บทที่ 284 ชายหนุ่มนี่เรื่องมากจริงๆ

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 284

ชายหนุ่มนี่เรื่องมากจริงๆ

“นี่เจ้าจะหมายความว่าสายตาข้าผิดพลาดงั้นเหรอ นี่เจ้าอยากจะตายใช่ไหม?” สีหน้าและน้ำเสียงขององค์ชายสามเย็นชาอย่างมาก

“นายท่าน ข้าไม่ได้หมายความยังงั้นเลยนะขอรับ” องครักษ์หมอบลงกับพื้นและร่างกายของเขาก็เกร็งและสั่นเทิ้ม ทุกคนต่างก็รู้ดีว่าสายตาสีม่วงขององค์ชายสามน่ากลัวมากแค่ไหน!

“ลุกขึ้น! ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรต่อแล้ว!” องค์ชายสามโบกมืออย่างเหนื่อยอ่อน

“ขอรับ” องครักษ์ลุกขึ้นและไม่กล้าที่จะพูดอะไรต่ออีก

มู่หรงเสวี่ยเดินออกไปไกล มองไปรอบๆอย่างระวังเมื่อเห็นว่าไม่มีใครจึงนั่งลงไขว้ขา พยายามจะรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณของร่างกายแต่ก็ไม่มีอะไรเคลื่อนไหวเลยสักอย่าง พลังแห่งจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างกายของเธอดูเหมือนจะหายไปอย่างไร้ร่องรอย

สีหน้าของมู่หรงเสวี่ยเปลี่ยนไปและใบหน้าเธอก็เริ่มที่จะเคร่งขรึม เธอจะสูญเสียพลังแห่งจิตวิญญาณไม่ได้ ไม่อย่างนั้นเธอจะตามหาพ่อแม่และช่วยหลินหนานกับคนอื่นๆได้ยังไงล่ะ

เธอพยายามอยู่หลายครั้งแต่ก็ยังไม่เกิดอะไรขึ้น มันดูเหมือนมีอะไรบ้างอย่างที่ปิดกั้นเธอไว้ เธอใช้พลังแห่งจิตวิญญาณของตัวเองไม่ได้เลยสักนิด อย่างไรก็ตาม เรื่องเดียวที่ช่วยปลอบใจเธอได้คือเธอยังมีพลังแห่งจิตวิญญาณในตันเทียนอยู่แต่เธอยังใช้มันไม่ได้

เธอลุกขึ้นและมองไปรอบๆแต่ก็ไม่เห็นสิ่งมีชีวิตที่ไหนเลย เหมือนอย่างที่องค์ชายสามพูด ด้วยพลังของเธอตอนนี้ เธอไม่มีทางออกไปจากป่าไร้ขอบเขตได้เองแน่ๆ เพียงแค่มองแวบเดียวเธอก็เห็นได้เลยว่ามันไม่มีขอบเขตเลย

มู่หรงเสวี่ยหยิบผลไม้ออกมาจากมิติลับ กัดกินและเดินกลับไป เธอรู้ได้ในทันทีว่าออร่าในผลไม้พุ่งกลับไปที่ลมปราณทันทีที่เธอกลืนมันเข้าไปโดยไม่มีร่องรอยอะไรเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เธอสงสัยว่าเสี่ยวไป๋จะรู้ไหมว่าทำไม

หลังจากนั้นสักพักมู่หรงเสวี่ยก็กลับมาถึงจุดที่รถม้าจอดอยู่ องค์ชายสามยังนั่งอยู่ที่สนาม เธอเดินเข้าไปและยื่นผลไม้ในมือให้ “ข้าเจอที่ถนน”

องค์ชายสามมองมาที่เธอ รับผลไม้มาและกำลังที่จะกัด

องครักษ์ที่อยู่ข้างๆเขาคุกเข่าลงข้างหนึ่งพร้อมทั้งหยิบเข็มเงินออกมา “นายท่าน กรุณาให้ข้าได้ทดสอบก่อนที่ท่านจะกินเถอะ!”

มู่หรงอ้าปากค้างเล็กน้อย นี่ยังคิดว่าเธอจะวางยาเขาอีกงั้นเหรอ?!!

องค์ชายสามมองมาที่เขา

มู่หรงกลอกตา “ไม่ต้องกิน เอาคืนมาให้ข้า!” ไม่เห็นความดีกันบ้างเลย!

แต่เรื่องนี้ก็เป็นอะไรที่เข้าใจได้ ถึงแม้เธอจะไม่คุ้นเคยกับเรื่องของราชวงศ์แต่มันก็คงจะไม่แย่เท่าไร

องค์ชายสามเลี่ยงมือของมู่เทียนที่อยากจะเอาผลไม้คืน และแทนที่จะรับเข็มเงินมาจากองครักษ์แต่เขากลับกัดลงไปที่ผลไม้แทน เขารู้สึกได้ถึงความหวานของผลไม้ที่อยู่ในปากและทั่วทั้งร่างกายของเขาก็รู้สึกอบอุ่นสบายขึ้นมาทันที

“นายท่าน!” สีหน้าขององครักษ์เปลี่ยนไปและร้องออกมาด้วยความตกใจ!

องค์ชายสามโบกมือ “ถอยไป!”

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้กินผลไม้ที่รสชาติอร่อยขนาดนี้ เขาหันหัวกลับไปถามมู่เทียน “เก็บผลไม้นี่มาจากไหน?”

“ในป่าข้างหน้านั่น!” หลังจากที่เงียบไปสักพัก เธอก็เหมือนกับนึกอะไรขึ้นมาได้จึงพูดต่อ “ไม่ต้องไปหาหรอก ข้าเห็นมีแค่สองลูกเองแล้วข้าก็กินไปแล้วลูกหนึ่งด้วย…”

องค์ชายสามจ้องมาที่เธอด้วยสายตาเย็นชาราวกับว่าเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามู่เทียนโกหก

ยังไงซะเธอก็ไม่ได้เสียอะไร ถ้าเขาไม่ได้สัญญาว่าจะช่วยเธอตามหาเฟิงจือหลิงนะ เธอก็คงไม่รนหาเรื่องโดยการเอาผลไม้ที่บรรจุไปด้วยออร่าให้เขาหรอก

นี่ก็เริ่มที่จะมืดแล้ว พวกองครักษ์ก่อกองไฟและนั่งล้อมรอบรถไม้ไว้ แม้แต่ยุงสักตัวก็ยังบินผ่านเข้ามาไม่ได้ มู่หรงเสวี่ยและองค์ชายสามเข้าไปนั่งอยู่ในรถม้าเรียบร้อยแล้ว โชคดีที่ที่รถม้าใหญ่พอสำหรับสองคนที่จะนอนได้ทั้งสองข้าง แน่นอนว่ามันคงไม่สบายเหมือนกับการนอนที่บ้าน เพราะถ้าพลิกตัวนิดเดียวก็อาจจะตกลงมาได้แล้ว

มู่หรงนอนไม่หลับ ความกดดันในจิตใจมันหนักหนามากกว่าความเหนื่อยล้าทางร่างกาย

“เจ้าจะไม่นอนหรือไง?” องค์ชายสามอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาหลังจากที่มู่เทียนพลิกตัวไปแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

“ขอโทษนะ ข้ารบกวนเจ้าหรือเปล่า? ข้าจะออกไปข้างนอกแล้วกัน” มู่หรงพูดอย่างขอโทษ

“ข้างนอกหนาวจะตาย เจ้าอยากจะไม่สบายหรือไง? อยู่นี่แหละ…”

“ขอบคุณนะ” มู่หรงพูดอย่างรู้สึกขอบคุณ

เมื่อพูดเรื่องนี้ เธอก็รู้สึกว่านิสัยขององค์ชายสามก็ดีกว่าตระกูลราชวงศ์อื่นๆที่เธอเคยเจอมาก ถึงแม้จะไม่ได้อ่อนโยนมากแต่อย่างน้อยเขาก็ยังช่วยเธอ

“นอนซะเถอะ แล้วก็สบายใจได้เลยว่าถ้าเพื่อนของเจ้าอยู่ในป่าไร้ขอบเขตนี่ ยังไงก็ต้องหาเขาเจอ”

ฮ่า-ฮ่า! อย่างที่คิดไว้เลย เขาเป็นเจ้าชายที่หน้าตาเย็นชาแต่หัวใจอบอุ่นอย่างมาก มู่หรงเสวี่ยหัวเราะและพูดออกมาว่า “อืม! นอนล่ะ”

ค้ำคืนที่ไร้ซึ่งความฝัน

หลังจากรุ่งสาง มู่หรงเสวี่ยนวดไปที่ไหล่เพราะที่นอนที่ไม่ค่อยสบาย

“นี่คุณชาย ข้าทนไม่ไหวแล้วนะ!” องค์ชายสามพูดอย่างประชดประชัน

การนวดไหล่ตัวเองก็ทำให้เขาไม่พอใจได้งั้นเหรอเนี่ย แต่มู่หรงเสวี่ยรู้ว่าเขาไม่ได้มีเจตนาไม่ดีอะไรจึงไม่อยากที่จะต่อปากต่อคำด้วย

“เสื้อผ้าของเจ้าสกปรกไปหมดเลย! งั้นก็เอาเสื้อผ้าข้าแล้วไปอาบน้ำที่แม่น้ำซะ” องค์ชายสามหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาจากถุงตาข่ายสีเข้มแล้วส่งให้มู่เทียน

มู่หรงถามพร้อมทั้งรีบโบกมืออย่างเร็ว “ไม่ ไม่ต้อง! ไม่เอา ข้าไม่ต้องใช้หรอก…”

ใบหน้าขององค์ชายสามเย็นชา “เร็วเข้า!”

“ไม่เอา!” เธอเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ผู้ชาย จะให้เธอไปอาบน้ำที่แม่น้ำได้ยังไงล่ะ?! ข้างนอกก็มีทหารอยู่เป็นร้อย จะให้เธอไปอาบน้ำต่อหน้าพวกเขาได้ยังไง?!!

“ไม่รังเกียจหรือไง?! ข้าไม่สนใจหรอกนะว่าเจ้าจะชอบความสกปรกหรือเปล่า แต่เจ้าจะมาสกปรกในรถม้าข้าไม่ได้! เข้าใจไหม? เร็วเข้า…” องค์ชายสามมองไปที่เขาและเอาเสื้อผ้าใส่ลงไปในมือมู่เทียน

มู่หรงเสวี่ยมองไปที่เสื้อผ้าในมืออย่างขมขื่น เธอรู้สึกไม่สบายตัวจริงๆนะแหละแต่ว่า

“ยังอีก!” องค์ชายสามพูดอย่างเย็นชา!

“ข้าไม่ชอบให้คนอื่นมองเวลาที่อาบน้ำ…” มู่หรงเสวี่ยพูด

“เจ้านี่เป็นผู้ชายที่เรื่องมากจริงๆ เจ้าเรื่องมากมากกว่าข้าอีก”

“ข้าก็ไม่ได้ทำให้ใครตายนิ!” มู่หรงพูด เรื่องมากงั้นเหรอ ก็เธอไม่ใช่ผู้ชายนี่!

องค์ชายสามนวดที่ขมับที่รู้สึกปวด เขารู้สึกว่าตัวเองรับตัวปัญหาขึ้นรถมาซะแล้ว

มู่หรงรู้สึกรำคาญสายตาเย็นชาของเขา “มองข้าแบบนี้อีกแล้วนะ!”

“ถ้าเจ้าไม่อาบน้ำงั้นก็ออกไปจากรถ! ไปเดินตามพวกองครักษ์! คิดว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหนกันเนี่ย?!”

แต่! ไม่ใช่เรื่องใหญ่เลย! “ได้เลย ได้เลย!” มู่หรงวางเสื้อผ้าลงและตรงออกจากรถไป ตอนนี้เธอจะได้มองสิ่งแวดล้อมรอบๆเส้นทางได้ เผื่อจะเจอร่างของเฟิงจือหลิงบ้าง

ในสายตาขององค์ชายสามมีความเย็นยะเยือก นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครกล้าตะโกนใส่เขาแบบนี้ ปล่อยให้เขาได้รู้ความแตกต่างระหว่างการเดินกับการนั่งรถซะบ้าง ด้วยรูปร่างเล็กบางของมู่เทียน ไม่เกินครึ่งวันก็คงจะมาร้องขอความเมตตาจากเขาแล้วล่ะ

หลังจากนั้นมู่หรงเสวี่ยก็ไม่พูดอะไรกับองค์ชายสามอีก

ตอนแรกมันก็โอเคอยู่หรอก แต่หลังจากที่เดินมานาน เท้าของเธอก็เริ่มที่จะพองและความเจ็บปวดที่ฝ่าเท้าก็ทำให้ สีหน้าของเธอเริ่มที่จะซีด

บ้าจริง! การที่ไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณนี่มันไม่สะดวกเลยจริงๆ ถ้ามีพลังอยู่อย่าว่าแต่เดินแค่ครึ่งวันเลย ต่อให้เดินทั้งเดือนเท้าของเธอก็ไม่รู้สึกอะไรเลย!

เมื่อองค์ชายสามยกผ้าม่านขึ้น เขาก็เห็นว่ามู่เทียนกำลังเดินพร้อมทั้งกัดฟันไปด้วย สีหน้าของเขาซีดเผือดและผมก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อ เขาดูทรมานอยู่นิดหน่อย เขาเอาม่านลงและคิดว่า มู่เทียนคงทนได้อีกไม่นานหรอก!

อย่างไรก็ตามสองชั่วโมงต่อมา องค์ชายสามก็ยังไม่ได้ยินเสียงอ้อนวอนขอขึ้นรถของมู่เทียน

“ตุบ!” เสียงของหนักๆหล่นลงกับพื้นเสียงดัง

รถม้าหยุดการเคลื่อนไหว!

“นายท่าน!” เสียงขององครักษ์ที่อยู่ด้านนอกดังขึ้นมา

“มีอะไร?” องค์ชายสามถาม

“เจ้าหนุ่มผมสีม่วงเป็นลมไปแล้วครับ!” องครักษ์ตอบกลับ

“อะไรนะ?”

องค์ชายสามรีบยกผ้าม่านขึ้นทันที โบกมือไล่พวกทหารและกระโดดลงมาจากรถ แน่นอนว่าเมื่อเขาเห็นก็รีบลงไปนั่งที่พื้นกับมู่เทียน

“นี่! มู่เทียน ฟื้นสิ!” เขาตบเบาๆไปที่หน้า

และเมื่ออุ้มขึ้นมาเขาก็รู้สึกได้ทันทีว่าตัวของมุ่เทียนเบากว่าที่คิดซึ่งไม่เหมือนกับผู้ชายเลยสักนิด!

“นายท่าน ให้ข้าอุ้มเองเถอะ!” องครักษ์อยากจะเข้ามารับร่างของมู่เทียนจากองค์ชายสาม

“หลบไปให้พ้นทาง!” เขากระโดดขึ้นรถม้าด้วยทักษะตัวเบาทันที!

องค์ชายสามวางมู่เทียนลงบนเบาะของรถม้า หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาและเช็ดไปที่หน้าเขาอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากที่ซีดเผือดของเขาไม่ได้ลดทอนใบหน้าที่สวยงามของเขาได้เลยแต่กลับทำให้ใบหน้าที่ไม่ชัดเจนของเขาดูอ่อนโยนมากขึ้นไปอีก ผมสีม่วงในสายตาของเขาเปล่งประกายมากขึ้นไปอีกเพราะเม็ดเหงื่อตามใบหน้า

สติของเขาร่องรอยและจังหวะหัวใจก็เต้นรัว องค์ชายสามลุกขึ้นทันทีและย้ายไปนั่งที่อีกฝั่ง เขาขมวดคิ้ว ไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย เขาอยากที่จะฆ่ามู่เทียนแต่เมื่อเขาแตะไปที่ผมสีม่วงนั่น เขาก็ทำไม่ได้

สุดท้ายเขาก็เดินออกมาจากรถม้าและพูดกับองครักษ์ “พักก่อนแล้วกัน!”

“ขอรับนายท่าน!

ไม่นานเขาก็เห็นองครักษ์ที่ถูกส่งออกไปกลับมาพร้อมกับชายคนหนึ่งในอ้อมแขน

“นายท่าน ข้าเจอชายสลบอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งของป่าไร้ขอบเขตขอรับ!” หลังจากที่องครักษ์วางชายคนนั้นลงแล้วเขาก็รายงานออกมาด้วยความเคารพให้องค์ชายสามฟัง

“เจ้าไปเจอเขาที่ไหน?” องค์ชายสามมองไปที่ชายที่สลบอยู่และเห็นว่าชายคนนี้ร่างใหญ่ แตกต่างจากมู่เทียน เขาดูกำยำมากกว่า! แต่ผมของเขาเป็นสีดำและไม่มีอะไรที่ดูแปลกเกี่ยวกับชายคนนี้เลย

“ในหุบเขาครับ!”

“งั้นก็ปล่อยเขาไป” ตอนนี้มู่เทียนยังสลบอยู่ รอให้เขาฟื้นขึ้นมาก่อนแล้วค่อยยืนยันกันอีกที!

สองชั่วโมงต่อมา มู่หรงเสวี่ยก็ค่อยลืมตาขึ้นมา ความเจ็บที่เท้าทำให้เธอลุกขึ้นมาทันที “เจ็บเหลือเกิน…”

อย่างไรก็ตาม เธอก็ยังพอมีสติและไม่ได้ลุกขึ้นยืนในทันที!

มู่หรงเสวี่ยเก็บกดความเจ็บปวดที่เท้าไว้และเดินออกมาจากรถม้า เธออยากที่จะขอบคุณองค์ชายสามแต่เมื่อเห็นร่างที่คุ้นเคยนอนอยู่ที่พื้น เธอก็รีบวิ่งไปหาทันที

“จือหลิง ฟื้นสิ!”

เธอจับชีพจรของเฟิงจือหลิงแล้วก็ถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก ชีพจรปกติ เพียงแค่อ่อนแรงนิดหน่อย มู่หรงเสวี่ยช่วยพยังเฟิงจือหลิงลุกขึ้นและอยากที่จะพาเขาไปหลบแดดที่ใต้ต้นไม้ โอเค นี่มันหนักเกินไป เธออุ้มไม่ไหวจึงเปิดปากขอความช่วยเหลือจากองค์ชายสาม “ช่วยข้าหน่อยได้ไหม?”