บทที่ 285
เจอเฟิงจือหลิงแล้ว
องค์ชายสามโบกมือไปที่องครักษ์ที่นั่งข้างๆและองครักษ์ก็เข้ามาช่วยอุ้มเฟิงจือหลิงทันที
“ช่วยพาเขาไปที่ต้นไม้ตรงนั้นที!” มู่หรงเสวี่ยพูดกับองครักษ์
องครักษ์พยักหน้าและอุ้มเฟิงจือหลิงไปที่ต้นไม้อย่างง่ายดาย มู่หรงเสวี่ยนึกถึงความสำคัญของพลังแห่งจิตวิญญาณมากขึ้นไปอีก ถ้าเธอมีพลังก็คงจะอุ้มเองได้โดยไม่ต้องให้ใครมาช่วยหรอก
มู่หรงเสวี่ยหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมา เดินไปที่แม่น้ำ เอาผ้าชุบน้ำแล้วกลับมานั่งข้างๆเฟิงจือหลิงพร้อมทั้งค่อยๆเช็ดไปที่หน้าเขาแล้วเลื่อนมาที่แขน แอบหยิบขวดยาออกมาจากมิติลับ เปิดฝาขวดและค่อยๆป้อนใส่ปากเขา โชคดีที่ยาละลายได้ในปากเลย เธอจึงไม่ต้องห่วงว่าเขาจะไม่กลืนยาเข้าไป
“เขาใช่ผู้ชายที่เจ้ากำลังตามหาหรือเปล่า?” องค์ชายสามถามหลังจากที่มองพวกเขาอยู่นาน
มู่หรงเสวี่ยเก็บขวดยาทันทีแล้วหันมาหาองค์ชายสามและพูดออกมาว่า “ใช่! ขอบคุณมากเลยนะ”
“พวกเจ้าเป็นอะไรกัน? ทำไมพวกเจ้าถึงได้บาดเจ็บไปหมดล่ะ? มีศัตรูหรือเปล่า?” องค์ชายสามถาม
“เปล่า ข้าไม่ได้พูดแบบนั้นซะหน่อย พวกเราตกลงมาจากท้องฟ้า พวกเราก็เลยบาดเจ็บ” เมื่อเทียบกับน้ำเสียล้อเล่นก่อนหน้านี้ ตอนนี้มู่หรงเสวี่ยจริงจังมากกว่าเดิมเพราะองค์ชายสามช่วยเธอตามหาเฟิงจือหลิง เป็นเพราะพวกเธอเป็นหนี้ความเมตตาของเขา
องค์ชายสามพยายามที่จะล้อเลียนมู่เทียนแต่เมื่อเห็นสายตาที่จริงจังของมู่เทียน เขาจึงปิดปากแล้วถามออกมา “นี่เจ้าพูดจริงเหรอ?” น่าขำจะตาย คนจะล่วงลงมาจากท้องฟ้าได้จริงๆงั้นเหรอ?!
มู่หรงเสวี่ยพยักหน้า “ข้าพูดจริงเสมอแหละ…”
“เจ้าเป็นปีศาจหรือเปล่า?” สีหน้าขององค์ชายสามเปลี่ยนไปและถามออกมา!
มู่หรงเสวี่ยหัวเราะ “จะเป็นไปได้ยังไงล่ะ? พวกเราก็เหมือนกับเจ้านั่นแหละ เราเป็นมนุษย์ธรรมดาที่บาดเจ็บได้เหมือนกัน”
องค์ชายสามมองมาที่เธอและรู้สึกได้ว่ารอยยิ้มของเธอสวยมากแต่เขากลับไม่ได้รู้สึกไม่ดีอะไรเลยสักนิด ขนาดผมสีม่วงของเธอก็ยังดูสวยอย่างไม่น่าเชื่อ “งั้นทำไมผมของเจ้าถึงเป็นสีม่วงล่ะ? แต่สีผมของเพื่อนเจ้ากลับแตกต่างไปไม่เหมือนกับของเจ้า ผมเขาเป็นสีดำอย่างเห็นได้ชัด…”
“ผมข้าก็เคยเป็นสีดำแต่ข้าไม่ชอบเลยสักนิด ข้าชอบสีม่วงมากกว่า”
“ใครจะชอบอะไรที่แปลกประหลาดแบบนี้ได้ยังไง? นอกจากเจ้าจะเป็นปีศาจเท่านั้นแหละ!” องค์ชายสามพึมพำเสียงเบา
“แปลกงั้นเหรอ?! สีม่วงเป็นสีของความสูงส่งและงดงามนะซึ่งก็เหมาะกับตัวตนที่เป็นนายน้อยของข้าดีออก!” มู่หรงเสวี่ยพูด และเธอก็เข้าใจได้คลุมเครือว่าที่องค์ชายสามทำดีกับพวกเธอก็อาจจะเป็นเพราะผมสีม่วงของเธอ ในระหว่างที่คุยกัน เธอสังเกตเห็นว่าองค์ชายสามดูเหมือนจะหลบตาทั้งโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ ในยุคที่ล้าหลังแบบนี้ มู่หรงเสวี่ยก็เข้าใจได้ว่าทำไม
“ฮ่า?” เฟิงจือหลิงที่นอนอยู่ที่พื้นเริ่มที่จะฟื้นขึ้นมา
“จือหลิง เป็นไงบ้าง?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างเป็นห่วง
เฟิงจือหลิงรีบลุกขึ้นทันทีและเงยหน้าขึ้นลงเพื่อมอง มู่เทียน “มู่เทียน เจ้าล่ะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?”
“ข้าไม่เป็นไร มีแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น อีกไม่นานข้าก็หาย” มู่หรงพูดพร้อมรอยยิ้มแล้วสีหน้าก็เริ่มเคร่งเครียดขึ้น “จือหลิง พลังแห่งจิตวิญญาณของเจ้ายังอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า?” เธอพูดด้วยเสียงเบาต่ำ
“พลังแห่งจิตวิญญาณงั้นเหรอ?” เฟิงจือหลิงรีบรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณทั่วทั้งร่างกายทันที สักพักสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปและก็หยุดรวบรวมพลังแห่งจิตวิญญาณ “มันเกิดอะไรขึ้น?”
มู่หรงเสวี่ยส่ายหัว “ข้าก็ไม่รู้ ข้าฟื้นมาก็ไม่มีพลังแห่งจิตวิญญาณแล้ว มันจะต้องมีเหตุผลอื่นอีกแน่ๆ เราต้องแก้เรื่องนี้ให้เร็วที่สุดไม่งั้นเราคงไม่มีทางได้ออกไปจากที่นี่แน่ๆ…”
มีเรื่องอื่นที่เขาอยากจะถามอีก เฟิงจือหลิงเห็นว่ามีหลายคนที่กำลังมองพวกเขาอยู่ เขาค่อยๆเอนไปที่ใกล้หูของมู่หรงเสวี่ยและถามออกมาว่า “พวกเขาเป็นใครเหรอ?”
“มาเถอะ ข้าจะแนะนำให้รู้จัก นี่คือองค์ชายสามและนี่ก็เพื่อนสนิทของข้าเอง เฟิงจือหลิง! เขาช่วยเจ้าไว้นะ” มู่หรงพูด
“องค์ชายสามงั้นเหรอ?! ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของท่าน” เฟิงจือหลิงพูดอย่างรู้สึกขอบคุณ
องค์ชายสามเพียงแค่พยักหน้า สีหน้าของเขาเย็นชาและเมื่อหันไปมองมู่เทียนก็ยังมีสีหน้าที่ไม่ดีเท่าไรอยู่
จู่ๆบรรยากาศก็ดูอึดอัดขึ้นมา
“องค์ชายสาม” มู่หรงเสวี่ยร้องเรียกออกมา
“เจ้าเรียกข้าว่าจิ่วหยานก็ได้!” องค์ชายสามพูดกับ มู่เทียน
“จิ่วหยานงั้นเหรอ?! คืออย่างนี้นะก่อนหน้านี้ข้ารบกวนเจ้ามานานแล้ว ตอนนี้ข้าเจอเพื่อนแล้วงั้นพวกเราขอแยกทางตรงนี้เลยแล้วกัน ยานี่สามารถถอนพิษยาพิษได้ทุกชนิด ข้าให้เจ้าถือเป็นการขอบคุณที่ช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้…” เธอหยิบขวดยาถอนพิษออกมาจากแขนตัวเองและยื่นส่งให้จิ่วหยาน
องค์ชายสามมองมาที่มู่เทียนด้วยสายตาเย็นชาและไม่ได้รับขวดยามาแต่กลับถามออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแทน “อืม อยากจะไปหลังจากที่ข้าเพิ่งช่วยไว้เลยงั้นเหรอ?”
มู่หรงพูด “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้น”
“เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“เรายังมีเรื่องที่จะต้องทำอยู่อีกและอีกอย่างถ้าเรายังตามเจ้าไปเรื่อยๆก็คงจะสร้างปัญหาให้เจ้าเปล่าๆ” มู่หรงไม่สนใจสีหน้าที่เย็นชาของเขาและก็ยังพูดออกไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
สีหน้าขององค์ชายสามอ่อนโยนลงเล็กน้อยแล้วพูดออกมา “พวกเจ้าควรที่จะมากับข้า ปัญหามันเริ่มตั้งแต่ที่ได้เจอหน้าเจ้าแล้ว อีกอย่างข้าไม่สนใจปัญหาเล็กน้อยแบบนี้หรอก แล้วที่นี่ถ้าเจ้าไม่มีตัวตน ไม่ช้าไม่นานเจ้าก็จะถูกเนรเทศออกไปแน่ๆ…”
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงอยากที่จะเก็บพวกเขาไว้ น่าจะพูดว่าเขาอยากที่จะเก็บมู่เทียนไว้มากกว่าแต่อย่างน้อยเขาก็ยังไม่อยากให้พวกเขาจากไปในตอนนี้
“แต่…” มู่หรงเสวี่ยขมวดคิ้ว เธออยากที่จะหาทางออกแต่จากสิ่งที่จิ่วหยานพูด พวกเขาคงจะต้องเจอปัญหาอีกมากมายแน่ๆ
“ไม่ต้องพูดแล้ว ขึ้นรถเถอะ” องค์ชายสามออกเดินนำขึ้นรถไปก่อน
มุ่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงมองหน้ากันและกัน และสุดท้ายก็ตัดสินใจว่าค่อยไปตัดสินใจกันอีกทีหลังจากที่ไปถึงเมืองหลวงแล้วกัน พวกเขาต่างก็ไม่คุ้นเคยกับสถานที่นี้ด้วย นี่ก็ถือเป็นโชคดีแล้วที่มีคนเข้ามาช่วยพวกเขาไว้
“รีบขึ้นมาเร็วสิ!” เสียงขององค์ชายสามดังออกมาจากรถม้า
“ไปกันเถอะ จือหลิง ขึ้นรถกันก่อนเถอะ”
เฟิงจือหลิงพยักหน้าแล้วพวกเขาก็เดินไปในทิศทางของรถม้าด้วยกัน
เหล่าองครักษ์ต่างก็จ้องมาที่คนทั้งสอง มู่หรงเสวี่ยรู้สึกได้ถึงสายตาของพวกองครักษ์ที่ไม่เป็นมิตรมากขึ้นกว่าเดิมอีก
หลังจากที่ขึ้นไปบนรถม้า จิ่วหยานก็นั่งอยู่ฝั่งหนึ่งในขณะที่เฟิงจือหลิงและมู่หรงเสวี่ยนั่งด้วยกันที่อีกฝั่ง
ตลอดทางมู่หรงเสวี่ยและเฟิงจือหลิงต่างก็คุยกันอย่างมีความสุข ในระหว่างที่จิ่วหยานก็จ้องมาที่คนทั้งสองด้วยสายตาเย็นชา
“มู่เทียน!” จิ่วหยานอดไม่ได้ที่จะเรียกออกมา
มู่หรงเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมาถาม “มีอะไรเหรอ?”
จิ่วหยานตบไปที่เบาะนั่งข้างๆเขา “มานี่ มานั่งตรงนี้…”
“ทำไมเหรอ?” เธอไม่ได้ทำอะไรไม่ดี ทำไมต้องให้เธอเปลี่ยนที่นั่งด้วยล่ะ
“มานี่ เพื่อนเจ้าเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา มานั่งนี่แล้วปล่อยให้เขาได้พักหน่อย…” จิ่วหยานพูด
“โอ้ ใช่สิ! ข้าขอโทษนะจือหลิง ข้าลืมเรื่องนี้ไปเลย พักเถอะ” เมื่อพูดจบเธอก็ลุกขึ้นและหันไปนั่งข้างๆจิ่วหยานแทนโดยที่เฟิงจือหลิงยังไม่ทันที่จะได้ห้าม!
สีหน้าของเฟิงจือหลิงเปลี่ยนไปเล็กน้อยและเขาก็มองไปที่ดวงตาของจิ่วหยานด้วยท่าทางตรวจสอบ จิ่วหยานก็เผยรอยยิ้มอย่างมีนัย
ชายทั้งสองจ้องตากันโดยที่มู่หรงไม่ได้สนใจเลยสักนิด
ถึงแม้รถม้าจะไม่ได้เล็กมากแต่ทั้งสองคนที่นั่งอยู่ฝั่งเดียวกันก็ใกล้กันมากจนจิ่วหยานได้กลิ่นหอมจางๆจากตัวของ มู่เทียนอย่างชัดเจน เสื้อผ้าของมู่เทียนฉีกขาดบางและดูเหมือนจะมีเศษดิน เศษฝุ่นที่สกปรกติดๆอยู่ด้วยแต่กลิ่นที่ร่างกายของเธอกลับหอมอย่างมาก
ตลอดทางมู่หรงเสวี่ยรู้สึกตลอดว่าเฟิงจือหลิงและ จิ่วหยานมีบางอย่างที่ผิดปกติไป พวกเขามักจะเถียงเรื่องตำแหน่งที่นั่งของเธออยู่บ่อยๆ จนสุดท้ายมู่หรงเสวี่ยก็ลงไปจากรถม้าและไปเดินกับพวกองครักษ์ เพราะแบบนี้ ท่าทางของพวกองครักษ์ที่มีต่อมู่หรงเสวี่ยจึงค่อยๆดีขึ้น อย่างน้อยก็ไม่ได้รุนแรงเหมือนในตอนแรกๆ
อาทิตย์ต่อมา พวกเขาก็เข้ามาถึงเมืองแต่ก็ยังเป็นแค่พื้นที่เขตแดนของตัวเมือง ยังต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะไปถึงเมืองหลวง
“เอานี่ไปแล้วออกไปข้างนอก…” จิ่วหยานส่งหมวกปีกให้
มู่หรงรู้ดีจึงรับมาและสวมไว้ที่หัว “ไปกันเถอะ!”
อย่างไรก็ตาม สายตาของเฟิงจือหลิงแวบประกายปวดใจออกมา เขาอยากที่จะรับเรื่องทั้งหมดนี้แทนมู่เทียน ไม่ใช่แค่เรื่องที่มีผมสีม่วง เขาอยากที่จะรับสายตาแปลกๆที่คนอื่นมอง มู่เทียนมาไว้กับตัวเอง ถึงแม้มู่เทียนจะทำเหมือนไม่สนใจไยดีตลอดแต่เขาก็ยังรู้สึกลำบาคใจแทนเขาอยู่ดี
จิ่วหยานเข้าใจความรู้สึกแบบนี้มากที่สุด ถึงแม้มันจะผ่านมาหลายปีแล้วแต่เขาก็ยังรู้สึก บาดแผลบางอย่างก็เจ็บปวดไปตลอดชีวิตไม่ยอมไปไหน
มู่หรงเสวี่ยเห็นข้าวของมากมายที่ขายอยู่ตามท้องถนนผ่านหมวกปีกที่เธอสวมอยู่ เธอเดินไปที่แผงลอยเพื่อดูตุ๊กตาด้วยความสนใจอย่างมาก เมื่อไม่มีเครื่องจักรเทคโนโลยีสมัยใหม่ ผลิตภัณฑ์ที่ทำด้วยมือเหล่านี้จึงดูประณีตและสวยงามมากขึ้น แตกต่างจากการผลิตจำนวนมากที่ดูเหมือนพวกมันถูกผลิตออกมาโดยไม่พิถีพิถัน มู่หรงเสวี่ยกอดมันไว้ด้วยความรู้สึกชอบมากๆ
“ชอบเหรอพ่อหนุ่ม?! ถ้าชอบก็ซื้อสิ ของดีเลยนะ ราคาก็ไม่แพงด้วย!” เจ้าของร้านพยายามพูดขายเรื่อยๆ
มู่หรงเสวี่ยกำลังที่จะจ่ายเงินแต่จู่ๆก็นึกขึ้นมาได้ว่าเธอไม่มีเงินของพื้นที่นี้ เธอจึงต้องวางลงด้วยท่าทางเขินๆ แต่ข้างๆกลับมีมือที่เรียวสวยยื่นธนบัตรสีเงินมาพร้อมทั้งพูดว่า “เอ้านี่ ขอซื้อทั้งหมดเลย!”
“ขอบคุณ ขอบคุณมากนะ!” เจ้าของร้านพยักหน้าและโค้งหัวให้หลายครั้ง มือก็ถือธนบัตรสีเงินไว้และหัวเราะจนกระทั่งเห็นฟันได้เลย ธนบัตรนี้มีค่าเท่ากับหนึ่งร้อยเหลียงซึ่งเพียงพอสำหรับที่จะเลี้ยงครอบครัวเล็กๆได้เลย!
มู่หรงเสวี่ยตกใจ “จิ่วหยาน อย่าเลย ทำไมถึงซื้อเยอะขนาดนี้ล่ะ…”
“จะซื้อเท่าไรก็ได้ที่เจ้าชอบเลย ข้ามีเงินเยอะแยะ…” จิ่วหยานพูด “แต่เจ้านี่ชอบของกระจุกกระจิกอย่างกับผู้หญิงเลย…” แต่พูดไปร่างกายของมู่เทียนก็ผอมมากด้วย วันก่อนที่เขาโอบเอวก็รู้สึกได้ว่าเอวเล็กและนุ่มนิ่มอย่างกับผู้หญิง ถ้าหน้าอกของเขาไม่ได้แบนราบ เขาก็คงจะคิดว่าเขาเป็นผู้หญิงแน่ๆ
“เจ้าเป็นผู้ชาย นี่เป็นศิลปะ เจ้าไม่เข้าใจหรือไง?! สายตาเจ้านี่ไม่มีรสนิยมเลยนะ…” สายตาที่แสดงถึงความขอบคุณเมื่อกี้จางหายไปแล้ว!