ตอนที่ 705 ผจญภัยสุดขอบฟ้า / ตอนที่ 706 จูบข้าสักที

ฮูหยินข้าอายุสามขวบครึ่ง

ตอนที่ 705 ผจญภัยสุดขอบฟ้า 

 

 

หลังจากที่ เฝิงเยี่ยไป๋และพรรคพวกหลบหนีออกจากวังหลวงแล้ว พวกเขาก็มุ่งตรงไปที่ไท่โจว ซึ่งไท่โจวนี้เป็นสุสานที่ฝังศพบรรพบุรุษของตระกูลอวี่เหวิน คนของฮ่องเต้นั้นแม้ว่าพวกเขาจะไล่ตามพวกเขามาแล้วก็ตาม หากแต่ก็จะต้องไม่กล้าทำลายสุสานบรรพชนของตนเป็นแน่ หลังจากที่อวี่เหวินลู่พาเสี่ยวจินอวี๋ออกจากวังแล้ว ก็มอบให้กับเฉาเต๋อหลุน เฉาเต๋อหลุนก็นำตัวเขามุ่งหน้าไปยังไท่โจว ขอเพียงแค่ให้พวกเขาได้พบกันและครอบครัวอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็สามารถพูดคุยเกี่ยวกับอนาคตได้ 

 

 

คนของฮ่องเต้ติดตามมาไม่หยุด ฝั่งนั้นมีคนจำนวนมากกำลังก็มหาศาล ในมือล้วนมีทั้งกรงธนูและดาบยาว ทั้งยังควบขี่อาชาหมื่นลี้ตามติดมาด้วย ขึ้นชื่อว่ากองทัพทหารองครักษ์ ทุกหนแห่งที่เดินผ่านนั้นดั่งผ่านดินแดนไร้ผู้คน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหลบหนีออกจากวังหลวงได้แล้ว แต่สถานการณ์ยังมิใคร่สู้ดีนัก 

 

 

อวี่เหวินลู่เห็นว่าที่ที่เขาจะไปนั้นไม่ใคร่จะเหมาะสมนัก ในใจนั้นมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา จึงควบม้าไปเทียมเฝิงเยี่ยไป๋พร้อมซักถาม “เจ้าจะไปไท่โจวหรือ เจ้าจะไปไท่โจวทำไมเล่า เจ้าเองตอนนี้แตกหักกับฮ่องเต้แล้วสิ้น มิสู้กลับไปเมืองเหมิงกับข้าเถิด ยังจะสามารถคิดการตอบโต้กันได้” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ที่เหลือบมองเขาเอ่ย “อย่างนั้นเจ้าเองก็ต้องชีวิตกลับไปเสียก่อน ฮ่องเต้ตอนนี้จำเจ้าได้แล้วเป็นแน่ ครานี้คงสั่งการให้ทุกแคว้นและมณฑลตระเตรียมการติดอาวุธไว้แล้วเป็นแน่ หากตอนนี้กลับไปก็ต้องตายสถานเดียว หากไปไท่โจว ต่อให้ฮ่องเต้ทราบร่องรอยของพวกเขา ก็มิกล้าทำอะไรกับแผ่นดินที่ตั้งสุสานบรรพชนเป็นแน่ 

 

 

อวี่เหวินลู่ประณามไปประโยคพร้อมทั้งตะโกนใส่เขาว่า “นั่นก็เป็นสุสานบรรพชนข้าเช่นกัน เฝิงเยี่ยไป๋ หากเจ้าบังอาจมาทำตัวพาลเกเร ณ สุสานบรรพชนของตระกูลอวี่เหวิน ถึงตอนนั้นก็อย่ามากล่าวโทษเล่าหากข้าต้องจัดการเจ้า” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้สนใจเขา ก้มหน้าถามเฉินยาง “เมื่อครู่นี้ตกใจจนเสียขวัญไปแล้วใช่หรือไม่” 

 

 

เฉินยางส่ายหน้า ผ่านไปสักครู่ก็พยักหน้าลงอีก มือน้อยๆ ของนางวางไว้บนมือของเขาที่กำลังจับเชือกอยู่ สะกิดเบาๆ บนมือของเขา “ตอนแรกนั้นก็กลัวอยู่มาก แต่พอข้าคิดคิดว่า ท่านก็อยู่ข้างกายข้านี่ไงเล่า ยังจะมีอะไรให้กลัวอีก ข้ารู้ว่าท่านต้องมาช่วยข้าเป็นแน่ ดังนั้นก็ไม่ได้กลัวอะไรมากแล้ว แต่ว่าตอนนี้พอมาย้อนคิดดูก็รู้สึกว่าน่ากลัวอยู่มากโข ท่านพี่…ข้ามิได้เป็นตัวถ่วงท่านใช่หรือไม่” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋เจียดมือมาข้างหนึ่งเพื่อลูบศีรษะนางเบาๆ ในใจนั้นอบอุ่นยิ่งนัก “ไม่แน่นอน หากว่าไม่มีเจ้า วันนี้ข้าเองคงสิ้นชีวิตตั้งแต่อยู่ในวังหลวงแล้ว” 

 

 

เฉินยางหมุนตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของเขา ใช้แขนเสื้อตนเพียรเช็ดเลือดบนใบหน้าเขา “ข้าอยากกลับบ้านแล้ว พวกเรากลับบ้านกันเถิด” 

 

 

นี่เป็นหนแรกที่นางหากจากบ้านมาไกลเพียงนี้ ช่วงหลายเดือนมานี้นางนั้นกลัดกลุ้มกังวลใจนัก ยังจะมีเรื่องที่เสี่ยวจินอวี๋ถูกลักพาตัวไปอีก ทั้งยังเสียใจจนล้มป่วยอีกช่วง ทั้งกายและใจนั้นเหนื่อยล้ายิ่ง สามารถฝืนทนมาจนถึงตอนนี้ได้ก็ลำบากนางมากแล้ว ตอนนี้ยิ่งเขามาคิดว่านางช่วงนี้ลำบากนัก ในใจก็ปวดใจยิ่งนัก แววตาเต็มไปด้วยแสงที่อ่อนโยน นึกชังนักที่มิอาจสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดในใต้หล้ามาให้นางได้ ยังคิดว่าที่มอบให้นั้นเท่าใดก็มิอาจพอ ในใจยังคงรู้สึกติดค้างนางอยู่มาก และสิ่งที่ติดค้างไว้นั้นเขาเองจะชดใช้ด้วยเวลาทั้งชาตินี้เลยเชียว หากชาตินี้ไม่พอยังคิดการณ์ต่อถึงชาติหน้าด้วย 

 

 

พวกเขาล้วนโคลงเคลงกันอยู่บนตัวม้า แต่เมื่อเปรียบเทียบกับการเสี่ยงอันตรายเมื่อสักครู่ ตอนนี้ยังนับว่าสามารถหายใจหายคอได้สะดวกนัด เฝิงเยี่ยไป๋เกรงว่าการเดินทางพร้อมกันหกเจ็ดคนงั้นจะสะดุดตาเกินไป เดินทางไปที่ใดล้วนแต่เป็นที่สังเกต หากถึงตอนนั้นก็จะไม่ง่ายที่จะเป็นอิสระ จึงเสนอขึ้นมาว่าให้แยกเส้นทางการเดินทาง โดยให้อวี่เหวินลู่ร่วมทางไปกับผู้ติดตามของเขา เฝิงเยี่ยไป๋ร่วมทางกับเฉินยาง เจี่ยชีไปกับทหารอีกนาย พอดีกับที่เดินมาถึงทางแยก พวกเขาถึงแยกกันเดินทางตั้งแต่ตรงนี้ เป้าหมายคือไปรวมตัวกันที่ไท่โจว 

 

 

เฉินยางนั้นอยู่ดีๆ ก็มีความรู้สึกหนึ่งขึ้นมา ยังรู้สึกว่าพวกเขานั้นเหมือนไม่ได้กำหนดหนีการไล่ล่าของวังหลวงเลย แต่กลับรู้สึกเหมือนนางกับเขากำลังร่วมผจญภัยสุดขอบฟ้า อาชาหนึ่งตัวกับคนสองคนร่วมทาง เบื้องหลังของนางนั้นก็คือทรวงอกที่ร้อนระอุทั้งยังแข็งแกร่ง ที่ดังออกมานั้นคือเสียงหัวใจที่เต้นแรงดั่งกลองรบ อยู่ข้างๆ หูนางนี่เอง ช่างทำให้คนสงบใจดีเหลือเกิน 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 706 จูบข้าสักที 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋นั้นแตกต่างจากนางนัก เมื่อครู่เขาสังหารผู้คนไปไม่ได้ ในใจยังมีความฮึกเหิมอยู่มากโข โลหิตในกายดั่งถูกกระตุ้นอย่างรุนแรง ขณะนี้รู้สึกร้อนรุ่มยิ่งนัก กอดนางไว้ด้วยสองแขนอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว โอบนางไว้ในอ้อมอกตนแน่นขึ้นอีก เขาค้อมศีรษะลง ลมหายใจร้อนแรง พัดเป่าอยู่เหนือศีรษะนางนี่ “คราที่อยู่ในวังหลวงเจ้าเอ่ยว่าหากมีชีวิตรอดออกมาได้ เจ้าก็จะให้กำเนิดลูกสาวให้ข้าอีกคนหนึ่ง คำพูดนี้เจ้าหมายความตามนั้นหรือไม่” 

 

 

เฉินยางเงียบอยู่นาน จนกระทั่งเฝิงเยี่ยไป๋นั้นอดทนรอไม่ไหวแล้ว มือเขานวดเบาๆ เข้าที่ท้ายทอยนาง ถามย้ำไปอีกครั้ง นางถึงได้พยักหน้าตอบด้วยใบหน้าแดงจัด “ข้าหาใช่คนไร้สัจจะไม่ เอ่ยความอันใดไปล้วนเชื่อได้แน่นอน” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋รั้งคอม้าจนหยุด หันไหล่นางให้หมุนมาทางตน นางเองมิค่อยผัดแต่งหน้าด้วยเครื่องหอมใด ดังนั้นใบหน้านางไม่ใคร่เหมือนหญิงอื่นที่มักผัดแป้งทาแก้มสีลูกท้ออยู่เสมอ ใบหน้านางนั้นสะอาดหมดจดไร้ซึ่งฝุ่นใด แต่ตอนนี้เมื่อมองดูแล้วเนื่องจากความเขินอายจึงค่อยๆ มีสีชมพูขึ้นมาเป็นริ้วๆ ทั้งสองแก้ม มันดูสวยงามมากราวกับสระน้ำของชิงหงในตอนกลางดึก มีเพียงนางเท่านั้นที่สามารถดับไฟบนร่างกายของเขาได้ กอบกู้เขาได้ 

 

 

“เมียรักของข้า” ช่างเป็นเสียงที่แหบพร่าเสียจริง ยามที่เขาเรียกนาง น้ำเสียงนั้นดั่งเจือไปด้วยเม็ดทราย ในคำพูดนั้นดั่งนำมาซึ่งกลิ่นกายที่ไม่ชัดเจน เขาก้มหน้าลงมา ใกล้นางเข้าไปทุกที 

 

 

เฉินยางทราบด้วยตนเองเลยว่าเมื่อใดเขาเรียกเยี่ยงนี้ต้องเกิดอะไรขึ้นเป็นแน่ แต่จะซาบซ่านใจอย่างไรก็ต้องดูสถานการณ์หน่อยกระมัง ตอนนี้พวกเขานั้นอยู่ระหว่างการหลบหนี เบื้องหลังยังมีทหารไล่ล่าของฮ่องเต้ติดตามอยู่ หากไม่ระมัดระวังก็อาจจะสิ้นชีวิตเอาได้ เวลาแบบนี้เขายังมีอารมณ์มาคิดเรื่องพรรค์นี้ได้ เฉินยางเอามือหนึ่งปิดปากเขาไว้ อีกมือหนึ่งของนางผลักไปที่บ่าของเขา “พวกเรารีบไปกันเถิด อีกประเดี๋ยวคนของฮ่องเต้ตามมาได้ก็จะยุ่งไปกันใหญ่” 

 

 

เขารั้งมือนางเอาไว้ ในตาลึกล้ำยิ่งนักราวกับเรื่องนี้ไม่มีอิทธิพลต่อเขาเลย “วิ่งมาตั้งไกลถึงเพียงนี้แล้ว ก็น่าจะสลัดหลุดไปตั้งนานแล้ว ฮ่องเต้หากต้องการไล่ล่า กว่าจะตามทันก็อีกไกลโข ไม่เสียเวลาเท่าใดนักหรอก” 

 

 

เรี่ยวแรงของทั้งสองคนนั้นก็ยังคงมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายเขาแข็งแกร่งเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ ขยับนิ้วเพียงไม่กี่หนก็ทำให้นางสยบได้แล้ว เมื่อครู่ตอนอยู่ในวัง บุรุษกำยำสูงเก้าฟุตเขายังล้มได้ด้วยมือข้างเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนางที่บอบบางเยี่ยงเด็กผู้หญิง เฝิงเยี่ยไป๋ที่มีอารมณ์แล้ว มือนั้นก็ไม่เรียบร้อยอีกต่อไป ใช้เชือกมัดมือนางเอาไว้เสียสองข้าง หัวเราะดั่งชายเสเพลที่หยอกล้อกับธิดาผู้มีสกุลรุนชาติ ยกปลายคางนางขึ้น ก้มหน้าลงไป “มาให้ข้าจุมพิตเสียโดยดี” 

 

 

เฉินยางไม่พอใจเขา “ท่านยังจะมาก่อกวนอีกหรือ ข้าหาได้ล้อเล่นไม่ หากอีกสักครู่มีคนมาเข้าจริง ท่านคนเดียวรับมือทหารมากมายได้รึ” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ไม่ได้สนใจนางเลย ยื้อยุดที่จะกลืนกินริมฝีปากนางเสียหนึ่งทีแล้วจึงปล่อย “ข้ารู้ลำดับความสำคัญดี จะไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นเป็นแน่” 

 

 

“ไม่ปกติเสียจริง” นางหมุนตัวกลับมา ดึงขนบนหลังม้าพลางเอ่ยพึมพำเสียงเบา “เหตุใดจึงได้…ไปเรื่อยทุกเวลาทุกสถานที่ 

 

 

“ไปเรื่อยอะไรกัน” เขาเองเดาได้แล้วว่านางจะกล่าวอันใดต่อ น่าเสียดายที่นางปฏิกิริยาตอบสนองทันใจไปเสียหน่อย ยังไม่ได้เอ่ยคำใดออกมาก็เดาทางได้เสียแล้ว รีบปิดปากเสีย 

 

 

เฉินยางกัดริมฝีปากพลางบอกว่าไม่มีอะไร ตีไปที่หลังมือเขาเสียสองที “รีบไปเถิด พวกเราจะเสียเวลาไม่ได้อีกแล้ว” 

 

 

เฝิงเยี่ยไป๋ขันที่นางไม่เข้าใจความรู้สึกเอาเสียเลย เขาจับเชือกควบคุมม้าไว้ ตีไปที่บั้นท้ายมันเสียที เสียงร้องยาวและสูงอยู่ข้างหูนี่เอง กลับมองไม่เห็นความประหวั่นพรั่นพรึงบนใบหน้าเขาแม้เพียงนิด ที่มองเห็นได้กลับเป็นสีหน้าที่พึงพอใจเสียนี่ นี่มันคือการหลบหนีที่ไหนกันเล่า นี่มันการขึ้นเขาล่องเรือเที่ยวเล่นชัดๆ คนของฮ่องเต้ตามมาดั่งสุนัขรับใช้ เมื่อตามมาถึงทางแยกแล้ว รอยเท้าอาชาล้วนปรากฏอยู่ทุกทางแยก เจอเรื่องยากเข้าให้ จึงต้องแบ่งออกเป็นสามกลุ่มในการแยกย้ายกันตามหา ก็ไม่รู้ว่าทางไหนคือเฝิงเยี่ยไป๋ หากแม้นในเวลาเค่อเดียวยังหาตัวไม่พบ คอของพวกตนก็เหมือนกับชิ้นส่วนของมันซึ่งไม่สามารถเชื่อมต่อกับร่างกายได้อย่างแน่นหนานานนับปี