก เฉินยางนั้นแขนเล็กขาสั้นเมื่อเดินเข้าจริงก็รู้สึกเหนื่อยอยู่ไม่น้อย เฝิงเยี่ยไป๋ทนไม่ได้ที่จะเห็นนางต้องมาลำบาก จึงหนีบนางเอาไว้ในอกอุ้มนางเดินไปเสีย 

 

 

อาชาพันลี้เมื่อมองดูรูปร่างของมันก็มองไม่ออกว่ามันมีอะไรที่พิเศษ แต่พวกมันเหล่านี้ล้วนเป็นม้าองครักษ์ที่ถูกเลี้ยงในวังหลวง ไม่ต้องนอนไม่ต้องพัก สามารถเดินทางได้เป็นพันลี้ แม้ว่าม้าที่พวกเขาขี่ขณะออกจากวังจะเป็นม้าที่ออกจากในวังเหมือนกัน แต่ว่าระดับชั้นแตกต่างกันนัก เปรียบเทียบไม่ได้เลย ตอนนี้ได้เปลี่ยนม้าแล้ว จากนี่ไปถึงไท่โจว อย่างมากก็ใช้เวลาเพียงสี่ห้าชั่วโมงเท่านั้น 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋อุ้มนางขึ้นไปนั่งบนหลังม้า หลังจากนั้นก็ไปเดินไปปลดเชือก แต่ม้านั้นเลือกจดจำเจ้าของ ตอนเฉินยางเพิ่งนั่งลงไปม้าก็ไม่ซื่อสัตย์นัก คิดแต่จะสะบัดนางลงจากตัวม้า เฉินยางจับเชือกไว้เสียแน่น เร่งให้เฝิงเยี่ยไป๋รีบมา 

 

 

หวั่นใจที่สุดก็บรรดาม้าที่จดจำเจ้าของนี่แหละ ม้าประเภทนี้ล้วนเป็นม้าที่ใช้ในวังหลวง เขาไม่ได้กลัวว่ามันจะไม่วิ่ง แต่กลัวว่ากลุ่มคนที่เพิ่งจะขึ้นเขาไปนั้นจะมีนกหวีดควบคุมม้า ขอแค่เพียงครั้งเดียว ต่อให้มานี้วิ่งไปกับพวกเขา แม้จะวิ่งไปได้ครึ่งทางแล้วก็ต้องวิ่งกลับมาจนได้ 

 

 

“เอาผ้าเช็ดหน้าของเจ้าให้ข้า” 

 

 

ถึงแม้ว่าเฉินยางจะไม่เข้า แต่ปฏิกิริยาตอบสนองนางนั้นไม่ได้ชักช้าเลย “ท่านจะเอาผ้าเช็ดหน้าไปทำอะไรหรือ” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ฉีกมุมเสื้อตนออกมา ด้านละหนึ่งชิ้น นำไปอุดจมูกของม้าเสียสองข้าง หลังจากนั้นพอกระโจนขึ้นม้าได้ก็นำแส้หวดไปที่บั้นท้ายมาเสียหนึ่งที ม้าเมื่อเจ็บปวดแล้วจึงร้องเสียงดังยาว แยกขาได้ก็ห้อตะบึงไปข้างหน้าทันที 

 

 

ทหารองครักษ์ที่ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวถึงได้รู้ว่าตกหลุมพรางของเฝิงเยี่ยไป๋เสียแล้ว ก็รีบร้อนลงจากเขา ทันเห็นเบื้องหลังของเฝิงเยี่ยไปกับเฉินยางที่ยิ่งไปยิ่งไกลพอดี 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอน 708 ความสามารถในการปกป้องผู้หญิงของตนก็นับว่ายังมีอยู่ 

 

 

“มารดามันเถอะ” คนที่เป็นหัวหน้าสบถออกมาเสียหนึ่งที รู้อยู่แก่ใจว่าง้างธนูยิงออกไปอย่างไรก็ไม่โดนแต่ก็ยังยิงออกไป “ถูกหลอกเข้าเสียแล้ว ยังยืนงงงวยอะไรกันเล่า รีบขึ้นมาตามไปเร็วเข้า หากไม่อยากมีชีวิตรอดก็ยืนรอความตายอยู่ตรงนี้เถิด” 

 

 

คนกลุ่มหนึ่งปลุกความฮึกเหิมขึ้นมาอีกครั้ง ขึ้นมาได้ก็รีบตามไป ผู้นำที่วิ่งอยู่ด้านหน้านั้นรับบัญชาจากฮ่องเต้โดยตรง หากนำศีรษะของเฝิงเยี่ยไป๋กลับไปไม่ได้ พวกตนก็จะไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป ไม่ต้องสนใจว่าเขาจะมีความผิดจริงหรือ ควรตายหรือไม่ หากว่าเฝิงเยี่ยไป๋ไม่ตายเสีย เขาก็ไร้ซึ่งหนทางที่จะมีชีวิตรอด 

 

 

“ปลุกวิญญาณของพวกเราขึ้นมา อีกประเดี๋ยวหากมองเห็นชัดขึ้นก็ใช้ธนูเสีย สองคนนั้นคนเดียวก็ห้ามมีชีวิตรอด ผลักพวกมันไปสู่ประตูนรกเสีย ขอแค่พวกมันตาย หลังจากพวกเรากลับไปแล้วจะได้มีผลงานไปรายงานได้” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋คาดเอาไว้ไม่มีผิด มีนกหวีดม้าจริงๆ นกหวีดนี้ทำขึ้นเมื่อตอนใช้ฝึกม้าเหล่านี้ ขอเพียงเป่านกหวีดอันนี้ เมื่อม้าได้ยินไม่ว่าอยู่ที่ใดก็จะวิ่งกลับไป พวกเร่งรีบตามมาพร้อมกับเป่านกหวีดไปด้วย หวังเพียงว่าเมื่อม้าได้ยินก็จะพาสองคนผู้นี้กลับไปหาพวกเขาจนได้ หากทำอย่างนี้ก็จะประหยัดแรงพวกเขาไปมาก แต่ว่าครานี้เป่าอยู่นาน ด้านหน้านั้นก็ไม่มีการตอบสนองอันใดเลย เลยพาลคาดเดาไปว่าคงเจอลูกเล่นของเฝิงเยี่ยไป๋เข้าให้แล้ว ในเมื่อทดสอบดูแล้วใช้ไม่ได้ผลก็ไม่ต้องทดสอบแล้ว เปลี่ยนเป็นปล่อยลูกธนูให้บินดู พวกเขาเองห่างไม่ไกลแล้ว เฉินยางนั้นได้ยินเสียงม้าวิ่งตามมาด้านหลัง ในใจเริ่มกังวลอีกครั้ง “พวกเขาตามมาแล้ว ไม่อย่างนั้นพวกเราลองหาที่หลบก่อนจะดีหรือไม่” 

 

 

เขาไม่ต้องหลบก็ได้ แต่เฉินยางไม่ไหวแน่ หากถึงตอนนั้นต้องสู้ขึ้นมาจริงๆ เมื่อต้องแยกร่างทั้งสู้ทั้งปกป้องนาง คงจะดูแลนางได้ไม่ทั่วถึง หากถูกจับตัวเข้าไว้ละก็ ต่อให้เขาเก่งกาจเพียงใดก็คงต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย 

 

 

“ได้” 

 

 

เจ้าหางพวกนี้ตามมาไม่หยุดก็เป็นเรื่องน่ารำคาญใจ เขาเองต้องนำนางไปหลบในที่ปลอดภัยเสียก่อนค่อยลงมือ 

 

 

เสียงธนูพุ่งแหวกอากาศมาจากด้านหลัง เมื่อเฝิงเยี่ยไป๋หันหน้ากลับไปมอง ธนูก็ใกล้สายตาเสียจนหลบไม่ได้เสียแล้ว เขาที่นั่งอยู่ด้านหลังนางส่งเสียงอึ๊กขึ้นมาในลำคอเสียหนึ่งที โอบกอดนางไว้ให้แน่นขึ้น เฉินยางที่ได้ยินเสียงจึงถามเขาไป “ท่านเป็นอะไรหรือ ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” 

 

 

ยามที่นางเอ่ยนั้นก็จะเอี้ยวตัวมามองเขา เฝิงเยี่ยไป๋จึงปิดตานางไว้เสีย พลิกหน้านางหมุนกลับไป “ข้าไม่เป็นไร เจ้านั่งดีๆ เถิด อย่าขยับไปมา” 

 

 

เฉินยางนั้นในใจกลับรู้สึกมีอะไรไม่ถูกต้องอยู่ นางลูบไปที่แขนเขาเบาๆ อย่างไม่ใคร่วางใจนัก “ไม่มีอะไรจริงๆ รึ หากท่านมีอะไรต้องห้ามปิดบังข้า รู้หรือไม่” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ที่เอ่ยว่าไม่เป็นไร แต่กลับขมวดคิ้วเอื้อมมือไปคลำดอกธนูดอกนั้นที่ปักอยู่ที่หลังตน ดอกธนูนี้แปดส่วนต้องอาบยาพิษไว้เป็นแน่ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่เจ็บปวดถึงเพียงนี้ ก่อนหน้านั้นที่เคยบาดเจ็บจากธนูและดาบนั้นเขาแทบจะไม่แม้แต่เลิกคิ้ว ครานี้กลับรู้สึกว่าแทบจะทนไม่ไหวเอาเต็มที 

 

 

ด้านหน้านั้นมีกระท่อมร้างอยู่ อาจจะซอมซ่อไปบ้าง แต่อย่างน้อยก็ใช้หลบซ่อนได้ เขาหยุดม้าไว้พร้อมให้เฉินยางเข้าไปเสีย 

 

 

เฉินยางเห็นว่าหน้าเขาซีดเผือด หน้าผากยังมีเหงื่อผุดออกมาเม็ดโตอยู่มากมาย ในใจนั้นขมวดเสียเป็นปม “ท่านเป็นอะไรไป ทำไมเหงื่อไหลเยอะเพียงนี้ ท่านบาดเจ็บใช่หรือไม่” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋บอกปัดนาง “เจ้าเข้าไปหมดข้างในสักประเดี๋ยว คนพวกนี้หากไม่จัดการไม่ได้หรอก รอข้าจัดการพวกมันเรียบร้อยแล้ว เมื่อเรียกเจ้า เจ้าค่อยออกมา” 

 

 

เฉินยางไม่เชื่อในคำพูดของเขา เดินอ้อมไปด้านหลังเพื่อจะตรวจดูว่าเขาบาดเจ็บหรือไม่ เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ยินยอม บังคับม้าเดินถอยหลังไปเสียสองก้าว “เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้กับข้า ขอเพียงเจ้าหลบซ่อนให้ดีอย่าบาดเจ็บก็ถือว่าช่วยข้าได้มากแล้ว ต่อให้ข้าต้องตกอยู่ในสภาพน่าเวทนาแค่ไหน แต่ความสามารถในการปกป้องผู้หญิงของตนนั้นก็ยังถือว่ายังมีอยู่ เชื่อฟังข้า เข้าไปบัดเดี๋ยวนี้” 

 

 

“ท่านไม่เป็นอะไรจริงๆ ใช่หรือไม่” 

 

 

“ไม่เป็นอะไรจริงๆ ” 

 

 

เขาไม่รู้ว่าจะอดทนจากการถูกวางยาพิษได้นานแค่ไหน แต่หากเร่งอาศัยช่วงที่พิษยังไม่เข้ากระแสเลือด จัดการคนพวกนั้นเสียนับว่ายังมีเรี่ยวแรงพออยู่ หากยืดเยื้อต่อไป พวกเขาทั้งคู่ต้องตายอยู่ที่นี่แน่