กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 993
“ฝ่าบาทไม่เคยเสวยอาหารสด ทว่านางกลับไม่เคยปฏิเสธ แม้แต่เลือดสดก็ดื่มกิน”
“ฝ่าบาทไม่คลั่งไคล้หลงใหลในกาม ทว่านางกลับหมกมุ่นกับเหล่าชายรูปงามเพื่อเสวยสุข และสุดท้ายก็ทุกข์ทรมานพวกเขาให้ตายทั้งเป็น”
“ฝ่าบาทไม่มีความสามารถด้านศิลปะการต่อสู้ แต่วรยุทธ์ของนางกลับเป็นยอดและไร้เทียมทาน”
“ความปรารถนาสูงสุดในชีวิตของฝ่าบาทคือการพิชิตและรวบรวมรัฐฉี ทว่านางกลับปล่อยให้รัฐฉีครอบครองพรมแดนของรัฐปิงและเข่นฆ่าผู้คน”
“ฝ่าบาททรงรักและเมตตาประชาชน แต่นางกลับเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์เพียงเพื่อต้องการวางค่ายกล ขอถามหน่อยเถอะว่าคนเช่นนี้สมควรเป็นฝ่าบาทที่แท้จริงได้อย่างไร”
ทุกคนต่างเงียบขรึมและไม่พูดอะไรอยู่นาน
มีเพียงขุนนางอาวุโสคนหนึ่งกล่าวอย่างลังเล “ความชอบของคนเราก็เปลี่ยนแปลงกันได้ เรื่องเหล่านี้ก็พิสูจน์อะไรไม่ได้”
“เช่นนั้นแล้ววรยุทธ์ล่ะ? คิดว่าวรยุทธ์จะมีขึ้นได้ภายในเวลาชั่วข้ามคืนงั้นเหรอ? นางมีวรยุทธ์ถึงระดับเจ็ด ระดับเจ็ดเชียวนะ ดินแดนวิญญาณเยือกแข็งแห่งนี้คงไม่มีใครมีวรยุทธ์ระดับเจ็ดอีกแล้วกระมัง”
เจ็ด…
ระดับเจ็ด…..
ระดับเจ็ดที่อยู่เหนือทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้
อาจกล่าวได้ว่าคือเทพเจ้าผู้ครอบครองดินแดนวิญญาณเยือกแข็ง และไม่มีคู่ต่อสู้คนใดในโลกใบนี้ได้
ฝ่าบาท…..ฝ่าบาทไม่มีทางมีวรยุทธ์ระดับสูงเช่นนี้ได้
หลินเฟยจ้องมองจักรพรรดินีด้วยความสงสัยที่อัดแน่นในใจ
“พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดนางถึงจับตัวชายหนุ่มรูปงามไป? เพราะนางกำลังฝึกซ้อมวรยุทธ์โดยใช้วิชาชั่วร้ายในการดูดกินเลือดและแก่นสารวรยุทธ์ในร่างกายของพวกเขาออกมาทั้งหมด เพื่อให้ตัวเองใช้ ฉะนั้นวรยุทธ์ของนางจึงเพิ่มระดับไปถึงระดับเจ็ดได้อย่างรวดเร็ว หากไม่ฆ่านาง ผู้ที่มีวรยุทธ์ทั้งหมดในดินแดนวิญญาณเยือกแข็งแห่งนี้จะต้องถูกนางดูดกลืนวรยุทธ์ไปจนหมดและตายลงอย่างแน่นอน”
“ท่านอ๋องเสวี่ย สิ่งที่ท่านพูดมาฟังดูน่าหวาดกลัวเกินไปหรือไม่ บนโลกนี้มีคนที่สามารถดูดกลืนเลือดเนื้อของคนอื่นได้ด้วยหรือ? เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน”
“พวกเจ้าไม่เคยได้ยินก็ไม่ได้หมายความว่ามันไม่เคยมีอยู่ หรือพวกเจ้าไปถามบรรดาขันทีของนางก็ได้ ขันทีของนางน่าจะรู้มากกว่านี้”
บรรดาขันทีที่อยู่ตรงนั้นต่างสะดุ้งตกใจจนตัวสั่น และอดไม่ได้อยากจะมุดหัวจมดินลงไป
ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอะไรก็ต้องทำผิดต่อใครคนใดคนหนึ่ง พวกเขายังไม่อยากตาย
จากนั้นบรรดาขุนนางโง่เง่าที่ยังจงรักภักดีก็ถามพวกเขา พวกเขาตกใจจนพูดไม่ออกและแสร้งเป็นลมหมดสติไป
ใต้เท้าอวี่เหวิน ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ได้กล่าวขึ้นมา “ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าสิ่งที่ท่านอ๋องเสวี่ยพูดมาเป็นความจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทได้โปรดชี้แนะ….ตุ่บ…..”
ยังไม่ทันจะพูดจบ ใต้เท้าอวี่เหวินก็ถูกจักรพรรดินีตบจนหมดลมหายใจ
จักรพรรดินีกล่าวอย่างโหดเหี้ยม “โง่เง่า เขาพูดอะไรเจ้าก็เชื่ออย่างนั้นหรือ”
“ฝ่าบาท ใต้เท้าอวี่เหวินจงรักภักดี เหตุใดฝ่าบาท…..ตุ่บ….”
ขุนนางชั้นผู้ใหญ่อีกคนได้ล้มลง
บรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่หลายคนต่างไม่พอใจในจักรพรรดินี และการสนับสนุนปกป้องสุดท้ายที่มีอยู่ก็ได้มลายหายไปอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่านางจะเป็นจักรพรรดินีตัวจริงหรือไม่ก็ไม่สำคัญแล้ว สิ่งที่สำคัญก็คือคนที่มีจิตใจโหดเหี้ยมชั่วร้ายเช่นนี้ไม่สมควรได้เป็นจักรพรรดินีอีกต่อไป
ผู้อาวุโสฉีของเผ่าเพลิงฟ้ากล่าว “รองหัวหน้า หากนางไม่ใช่จักรพรรดินี เช่นนั้นการแต่งงานในครั้งนี้ เรายกเลิกเถอะ ผู้หญิงคนนี้ชั่วร้ายและเหี้ยมโหดอย่างมาก”
ยังไม่ทันที่รองหัวหน้าเผ่าจะพูดอะไร ผู้อาวุโสคนอื่นก็พูดขึ้นมา “หากนางไม่ใช่จักรพรรดินี เราจะยังแต่งงานอะไรอีก”
ต่อให้นางเป็นจักรพรรดินี พวกเขาก็ควรไตร่ตรองให้ดีว่าจะจัดการแต่งงานครั้งนี้หรือไม่
ใช้ชีวิตมาเกือบครึ่งค่อนชีวิตยังไม่เคยเจอผู้หญิงที่น่ารังเกียจเช่นนี้มาก่อนเลย
เหวินเส่าอี๋แอบถอนหายใจ
วันนี้นางก่อเรื่องได้อย่างไร้ความปรานี ไม่ว่านางจะเป็นจักรพรรดินีหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป สิ่งสำคัญก็คือการแต่งงานนี้จะไม่มีทางเกิดขึ้นอีกต่อไปอย่างแน่นอน
เสียงของการไล่ล่าฆ่าฟันยิ่งดังขึ้นมามากขึ้น
ท่านอ๋องเสวี่ยต้องการให้หลินเฟยปฏิเสธรับคำสั่ง
หลินเฟยกล่าวอย่างเย็นชา “นอกเสียจากท่านจะนำหลักฐานที่พิสูจน์ได้ออกมา ไม่เช่นนั้น….”
“เยี่ยจิ่งหานได้ไปตามหาหลักฐานแล้ว อีกไม่นานหลักฐานก็จะปรากฏ ทว่าพวกเจ้ากลับปิดประตูเมือง ต่อให้เยี่ยจิ่งหานหาหลักฐานมาได้ก็ต้องเสียเวลาอยู่นานกว่าจะกลับมาได้ทัน และตอนนี้กองกำลังทหารทั้งสองฝั่งก็ได้เริ่มต่อสู้กัน มันไม่คุ้มค่าเสียเลย”
“ไม่มีหลักฐานก็อย่าโทษที่ข้าไม่สามารถปฏิบัติตามได้”
หลินเฟยไม่มีที่ว่างให้เจรจาต่อรองได้เลย
จักรพรรดินียืนมองสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสนุกและดมกลิ่นเลือดที่โชยเข้ามาอย่างเพลิดเพลิน
ท่านอ๋องเสวี่ยเดินกระทืบเท้าไปหากู้ชูหน่วนและคุกเข่าลง จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง “กระหม่อมคารวะฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”
ท่านอ๋องเสวี่ยคุกเข่าตะโกนลงเช่นนี้แล้ว ทำให้บรรดาทหารที่ติดตามเขามาด้วยต่างคุกเข่าลงและร้องตะโกนคารวะ
เสียงที่ดังกึกก้องอยู่ในหูของทุกคน ดังกึกก้องในสนามพิธีและแม้กระทั่งกึกก้องไปทั่วทั้งวังหลวง
อะไรนะ….
ท่านอ๋องเสวี่ยเรียกมู่หน่วนว่าฝ่าบาท?
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
บรรดาขุนนางข้าราชบริพารต่างสับสนงุนงง
คนของเผ่าเพลิงฟ้าก็ต่างสับสนงุนงง
เหวินเส่าอี๋รู้สึกประหลาดใจ
แม้แต่อสูรร้ายของกู้ชูหน่วนเองก็งุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้น
กระทิงเก้าเขากล่าวด้วยความตื่นเต้น “แม่นาง แม่นางคือจักรพรรดินีจริงหรือ? ท่านเป็นจักรพรรดินีเหตุใดถึงไม่บอกพวกข้าสักคำ ปล่อยให้พวกข้าวิ่งเข้าวังไปมาเช่นนี้ได้ตั้งนาน”
“ลูกพี่ ท่านเป็นจักรพรรดินีท่านก็ไม่บอกตั้งแต่แรก เราแค่แย่งชิงตำแหน่งจักรพรรดิกลับมาก็ได้แล้ว”
“ลูกพี่ หากท่านเป็นจักรพรรดินีละก็ เช่นนั้นต่อไปท่านก็ออกคำสั่งไม่ให้ล่าสัตว์ป่า เพื่อคืนความสงบให้พวกข้าได้แล้วสิ?”
“……”
บรรดาอสูรร้ายต่างพูดออกมาไม่หยุดหย่อน
ทำให้สมองของกู้ชูหน่วนวิงเวียนไปหมด
นี่มันอะไรกัน?
นางไม่ต้องการเป็นจักรพรรดินี
นางเพียงต้องการหาเซี่ยวอวี่เซวียน ตามหาคนที่ทำลายตระกูลมู่ลง ตามมาดวงวิญญาณที่เหลืออยู่เท่านั้น
“ฝ่าบาทยังมีพระธิดาที่หายสาบสูญไป เมื่อห้าปีก่อนพระองค์ได้แอบบอกข้าและขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์จำนวนหนึ่ง หากเกิดอะไรขึ้นกับพระองค์ให้รีบตามหาเบาะแสของลูกสาวที่หายตัวไปและมอบตำแหน่งจักรพรรดิให้กับนาง เพียงแต่ตอนนี้ข้ายังไม่รู้ว่ามู่หน่วนคือลูกสาวเพียงคนเดียวของฝ่าบาท”
ขุนนางอาวุโสกล่าวว่า “ขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นอกจากท่านแล้ว คนอื่นก็ได้ตายไปหมดแล้ว พวกข้าจะเชื่อท่านได้อย่างไร?”
“หากจะโทษก็โทษที่นางจิตใจโหดเหี้ยม ที่เข่นฆ่าขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไปทั้งหมด แต่….นางคิดว่าขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตายไปหมดแล้วอย่างนั้นหรือ?”
ท่านอ๋องเสวี่ยปรบมือและก็มีทหารจำนวนหนึ่งก็เข็นรถเข็นเข้ามา
บนรถเข็นคือชายชราคนหนึ่ง
ทุกคนต่างมองไปด้วยความตกใจ “นี่คือใต้เท้าจู ขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไม่ใช่หรือ?”
“ใช่ใต้เท้าจู ใต้เท้าจูตายไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อนแล้วไม่ใช่หรือ?”
แววตาของใต้เท้าเต็มไปด้วยความเกลียดชังที่พลุ่งพล่านและจ้องมองไปที่จักรพรรดินี และอดไม่ได้ที่จะสับนางให้เละเป็นพันชิ้น
“เมื่อสองปีก่อน ข้าพบว่านางไม่ใช่ฝ่าบาทที่แท้จริงและเตรียมที่จะส่งสารไปแจ้งให้ขุนนางผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์คนอื่นและรวมไปถึงแม่ทัพเฉินให้ทราบ คิดไม่ถึงว่านางรู้ตัวก่อนจึงได้หักขาทั้งสองข้างของข้า และทุกข์ทรมานข้าเหมือนตายทั้งเป็น สุดท้ายก็ผลักข้าเข้าไปในถ้ำสุนัขจิ้งจอก หลังจากนั้นก็ลงโทษสถานหนักและฆ่าล้างทำลายตระกูลของข้าไปหมด”
“หากไม่ใช่เพราะข้ารอดมาได้ก็คงต้องตายลงในถ้ำสุนัขจิ้งจอกไปแล้ว นางคือจักรพรรดินีตัวปลอม นางไม่ใช่ฝ่าบาทที่แท้จริง”
ทุกคนต่างมองหน้ากันและเงียบไม่พูดอะไร
เมื่อมองไปที่จักรพรรดินี จักรพรรดินียังคงแสดงท่าทางไม่สนใจใดๆ
ราวกับสิ่งที่พวกเขาพูดอยู่ไม่ใช่นาง แต่กลับเป็นเรื่องของคนอื่นที่ไม่เกี่ยวอะไรกับนาง
หลินเฟยขมวดคิ้ว “เจ้าคนเดียวไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าพระองค์ไม่ใช่ฝ่าบาทตัวจริง และไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่านางคือพระธิดาของฝ่าบาท”
“แผ่นป้ายหยกของนางเป็นของปลอม ฝ่าบาทได้หลงเหลือพระราชโองการสุดท้ายเอาไว้ นี่คือสิ่งที่ขันทีเสี่ยวสวีจื่อพูดไว้ ตอนนั้นเสี่ยวสวีจื่อหลงทางและบังเอิญบุกรุกเข้าไปยังวังใต้ดิน จากนั้นก็ได้เห็นผู้หญิงชั่วคนนี้กำลังทรมานฝ่าบาทตัวจริง และยังเห็นฝ่าบาทและแม่นางมู่หน่วนพูดคุยกัน”
“เสี่ยวสวีจื่ออยู่ที่ใด”