บทที่ 282
ท้องฟ้าเบื้องล่างหน้าผา
“เดี๋ยวก่อน อย่าปล่อยมือ ยิ่งคนมากก็ยิ่งอุ่นใจ!” มู่หรงพยักหน้าพร้อมทั้งพูดออกมา
ยิ่งลงมาลึกเท่าไร มู่หรงก็ยิ่งรู้สึกว่าร่างกายรู้สึกสบายมากขึ้นเท่านั้น
มันสายเกินไปที่พวกเขาจะมาเขินอายกันแล้ว
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน
มู่หรงเสวี่ยค่อยๆลืมตาขึ้น ความเจ็บปวดทั่วทั้งร่างกายทำให้เธอต้องขมวดคิ้ว หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ตอบสนอง เธอลุกขึ้นทันทีและพูดออกมา “จือหลิง…”
เธอมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นเงาของเฟิงจือหลิงเลย สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปในทันทีแล้วพยายามเก็บกดความเจ็บปวดและลุกขึ้นทันที
น่าแปลก ตอนที่เธอลงมาถึงเบื้องล่างหน้าผา มันไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณเลย เธอเงยหน้าขึ้นไปและเห็นพบว่าตัวเองเห็นท้องฟ้า นี่ไม่ใช่ปากเหว นี่มันสถานที่ผีสิงอะไรกันเนี่ย? มู่หรงเสวี่ยจำได้เพียงรางๆว่าพวกเธอยังตกลงมาก่อนที่จะสลบไป นี่มันที่แบบไหนกันเนี่ย!
ตอนนี้เธออยู่ที่แม่น้ำและไม่มีใครอยู่รอบๆเลย นี่เป็นความจริงที่แย่ที่สุดเลย เธอรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณไม่ได้เลย สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปอย่างหนัก หลังจากที่ลองอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณอยู่ดี
มู่หรงรีบหยิบยาออกมาและกินเข้าไปสองสามเม็ด ความเจ็บปวดที่ร่างกายคลายไปแล้วแต่เธอก็ยังรวบรวมพลังไม่ได้อยู่ดี
โชคดีที่ยังเข้าไปในมิติลับได้ พูดสั้นๆคือเธอควรจะหาเฟิงจือหลิงให้เจอก่อน!
“จือหลิง!” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกในระหว่างที่เดิน
“นั่นใคร?” ห่างไปไม่ไกลนักมีเสียงดังตอบกลับมา
ตอนนี้เธอหูฟาด เธอไม่ได้หูฟาด
เธอเงยหน้าขึ้นไปและเห็นว่าเป็นกองทหาร กลุ่มของทหารและรถม้าที่สวยงาม
“พระเจ้า มันเป็นปีศาจนิ”
“ฆ่ามันซะ…”
“…”
กลุ่มของทหารที่อยู่ห่างออกไปเริ่มที่จะพุ่งเข้ามา มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ผมสีม่วงของตัวเองและต้องขมวดคิ้ว ไม่ว่าจะไปที่ไหนผมนี่ก็เป็นปัญหากับเธอจริงๆเลย ถ้ามันจำเป็นเธอก็แค่ต้องแวบเข้าไปในมิติลับ
“เงียบ!” เสียงดังชัดเจนตะโกนขึ้นมา
แล้วมู่หรงก็ได้เห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาลงมาจากรถพร้อมกับแสงจันทร์ องครักษ์ที่อยู่ข้างๆรถม้าคุกเข่าลงทันที “นายท่าน!”
เมื่อเห็นชายคนนั้นลงจากรถและค่อยๆเดินมาในทิศทางของมู่หรง
“นายท่าน อันตรายนะขอรับ” องครักษ์รีบวิ่งมาล้อมรอบนายท่านไว้ทันที
“หลบไปให้พ้นทาง!” คำสั่งอย่างไม่พอใจดังออกมาจากชายคนนั้น
เหล่าทหารไม่กล้าที่จะขัดคำสั่งจึงค่อยๆล่าถอยไป อย่างไรก็ตามพวกเขาก็จ้องมาที่มู่หรงเสวี่ยพร้อมอาวุธที่อยู่ในมือและมองเธออย่างระแวดระวัง
“เจ้าเป็นใคร?” นายท่านเดินมาที่มู่หรงเสวี่ยและถามออกมา
“มู่เทียน!” มู่หรงตอบไปแบบสบายๆ
“อวดดี! เวลาที่เห็นองค์ชายสามทำไมถึงไม่คุกเข่าลง!” องครักษ์คนหนึ่งพูดออกมา
มู่หรงขมวดคิ้ว สีหน้าของเธอยังคงเย็นชาอย่างมาก ให้เธอคุกเข่างั้นเหรอ?! ฝันไปเถอะ…”
องค์ชายสามโบกมือ “ไม่เป็นไร!”
“มู่เทียนงั้นเหรอ?! ข้าคิดว่าเจ้าบาดเจ็บหนักนะ ในระยะหนึ่งร้อยไมล์นี้ไม่มีใครเลย เจ้าอยากให้ข้าไปส่งไหม?” องค์ชายสามไม่ได้สนใจสีหน้าที่เย็นชาของมู่หรงแต่กลับพูดออกมาพร้อมรอยยิ้ม ถ้าสังเกตที่สายตาของเขาดีๆ ก็จะเห็นได้ว่าองค์ชายสามมีดวงตาสีม่วง
“ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณสำหรับความมีน้ำใจ ตอนนี้ข้าขอตัวก่อน” เธอต้องไปตามหาเฟิงจือหลิง
“กล้ามากนะที่ปฏิเสธองค์ชายสาม ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่รู้ชะตาตัวเองสินะ!” องครักษ์สองคนรีบเข้ามาล้อมรอบมู่หรงเสวี่ยไว้ทันที ดูเหมือนว่าตราบใดที่องค์ชายสามออกคำสั่ง มู่หรงเสวี่ยก็จะถูกจัดการในทันที
“กระแอ่ม!” มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะไอเลือดออกมานิดหน่อย ร่างกายของเธอบาดเจ็บสาหัส น่าจะเป็นจากการที่เธอตกลงมาจากหน้าผา แต่ก็ยังโชคดีที่เธอไม่ได้รับการกระทบกระเทือน ถึงแม้เธอจะกินยาเข้าไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หายได้อย่างรวดเร็วขนาดนั้นแต่เพียงแค่ช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวด
“ถอยไป!” องค์ชายสามสั่งองครักษ์ แล้วเขาก็หันมาที่ มู่หรงเสวี่ยและพูดว่า “อย่าอวดดีหน่อยเลย ถ้าเจ้าไม่มากับข้า เจ้าก็คงไม่มีชีวิตรอดออกไปจากป่านี่แน่…” เขาไม่ได้ขู่แต่มันเป็นเรื่องจริง เพราะดวงตาสีม่วงทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก ถ้าไม่ใช่เพราะเกียรติยศของเขา เขาก็คงจะตายไปนานแล้ว
มู่หรงเสวี่ยเช็ดรอยเลือดที่มุมปากตัวเอง “ข้าอยากที่จะตามหาเพื่อน…” ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะมีเจตนาที่ดีและน้ำเสียงของเขาก็ดีขึ้นมา
“ขึ้นรถมาก่อนเถอะ ข้าจะส่งคนออกไปตามหาให้ ในที่มืดแบบนี้เจ้าหาคนเดียวไม่เจอหรอก”
เมื่อชีวิตต้องเจอเรื่องที่ลำบากก็จะมีคนเข้ามาช่วย มู่หรงเสวี่ยเป็นคนที่โชคดีจริงๆ เธอไม่ได้ปฏิเสธและพยักหน้า “ขอบคุณนะ!”
“งั้นไปกันเถอะ” องค์ชายสามยื่นมือออกไปช่วย
มู่หรงเลี่ยงเล็กน้อย เมื่อเห็นมือที่เก้ๆกังๆขององค์ชายสามที่ค้างอยู่กลางอากาศ เธอรู้สึกเขินเล็กน้อยและหัวเราะออกมา “ข้าขอโทษ ข้าแค่ไม่ค่อยชินเท่าไร…”
องค์ชายสามไม่ได้คิดมาก เขาดึงมือตัวเองกลับมาและพูดว่า “เจ้าเดินได้ไหม?”
“ไม่เป็นไร ข้าเดินเองได้”
เหล่าองครักษ์ที่อยู่ใกล้ๆเกือบที่จะโยนเธอเข้าตะรางไปแล้วและสายตาของพวกเขาที่มองเธอก็ดูเหมือนจะเปลี่ยนไปเล็กน้อย!
“ระวังด้วย!” องค์ชายสามยกม่านของรถม้าขึ้นแล้วก็ยื่นมือออกมาเพื่อดึงมู่เทียนขึ้นไปบนรถ
สีหน้าของเหล่าองครักษ์ดูไม่พอใจมากกว่าเดิมและสายตาของพวกเขาก็ดูจะดุดันมากยิ่งขึ้นไปอีก เบาะถูกปูด้วยผ้าไหมสีอ่อน เมื่อนั่งลงไปก็รู้สึกได้ว่ามันอ่อนนุ่มมากๆ!
องค์ชายสามเปิดช่องลับที่ซ่อนอยู่ข้างๆรถม้าและหยิบขวดยาออกมา “ถอดเสื้อผ้าออกสิ ข้าจะช่วยทายาให้” เขาพูดพร้อมทั้งเปิดฝาขวด
“ฮ่ะ!” มู่หรงเสวี่ยขึ้นเสียงสูงขึ้นมาทันทีและต่อมาก็รีบยกมือขึ้นมาโบกทันที “ไม่ต้อง ข้าไม่เป็นไร!”
ตลกแหละ ถึงแม้เธอจะเป็นผู้ชายเพราะแหวน แต่เธอก็ยังเป็นผู้หญิงด้วยเหมือนกัน แล้วเธอจะมาถอดเสื้อผ้าออกได้ยังไง
“ไม่ต้องห่วง นี่ไม่มียาพิษหรอก…” องค์ชายสามเองก็ตั้งใจป้ายขี้ผึ้งด้วยมือของเขาเอง
เขาเห็นว่าเสื้อผ้าของมู่เทียนฉีกขาดหลายจุดและก็มีรอยเลือดด้วย น่าจะต้องได้รับบาดเจ็บ
“ข้ารู้ว่ามันไม่มียาพิษ ข้าไม่อยากที่จะทายาจริงๆนะ! พวกนี้ก็แค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น…”
“บาดเจ็บเล็กน้อยก็ต้องรักษาอยู่ดี เป็นผู้ชายแต่ทำไมทำตัวเป็นผู้หญิงไปได้ล่ะ?” องค์ชายสามพูดอย่างไม่พอใจ
สีหน้าของมู่หรงเครียดขึ้น นี่อยากจะบอกว่าเธอไม่ใช่ผู้ชายงั้นเหรอ?!!
“ร่างกายของข้าไม่ค่อยปกติเลยไม่อยากที่จะเปิดให้ใครเห็น ยกโทษให้ข้าด้วย…” มู่หรงพูดเสียงเบา
มือขององค์ชายสามหยุดไปและสุดท้ายก็ยื่นขวดยาให้ มู่เทียน “งั้นข้าจะหันหลังแล้วเจ้าก็ทายาเองแล้วกัน! แล้วก็ถอดหน้ากากออกด้วย ไม่ร้อนหรือไงกัน?”
มู่หรงเสวี่ยแตะไปที่หน้ากากเงินเย็นๆที่อยู่บนใบหน้าและพูดออกมา “ข้ากลัวว่าจะทำให้เจ้ากลัว…” ใบหน้าของเธอมันน่ากลัวมากจนแม้แต่คนที่เคยเห็นเรื่องแปลกๆในทวีปเฟิงหยนมามากมายก็ยังรับใบหน้าที่เต็มไปด้วยอักษรรูนของเธอไม่ได้ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนที่นี่จะรับได้ อีกอย่างเธอเพิ่งจะสังเกตเห็นว่าออร่าที่นี่ค่อนข้างบางอย่างมาก
ก็เห็นอยู่ชัดๆว่านี่เป็นก้นบึ้งของหน้าผาแต่ทำไมถึงรู้สึกเหมือนเป็นโลกอื่นแบบนี้ล่ะ?! นี่เป็นภาพลวงตาหรือเปล่า?! เธอหยิกตัวเองอย่างแรง บ้าเอ๊ย! เจ็บจริงนิ!!
“ฟิ้ว” องค์ชายสามอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
หลังจากที่ได้ยินเสียงหัวเราะ มู่หรงเสวี่ยก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างงงๆแล้วก็พบว่าตัวเองเพิ่งจะทำเรื่องงี่เง่าอะไรลงไป
“ข้าไม่ใช่คนบ้องตื้นหรอกนะ ข้าไม่สนใจเรื่องหน้าตาของเจ้าหรอก! ถอดออกซะ”
มู่หรงเพียงแค่ลังเลอยู่สักพัก แล้วก็ถอดหน้ากากที่หน้าออก ผิวหน้าขาวดั่งหิมะ
ถ้าใบหน้าแบบนี้ทำให้คนกลัวได้ งั้นเขาจะเป็นคนหน้าไม่อายหรือเปล่าถ้าไม่อยากให้ใครได้เห็นใบหน้านี้?!!
ดวงตาขององค์ชายสามแวบประกายประหลาดใจและก็จางหายไปในทันที “เจ้าสวมหน้ากากกลับไปจะดีกว่านะ!”
มู่หรงนิ่งไป พร้อมจับไปที่ใบหน้าด้วยความอับอายและพูดออกมา “มันน่าเกลียดขนาดนั้นเลยเหรอ?” แต่ก่อนเธอเป็นถึงดอกไม้งามของมหาลัย แต่ตอนนี้สิ
องค์ชายสามเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ชายคนนี้เป็นอะไรกัน? เขาเนี่ยนะน่าเกลียด?!
สุดท้ายเขาก็อดไม่ได้ที่จะหยิบกระจกทองแดงออกมาจากรถม้าและส่งให้มู่หรงเสวี่ย “เจ้าดูเอาเองก็แล้วกัน!”
มู่หรงรับกระจกทองแดงมาและพูดอย่างประหลาดใจ “ข้านี่ช่างหล่อเหลาและเป็นธรรมชาติจริงๆ ฮ่าฮ่า หน้าข้าหายแล้ว!”
ช่างมหัศจรรย์จริงๆ
“ผู้ชายอะไรสนใจเรื่องรูปร่างหน้าตา เจ้าเสียสติไปแล้วหรือไง?” องค์ชายสามพูดอย่างดูถูก
“เจ้าจะไปรู้อะไร? ข้าเรียกมันว่าความหลงตัวเอง ด้วยหน้าตาอย่างเจ้า เจ้าไม่มีทางเข้าใจความภูมิใจของการมีใบหน้าที่หล่อเหลาหรอก…” มู่หรงเสวี่ยถือกระจกทองแดงและมองซ้าย มองขวา
เขาพูดเรื่องอะไรกัน?!! เขาก็เป็นชายที่หล่อเหลาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?! เขาอยากจะบ้าจริงๆ
เขาทนไม่ไหวแล้วจึงยื่นมือออกไปดึงกระจกทองแดงในมือมู่เทียนคืนมา
ตากลมโตของมู่หรงเสวี่ยกะพริบปริบๆ “มีอะไรเหรอ? เจ้าอิจฉาใบหน้าที่หล่อเหลาของข้างั้นเหรอ?!!”
แต่อยู่บ้านคนอื่นเธอก็ควรที่จะยับยั้งชั่งใจตัวเองหน่อย มู่หรงเสวี่ยเลิกทำสีหน้าทะเล้นและถามออกไป “ที่นี่ที่ไหนเหรอ?”
องค์ชายสามมองมาที่มู่เทียนราวกับเพิ่งได้ยินอะไรที่งี่เง่า เขาไม่น่าที่จะรับพวกโง่นี่ขึ้นมาเลย “…”
มู่หรงเสวี่ยที่ยังไม่ได้ยินคำตอบ อดไม่ได้ที่จะมองไปที่องค์ชายสาม หลังจากที่มองไปที่ดวงตาของเขา เธอก็อดไม่ได้ที่จะอ้าปากพูดออกมา “ข้าไม่ได้โง่นะ!” ใช่ไหม? มันก็แค่ความสงสัย
“ที่นี่คือป่าไร้ขอบเขตของดินแดนหิมะ!”
“อะไรคือดินแดนหิมะกันล่ะ?” มู่หรงเสวี่ยพลั้งปากพูดออกมาโดยไม่ทันคิด!
องค์ชายสามกำหมัดแน่นและพูดออกมาอย่างอดทน “ดินแดนหิมะไม่ใช่เรื่องบ้าบอนะ ดินแดนหิมะก็คือดินแดนไง! นี่หัวเจ้ากระทบกระเทือนหรือไง โง่หรือไง?”
นี่ยังมีคนที่ไม่รู้จักดินแดนหิมะด้วยงั้นเหรอ?! เมื่อมองเสื้อผ้าของมู่เทียนก็รู้สึกว่ามันแปลกๆ นี่ไม่ใช่ชุดของที่นี่ องค์ชายสามมองมาที่มู่หรงเสวี่ยอีกครั้ง