บทที่ 283 ข้าตกลงมาจากที่นั่นจริงๆ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 283

ข้าตกลงมาจากที่นั่นจริงๆ

“ก็ได้ หยุดพูดเรื่องไร้สาระได้แล้วและมาคุยเรื่องที่จริงจังกัน!” มู่หรงเสวี่ยพูดอย่างเคร่งขรึม

องค์ชายสามพูดไม่ออก เขาก็จริงจังอยู่?! คนที่พูดไร้สาระก็มีแต่มู่เทียนน่ะแหละ

“ป่าไร้ขอบเขตนี่ใหญ่มากแค่ไหนเหรอ? เพื่อนข้าก็อาจจะบาดเจ็บด้วยเหมือนกัน เจ้าช่วยตามหาเขาโดยเร็วที่สุดได้ไหม?” มู่หรงเสวี่ยถาม

ถ้าไม่ใช่เพราะพลังแห่งจิตวิญญาณที่หายไปอย่างอธิบายไม่ได้ เธอก็มั่นใจมากว่าตัวเองจะต้องตามหาเฟิงจือหลิงได้เร็วกว่าแน่ๆ

“ทำไมข้าต้องช่วยเจ้าตามหาด้วยล่ะ?” องค์ชายสามเปิดปากพูดออกมา

“โอ้! เมื่อกี้เจ้าบอกว่าจะช่วยข้าไม่ใช่เหรอ?” มู่หรงเสวี่ยขึ้นเสียงสูง

“เมื่อกี้ก็ส่วนเมื่อกี้ ถ้าข้าช่วยเจ้าตามหาแล้วข้าจะได้ประโยชน์อะไรล่ะ?” เหตุผลหลักก็เพราะมู่เทียนดูแปลกอย่างมาก ในฐานะองค์ชายเขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารอยู่ชั่วขณะ การได้เห็นผมสีม่วงก็ทำให้เขานึกถึงตัวเอง

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไป แน่นอนว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นของฟรี เธอมีมิติลับแต่เธอก็ไม่ได้กลัวอันตราย ก็เห็นๆอยู่ว่าพวกเธอจับมือกันกระโดดลงมา แล้วอยู่ดีๆเฟิงจือหลิงหายไปได้ยังไง? เธอกลัวเขาเองก็จะสูญเสียพลังแห่งจิตวิญญาณด้วยเหมือนกัน “เจ้าต้องการอะไร?”

องค์ชายสามมองมาที่เขาแล้วพูดออกมา “ก่อนอื่นเลยเจ้าเป็นใคร? เจ้ามาจากไหน? ทำไมผมเจ้าถึงเป็นสีม่วง?”

“มู่เทียน มาจากท้องฟ้า ส่วนเรื่องผมเป็นมาตั้งแต่เกิด ผมสีม่วงของข้ามันมีปัญหาอะไรงั้นเหรอ?! ข้ารู้สึกว่าตัวเองหล่อจะตายไป!” มู่หรงชี้ไปที่ท้องฟ้าและพูดออกมา

“สวรรค์งั้นเหรอ?! นี่เจ้าล้อข้าเล่นหรือเปล่า? ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่อยากที่จะตามหาเพื่อนแล้วมั้ง…” สีหน้าขององค์ชายสามเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม

มู่หรงกางแขนออก ดวงตากลมโตกะพริบถี่ “เจ้าก็เห็นใบหน้าที่จริงใจของข้าแล้ว มันจะเป็นเรื่องโกหกได้ยังไง?! ข้าสาบานเลยว่าตัวเองตกลงมาจากท้องฟ้าจริงๆ”

องค์ชายสามมองไปที่ใบหน้าของเขาและพูดออกมา “โอเค อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีกเลย ที่ที่เจ้าจากมามีแต่คนผมสีม่วงกันหมดเลยเหรอ?”

“คือคนที่นั่นก็มีผมทุกสีนั่นแหละ! ข้าไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องแปลกอะไรนิ” มู่หรงเสวี่ยกำลังพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีการย้อมผมแบบสมัยใหม่ “ข้าเองก็ทำให้ผมคนอื่นเปลี่ยนเป็นสีอื่นๆได้ด้วยนะ…”

“เจ้าไม่คิดว่าดวงตาข้าแปลกๆงั้นเหรอ?” ถ้ามองใกล้ๆก็จะเห็นได้ว่ามีประกายความตึงเครียดในดวงตาขององค์ชายสาม

มู่หรงเสวี่ยมองโดยรวมและหัวเราะออกมา “นี่เจ้าอยากจะบอกข้าว่าดวงตาของเจ้าสวยงั้นเหรอ?! คือข้าก็ต้องยอมรับอ่ะนะว่าดวงตาของเจ้าสวยกว่าผมของข้านิดหน่อย มันเหมือนกับอัญมณีสีม่วงเลย”

“เจ้าบอกว่ามันสวยงั้นเหรอ?” องค์ชายสามนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ

มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “ใช่ มันสวยดี”

องค์ชายสามแตะไปที่ดวงตาของตัวเองและนี่เป็นครั้งแรกที่เขายิ้มออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ รอยยิ้มที่อบอุ่นราวกับว่าจะละลายหิมะในฤดูหนาวได้เลย

“รอยยิ้มเจ้าสวยดีนะ!” มู่หรงพูดออกมาอย่างจริงใจ

องค์ชายสามรีบเก็บกดรอยยิ้มของตัวเองไว้ทันที “อย่าคิดว่าแค่เจ้าชมข้าแล้วข้าจะใจอ่อนยอมช่วยหรอกนะ!”

มู่หรงกลอกตา “หยุดรถ! ข้าอยากที่จะลงจากรถแล้ว!” เธอลุกขึ้นและเธอยอมทำเองดีกว่าต้องอ้อนวอนขอร้องคนอื่น เธอลงไปตามหาเองคงจะดีกว่า อาการบาดเจ็บของเธอก็ดีขึ้นมาแล้ว

“ถ้าเจ้าลงไปจากรถแบบนี้ คนอื่นจะคิดว่าเจ้าเป็นปีศาจนะ!” องค์ชายสามจับเขาไว้และพูดออกมา

“มันก็ดีกว่าต้องอยู่โดยไม่มีเพื่อน!” มู่หรงสะบัดมือออกและพูดออกมา

“ระวังปากของเจ้าด้วย นั่งลง ข้าสั่งให้คนออกไปตามหาแล้ว ตอนนี้กำลังรอข่าวอยู่ อีกอย่างเจ้าตัวแค่นี้ เดือนหนึ่งก็ไม่มีทางเดินทั่วป่าไร้ขอบเขตได้หรอก” องค์ชายสามพูดด้วยความดูถูก

“นี่เจ้าพูดจริงงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยหันกลับมาถาม

องค์ชายสามพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวช่วงเย็นก็น่าจะมีข่าวอะไรบ้าง รอก่อนเถอะ!”

“เจ้ากำลังพยายามจะทำอะไรกันแน่? นี่มันใจดีเหลือเกิน ข้ารู้สึกไม่สบายใจเลย…” พวกเธอไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ทำไมถึงได้ใจดีช่วยขนาดนี้ล่ะ? อีกอย่างตอนนี้เธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงด้วย ก็คงจะพูดได้ยากว่าเขาช่วยเพราะความสวย

“พยายามงั้นเหรอ?!” แน่นอนว่าองค์ชายสามเหล่ตามามองเธอด้วยความไม่พอใจ

“ข้ารู้ แต่มีอะไรให้ข้าช่วยไหมล่ะ?” มู่หรงทำหน้าทำตา

องค์ชายสามมองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า “เจ้าทำอะไรได้บ้างล่ะ?! ข้าคิดว่าจะให้ตัดฟืนก็คงจะไม่ไหวแน่ ถ้าให้เจ้าเช็ดพื้นก็คงรังแต่สร้างเรื่องเจ็บตัวเปล่าๆ ข้าจะรอจนกว่าเจ้าจะพร้อมก็แล้วกัน” แล้วเขาก็เลิกมองมาที่เธอ แต่หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านอย่างตั้งใจ

มู่หรงยิ้มเกร็งๆ ความรู้สึกที่เธอจะต้องถูพื้นมันไม่ค่อยดีเท่าไรเลยนะว่าไหม?!!

เมื่อนึกขึ้นมาได้ว่าเธอยังมีบางอย่างที่อยากจะถามเขาอีก เธอลงไปนั่งข้างๆเขา แล้วเธอก็เลิกม่านที่อยู่ข้างๆรถขึ้นเพื่อดูวิวของถนนข้างนอก อย่างไรก็ตามเพราะมันยังอยู่ในป่า สิ่งที่เธอเห็นจึงมีแต่ต้นไม้โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่านี่เป็นตอนบ่ายแล้ว!

“หยุดรถแล้วพักกันก่อนเถอะ!” องค์ชายสามพูดกับเหล่าองครักษ์ที่อยู่ด้านนอก

“ขอรับ” รถม้าค่อยๆหยุดลง องครักษ์แบ่งเป็นสองทีม ทีมหนึ่งอยู่เฝ้ายาม ส่วนอีกทีมออกไปล่าสัตว์

“เจ้ากำลังจะไปที่ไหนงั้นเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“กลับไปที่เมืองหลวง!” องค์ชายสามมองมาที่เธอแล้วพูดออกมา “ลงจากรถไปยืดเส้นยืดสายเถอะ”

มู่หรงเสวี่ยบิดขี้เกียจเพื่อยืดเส้นยืดสาย ต้องพูดเลยว่าเธอไม่ชินเลยกับการที่ไม่ได้ใช้พลังแห่งจิตวิญญาณ เธอรู้สึกเหนื่อยกับการนั่งรถม้าจริงๆ

มันดีจริงๆที่ได้สูดอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่มีมลภาวะ เธอได้กลิ่นของต้นหญ้า มู่หรงเสวี่ยเดินไปที่แม่น้ำและวักขึ้นมานิดหน่อยเพื่อล้างบาดแผลที่แขนก่อนที่จะกลับไปที่รถม้า

เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนถึงความต่อต้านอย่างแรงกล้าที่พวกองครักษ์มีให้กับเธอ ผมนี่เป็นปัญหาจริงๆเลย เธอต้องหาเวลาเพื่อที่จะย้อมให้กลับมาเป็นสีดำซะแล้ว

เหล่าองครักษ์ทำอะไรด้วยความรวดเร็วอย่างมาก ไม่นานก็ล่าหมูป่าและกระต่ายมากมายกลับมาได้แล้วและก่อกองไฟ

องค์ชายสามนั่งอยู่ที่ฝั่งหนึ่งของสนามหญ้า ยังคงนั่งอ่านหนังสืออยู่ เธอเดินเข้าไปและมองไปที่หนังสือ แต่เธอไม่สนใจหนังสือโบราณจึงรีบหันหัวกลับมาเพลิดเพลินกับดอกไม้และใบหญ้าที่ทุ่งแทน

“เจ้าอ่านหนังสือไม่ออกงั้นเหรอ?” องค์ชายสามถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา

“เจ้าพูดกับข้างั้นเหรอ?! ข้าไม่รู้วิธีอ่านตัวหนังสือพวกนี้หรอก ความรู้สมัยใหม่ดีกว่าความรู้โบราณของพวกเจ้ามาก”

“อืม! ไร้สาระ” องค์ชายสามไม่เชื่อเธอเลยสักนิด ใครจะไปเชื่อเรื่องที่คนแบบนี้พูดกัน!

ไม่เชื่องั้นเหรอ? มู่หรงเสวี่ยไม่สนใจเรื่องนี้หรอก เธอจะไปที่ดินแดนมังกรยังไงนะ? ยิ่งเธอคิดเรื่องนี้มากเท่าไร มันก็ยิ่งแปลกมากขึ้นเท่านั้น เบื้องล่างหน้าผาเห็นได้ชัดเลยว่ามีวิญญาณปีศาจอยู่มากมาย แล้วจะตกลงมาได้ยังไง? และดูเหมือนว่าที่นี่จะไม่มีวิญญาณปีศาจเลยสักนิด ขนาดแสงออร่าก็ยังหายากมากๆเลยด้วยซ้ำไป เมื่อมองไปที่องค์ชายสามและคนอื่นๆ พวกเขาดูน่าจะเป็นคนธรรมดา เป็นเพราะมีช่องมิติอยู่มากมายหรือเปล่า?! แล้วคนอื่นที่ดินแดนล่ะเป็นยังไงบ้าง? แล้วหลงหมิงและคนอื่นๆที่ลงมาพร้อมกันล่ะ?

“สีหน้าเคร่งเครียดเชียว เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่งั้นเหรอ?” สายตาขององค์ชายสามที่คอยสังเกตเธออยู่ตลอด

“เปล่าหรอก ข้าอยากที่จะถามเจ้า ที่โลกนี้มีผู้ฝึกตนบ้างหรือเปล่า?” มู่หรงเสวี่ยถาม

“อะไรคือผู้ฝึกตน?” องค์ชายสามมีสีหน้างุนงง

ไม่เป็นไร!” เธอก็คิดว่าคงไม่มีเหมือนกัน นี่เป็นปัญหาใหญ่แล้วล่ะ!

“พูดมาให้ชัดๆ!” องค์ชายสามพูดอย่างไม่พอใจ

มู่หรงเสวี่ยหัวเราะเบาๆ “เจ้าไม่เข้าใจหรอก…”

“แล้วถ้าเจ้าไม่พูดข้าจะเข้าใจได้ยังไงล่ะ?”

“คือ ผู้ฝึกตนก็คือคนที่อยากจะเป็นเซียน คือคนที่สามารถเดินทางจากสวรรค์มาที่โลกได้ เจ้าเข้าใจไหมล่ะ?”

องค์ชายสามหยิบหนังสือขึ้นมาเคาะไปที่หัวของมู่เทียน “เจ้าคิดว่าข้าโง่มากหรือไง?! ยังจะพูดเรื่องเทพเซียนอยู่อีกเหรอ? ฝันกลางวันอยู่หรือไง”

“เจ็บนะ! เจ้าไม่เข้าใจแต่เจ้าก็ต้องฟังเรื่องนี้นะ”

“อืม! มากินอะไรก่อนเถอะ” สายตาเห็นได้ชัดว่าดูรังเกียจ

มุ่หรงเสวี่ยเองก็ขี้เกียจที่จะเถียงกับเขา ถ้าเธอไม่ได้เจอกับตัว เธอก็คงจะไม่เชื่อเหมือนกัน แล้วทำไมต้องมาเถียงกับเขาด้วย? นี่มันคนละโลกกันชัดๆ

องครักษ์ตัดเนื้อย่างเป็นชิ้นๆ แล้วเอาใส่จานก่อนที่จะส่งให้องค์ชายสาม

“กินซะ” เมื่อพูดจบเขาก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก องค์ชายสามมองเนื้อที่อยู่ในมือและกินเข้าไป

มู่หรงเองก็ไม่ได้พูดอะไรและตักเนื้อกินเข้าไปทันที หลักๆก็เพราะว่าเธอหิวนั่นเอง ตอนนี้มีคนอื่นอยู่ด้วย มันจึงไม่สะดวกที่เธอจะหยิบเอาอาหารจากมิติลับออกมากิน ถึงแม้อาหารนี่จะไม่อร่อยสำหรับเธอ แต่สำหรับคนอื่นมันก็อร่อยมาก

แต่องค์ชายสามเห็นท่าทางสีหน้าของเธอ “ไม่อร่อยงั้นเหรอ?” ในน้ำเสียงที่พูดออกมามีความประชดประชันด้วย

มู่หรงเสวี่ยพูด “ไม่อร่อยแต่ข้าก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะไม่ชอบหรอกนะ…”

“ทำตัวเป็นคนหนูซะจริง” องค์ชายสามแสยะยิ้ม

คิ้วของมู่หรงเลิกขึ้น “ข้าเป็นคุณชายใหญ่ของตระกูลจริงๆนะ!

องค์ชายสามแทบจะสำลักอาหารที่กินเข้าไป! ช่างปีกกล้าขาแข็งจริงๆนะ

“ไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าลุงอย่างท่านหรอกนะ!” มู่หรงเสวี่ยพูดในขณะที่กิน

“ฟิ้ว!” องค์ชายสามที่กำลังดื่มน้ำอยู่ อดไม่ได้จนต้องพ่นออกมา ลุงงั้นเหรอ?!

แต่ไม่ว่าเขาจะจ้องเท่าไร อีกฝ่ายก็ยังกินอย่างมีความสุขโดยไม่สนใจเขาเลยสักนิด

องค์ชายสามโกรธมากจนหยิบจานที่อยู่ตรงหน้าขึ้นมา

มู่หรงถาม “เจ้าจะทำอะไร? ข้ายังกินไม่เสร็จเลยนะ”

“เจ้าตกลงมาจากท้องฟ้าหรือเป็นเทพหรืออะไรพวกนั้นไม่ใช่หรือไง?! ยังต้องกินอะไรอีกหรือไง?” แล้วเขาก็รีบกินเนื้อที่อยู่ในจานทั้งหมด

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ท่าทางเด็กๆขององค์ชายสามด้วยความเงียบและรู้สึกขี้เกียจเกินกว่าที่จะเถียงกับเขา เธอลุกขึ้นและเตรียมที่จะออกไปเดินเล่น

“เจ้าจะไปไหน?” องค์ชายสามถาม ไม่ได้ตั้งใจจะขี้เหนียว มันก็แค่เนื้อ นี่อยากจะวิ่งหนีกลับ “บ้าน” หรือไงกัน

“ไปเดินเล่น!” แล้วเธอก็เดินออกไปทางป่าโดยไม่รอคำตอบจากองค์ชายสาม

องค์ชายสามมองตามหลังมู่เทียนและไม่รู้ว่าจะคิดอะไรดี

หลังจากที่มองไม่เห็นร่างของมู่เทียนแล้ว องครักษ์มือหนึ่งที่อยู่ข้างๆองค์ชายสามก็เดินเข้ามาและคุกเข่าลงเบื้องหน้าองค์ชายสาม “นายท่าน อยากให้คนตามไปไหมขอรับ?”

องค์ชายสามโบกมือ “ไม่ต้อง เดี๋ยวเขาก็ต้องกลับมา!” วันนี้ตอนที่เขาตรวจชีพจรของเขา มู่เทียนไม่มีทักษะศิลปะการต่อสู้อะไรเลย ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นแค่คนเพี้ยนๆที่มีผมสีม่วงเท่านั้น แล้วเขาก็ชอบพูดอะไรแปลกๆแต่ก็ดูไม่มีพิษสงอะไร

“แต่นายท่าน เห็นอยู่ชัดๆว่าชายคนนี้ไม่ปกตินะขอรับทำไมไม่ฆ่าเขาซะเลยล่ะ? ทำไมยังปล่อยตัวปัญหาไว้อีก?” องครักษ์พูดขึ้นมา