Dual Cultivation บทที่ 569: ความอดทน

 

หลังจากที่ทุกคนออกไปจากหอประชุมเหลือเพียงซูหยางและหวังชูเหรินแล้ว พวกเขาก็ออกเดินทางกลับไปยังนิกายดอกบัวเพลิงเพื่อเตรียมตัวสําหรับการทดสอบความสามารถด้านยาที่จะมีขึ้นในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้า

 

“การทดสอบประเภทไหนกันที่ท่านกําลังจะทําพวกมันขึ้นมา จะเป็นอะไรที่เหมือนกับการทดสอบศิษย์ของนิกายกุสุมาลย์พันพิสัยหรือไม่” หวังชูเหรินถามเขา

 

“มิเหมือนเสียทีเดียว แม้ว่าพรสวรรค์เป็นสิ่งจําเป็นในการปรุงยา แต่สิ่งที่สําคัญกว่านั้นก็คือความทุ่มเทและความสามารถในการจดจําสิ่งต่างๆ หากปราศจากการทุ่มเท ต่อให้เจ้ามีพรสวรรค์เป็นหนึ่งในโลก เจ้าก็มิอาจที่จะสามารถปรุงยาให้ดีได้ และก็มีตํารับยานับพันที่ปรากฏอยู่ในโลกนี้

 

ทั้งยังมีจํานวนของวัตถุดิบมากกว่าตํารับยาอีกนับเป็นร้อยเท่า หากปราศจากความทรงจําที่ดีแล้ว เจ้าจะจดจําวัตถุดิบที่ต้องใช้ในยาแต่ละตัวได้อย่างไร อย่าว่าแต่กลวิธีการปรุงยาแต่ละตัวอีกในขณะที่มีเม็ดยาบางชนิดอาจจะต้องการวัตถุดิบที่คล้ายคลึงกัน แต่วิธีที่ใช้ในการปรุงเม็ดยาแต่ละประเภทนั้นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะและมีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก”

 

“ดังนั้น ข้าจึงจะทําการทดสอบความสามารถในการจดจําตํารับยาและทําการทดสอบความอดทนของพวกเขา”

 

“ทดสอบความอดทนอย่างนั้นรึ” หวังชูเหรินเลิกคิ้ว “ถึงแม้ว่าข้าพอจะนึกออกว่าการทดสอบแรกนั้นจะเป็นไปอย่างไร แต่ข้าก็มิอาจที่จะจินตนาการถึงแผนการของท่านในการทดสอบความอดทนของพวกเขาได้”

 

“นั่นเป็นเรื่องที่ง่ายดายจริงนะ”

 

ซูหยางเข้าไปในห้องยาและเริ่มปรุงยาทันที

 

สองสามนาทีให้หลัง เขาก็กลับมาข้างกายหวังชูเหรินและแสดงเม็ดยาขนาดเท่าก้อนกรวดให้กับหวังชูเหริน

 

“เป็นยาประเภทไหนกันแน่” เธอถามเขาด้วยดวงตาที่เป็นประกายด้วยความสนใจและตื่นเต้น

 

ซูหยางเพียงแค่ยิ้มและกล่าวว่า “นั่งลงแล้วหลับตา ข้าจักทําให้เจ้าได้รับรู้ประสบการณ์นี้ด้วยตัวของเจ้าเอง”

 

หวังชูเหรินหรี่ตาใส่เขาด้วยสายตาสงสัย เธอสามารถรู้สึกได้ถึงลางร้ายที่มาจากรอยยิ้มบนใบหน้าของซูหยาง แต่เธอก็สงสัยไปกับตัวเม็ดยาจนเกินกว่าจะปฏิเสธได้

 

สองสามอึดใจให้หลังเธอก็นั่งขัดสมาธิบนพื้นและหลับตาลง

 

เมื่อเห็นเช่นนี้แล้ว ซูหยางก็ใช้นิ้วบีบเม็ดยาสีม่วงที่อยู่ในมือและโปรยผงของมันลงไปบนใบหน้าของหวังชูเหริน

 

“…”

 

“…”

 

“…”

 

หลังจากที่รอไปนานหลายนาทีโดยไม่เกิดอะไรขึ้น หวังชูเหรินก็กล่าวขึ้นว่า “ทําไมถึงใช้เวลานานจัง ซูหยาง”

 

“…”

 

“…”

 

“…”

 

อย่างไรก็ตามไม่มีใครตอบเธอ

 

“ซูหยาง”

 

หวังชูเหรินลืมตาเธอขึ้นมาอย่างช้าๆ และก็เป็นในเวลานั้นเองที่เธอตระหนักว่าทําไมซูหยางจึงไม่ตอบเธอ

 

“ฉ-ฉันอยู่ที่ไหน”

 

หวังชูเหรินได้ลืมตาของเธอขึ้นและก็พบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ภายในบ้านของเธอหรือนิกายดอกบัวเพลิงอีกต่อไปในเวลานั้น

 

กลับกัน เธอได้ถูกย้ายมายังหน้าผาสูงซึ่งอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ซึ่งยอดเขานี้สูงจนกระทั่งมีเพียงเมฆหมอกรายล้อมในทุกทิศทาง

 

เธอถูกย้ายมายังสถานที่แห่งนี้ในทันทีทันใดโดยไม่ได้ตระหนักถึงอะไรเลยได้อย่างไรกัน แล้วที่แห่งนี้คือที่ไหนกัน

 

“อา… นี่ต้องเป็นภาพมายา…”

 

หวังชูเหรินส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “ท่านเกือบหลอกข้าได้แล้ว ซูหยาง ถึงแม้จะเห็นได้ชัดว่านี้เป็นภาพมายาที่เกิดขึ้นจากเม็ดยานั้น ข้าก็ต้องยอมรับว่ามันสมจริงจนไม่น่าเชื่อ ถ้าข้ามิรู้เรื่องยา ข้าก็คงถูกมันหลอกไปเรียบร้อยแล้ว”

 

หวังชูเหรินตัดสินใจที่จะนั่งรอจนกว่าผลของเม็ดยานั้นสลายไปหรือจนกว่าซูหยางจะดึงเธอออกจากภาพมายา

 

อย่างไรก็ตามหลังจากผ่านไปหลายชั่วโมง เธอก็ยังคงอยู่ในที่เดิม รายล้อมไปด้วยภูเขาและก้อนเมฆ แต่ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ หวังชูเหรินก็ยังคงเยือกเย็น ในเมื่อเธอมั่นใจว่าเธอยังคงอยู่ในภาพมายา

 

สิบชั่วโมง ยี่สิบชั่วโมง สามวัน… เจ็ดวัน…

 

ทั้งสัปดาห์ได้ผ่านพ้นไปในชั่วพริบตา แต่หวังชูเหรินก็ยังคงไม่ได้ตื่นขึ้นมาจากภาพมายานั้น

 

“ฮ่าฮ่า… ข้าเข้าใจว่าท่านพยายามจะทําอะไร ซูหยาง” รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ เมื่อเธอตระหนักว่าเกิดอะไรขึ้น

 

“ท่านกําลังพยายามที่จะทดสอบความอดทนของข้าใช่ไหม ก็ดี ข้าจักรอจนกว่าท่านพอใจ”

 

จากนั้นหวังชูเหรินก็นั่งรอที่หน้าผานั้นต่อไป อดทนรอคอยให้ “การทดสอบ” นี้จบลง

 

หนึ่งสัปดาห์ สองสัปดาห์ สามสัปดาห์

 

หวังชูเหรินได้นั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานับเดือนแล้วในตอนนี้ แต่ผลของยาก็ยังคงอยู่ และเธอก็สามารถเห็นถึงแนวเขา

 

“ข้ามิรู้ว่าข้าได้มาถึงที่นี้นานเท่าไหร่แล้ว แต่มันก็ควรเป็นเวลาหลายสัปดาห์แล้ว ท่านจะเก็บข้าไว้ที่นี่นานเท่าไหร่กัน ซูหยาง” หวังชูเหรินกล่าวด้วยเสียงอันดัง และเสียงของเธอก็ก้องกังวานไปทั่วทุกทิศ

 

เมื่อไม่ได้ยินการตอบสนอง หวังชูเหรินก็ลุกยืนขึ้นมาเป็นครั้งแรกแล้วก็ถอนหายใจ “ในเมื่อมันเป็นอย่างนี้ ข้าก็ควรจะเดินดูรอบๆ บางทีขาอาจจะสามารถออกไปจากภาพมายานี้ได้ถ้าข้าเดินทางออกไปไกลพอ”

 

ด้วยความคิดเช่นนี้ในใจ หวังชูเหรินก็ออกไปจากบริเวณหน้าผาและเริ่มออกเดินไปรอบๆเทือกเขา

 

รอบบริเวณนั้นเงียบมาก ราวกับว่าเธอเป็นสิ่งมีชีวิตเดียวในโลกนี้ อย่างไรก็ตาม นั่นก็เป็นไปตามคาดในเมื่อเธอตกอยู่ภายในภาพมายาที่สร้างขึ้นมาจากเม็ดยาสีม่วงนั้น

 

“อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าข้าจักได้ยอมรับไปแล้วถึงความสามารถของเม็ดยาในการสร้างภาพลวงตานี้ว่าช่างสมจริงเหลือเกิน แต่มันก็ยิ่งสมจริงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆตราบนานเท่าที่ข้ายังอยู่ในสถานที่แห่งนี้”

 

หวังชูเหรินทําการเดินทางไปบนเทือกเขา แต่หลังจากที่เธอได้ใช้เวลาหลายวันในภาพลวงตา เธอก็ตระหนักว่าเธอได้เดินกลับมายังที่เดิม ไม่ว่าจะเป็นทิศทางไหนหรือว่าไกลแค่ไหนที่เธอเดินไป เพราะว่าในที่สุดเธอก็จะกลับมายังหน้าผาแห่งเดิมที่มีอยู่มาตั้งแต่ต้น

 

“นี่เป็นภาพมายาจริง” หวังชูเหรินเริ่มคิดสงสัยตนเองหลังจากที่ใช้เวลาหลายสัปดาห์ในที่แห่งนั้น

 

“ข้าควรจะตระหนักถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ข้าเดินทางมาถึงในที่แห่งนี้ แต่าข้ากลับมองข้ามมันไป ทําไมจึงมีพลังวิญญาณในภาพมายาได้อย่างไรกัน เป็นไปได้หรืออย่างไรกันที่จะสร้างพลังวิญญาณขึ้นมาได้จริงๆในภาพมายานี้”

 

หวังชูเหรินเริ่มฝึกฝนเพื่อทดสอบพลังวิญญาณ และดังคาดเธอสามารถที่จะฝึกฝนได้เป็นปกติกับปราณไร้ลักษณ์ในที่แห่งนี้แม้ว่าจะอยู่ในภาพมายา ซึ่งเริ่มทําให้เธอคิดสงสัยถึงสถานที่แห่งนี้

 

“เอาล่ะ ในเมื่อข้าสามารถฝึกวิชาในที่แห่งนี้ได้ เช่นนั้นมันก็จะทําให้การรอคอยนี้ง่ายยิ่งขึ้น”

 

จากนั้นหวังชูเหรินก็กลับคืนไปยังหน้าผาที่ซึ่งมีพลังวิญญาณเข้มข้นมากที่สุด และเธอก็เริ่มฝึกฝนที่นั่น

 

หนึ่งเดือน… สองเดือน… สามเดือน…หกเดือน….หนึ่งปี…

 

ในชั่วพริบตา เวลากว่าหนึ่งปีก็ได้ผ่านพ้นไปนับตั้งแต่หวังชูเหรินถูกย้ายมายังเทือกเขานี้ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าเธอจะได้กลับคืนไปสู่ห้องของเธอที่นิกายดอกบัวเพลิงในเวลาอันใกล้นี้

 

สองปี… สามปี… ห้าปี… สิบปี…

 

หวังชูเหรินได้เพิ่มพลังการฝึกปรือของเธอขึ้นถึงสองระดับภายในเวลากว่าสองปีนี้ แต่เมื่อไม่สามารถปรุงยาใดๆมาเป็นเวลานาน เธอก็เริ่มคิดถึงกลิ่นยาและกลิ่นเหงื่อที่ได้หลั่งไหลออกมาจากร่างเธอจนชุ่มโชกเสื้อผ้าจากการปรุงยา

 

“ซูหยาง ท่านได้ทดสอบข้าจนพึงพอใจแล้วหรือไม่ ข้าเบื่อที่จะเห็นภาพฉากเดิมนี้เป็นเวลานานหลายปีแล้ว ได้โปรด ปล่อยให้ข้าออกไปจากที่แห่งนี้ได้แล้ว” หวังชูเหรินตะโกนออกไปสุดเสียงไปยังห้วงสวรรค์

 

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้มีการตอบสนองจากซูหยาง ไม่ว่าเธอจะรอคอยนานเท่าไหร่ก็ตาม

 

“ข้าเดาว่าคงไม่ง่ายในการที่จะพยายามทําตัวให้เป็นที่พึ่งใจของเซียนที่มีชีวิตอยู่เป็นเวลาหลายพันปี” เธอถอนหายใจหลังจากนั้น ถ้าเธอคิดดูให้ดีในเรื่องนี้ เธอก็ถือได้ว่าเป็นคนที่โชคดีอย่างมากที่มีเซียนอย่างเช่นซูหยางช่วยสอนสังเธอ

 

“ข้าอาจจะยังมิได้เป็นศิษย์ที่แท้จริงในสายตาของเขาในตอนนี้ แต่ข้าก็จักพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าข้าก็มีความสามารถที่จะเป็นหนึ่งในนั้น” หวังชูเหรินปรับสภาพจิตใจเพื่อที่จะรอคอยให้นานที่สุดเท่าที่เธอจะสามารถอดทนรอคอยได้

 

สิบห้าปี สามสิบปี ห้าสิบปี หนึ่งร้อยปี

 

หลังจากที่ใช้เวลาถึงหนึ่งร้อยปีในที่แห่งเดิมนั้น หวังชูเหรินก็เริ่มบ้า ในเมื่อตอนที่เธอเข้ามาในที่แห่งนี้เป็นครั้งแรกนั้น เธอเพียงอยู่ในเขตปฐพีวิญญาณ แต่หลังจากที่ใช้เวลานับร้อยปีในการฝึกฝน เธอก็ได้ก้าวเข้าไปสู่ระดับสูงสุดของเขตปฐพีวิญญาณ ห่างเพียงอีกก้าวเดียวจากการก้าวเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ

 

“ข้ารู้สึกได้… ข้าควรจะก้าวเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณในอีกไม่กี่วันข้างหน้า…”

 

สองสามวันจากการเตรียมตัวหลังจากนั้น หวังชูเหรินก็เริ่มทําการก้าวเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ

 

หลายชั่วโมงให้หลัง เธอก็สามารถรู้สึกได้ว่าจุดตันเถียนของเธอนั้นได้ขยายออกมาหลายเท่าและพลังวิญญาณของเธอนั้นก็มีความหนาแน่นและบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นกว่าเดิม

 

“ข้าทําได้ สุดท้ายข้าก็ก้าวเข้าสู่เขตอัมพรวิญญาณ”

 

หวังชูเหรินตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นขณะที่เธอลืมตาขึ้นมา

 

อย่างไรก็ตามในเวลานั้นเธอก็ตระหนักว่าเธอไม่ได้อยู่ในเทือกเขานั้นอีกต่อไป เธอสามารถเห็นได้ถึงใบหน้าหล่อเหลาของซูหยางยืนอยู่ห่างออกไปจากเธอเพียงไม่กี่เมตร

 

“ซ-ซูหยาง…” เธอพึมพัมด้วยเสียงสับสน ดูเหมือนว่าไม่อยากจะเชื่อ

 

“ขอแสดงความยินดี เจ้าได้ทําการทนอยู่ตามลําพังได้นานถึงร้อยปีโดยไม่ทําให้จิตใจเกิดการแตกสลาย” ซูหยางกล่าวกับเธอด้วยรอยยิ้ม และเขาก็กล่าวต่อไปอีกว่า “ถึงแม้ว่าเจ้าจะได้รับประสบการณ์ร้อยปีจากผลของเม็ดยา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เวลาได้ผ่านไปเพียง 10 ชั่วโมงเท่านั้นนับตั้งแต่เจ้าได้หลับตาลง”

 

“เอ๋” หวังชูเหรินจ้องมองเขาด้วยดวงตาเบิกกว้าง พูดไม่ออกจากความตกใจ