กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 994

“เขาหลงทางอยู่ในวังใต้ดินอยู่นานโดยไม่ได้กินดื่มอะไร และตอนที่ข้าพบเข้าก็เหลือเพียงลมหายใจสุดท้าย หลังจากที่เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ข้าฟัง เขาก็จากโลกนี้ไป”

“เช่นนั้นก็หมายความว่าไม่มีพยานหลักฐานที่เป็นคน”

“พยานอีกชิ้นกำลังจะมาถึงในไม่ช้า แม่ทัพหลิน เจ้ารีบสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าหยุดลงก่อน รอให้แผ่นหยกและพระราชโองการมาถึง หากสิ่งที่ข้าพูดไปเป็นเรื่องโกหก จะต่อสู้อีกครั้งก็ยังไม่สาย”

“ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าท่านไม่ได้ออกอุบายเพื่อยื้อเวลา”

ท่านอ๋องเสวี่ยโกรธจนกระทืบเท้า

เขาร้อนใจอย่างมาก

หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ไม่รู้ว่าทหารของรัฐปิงจะต้องถูกฆ่าตายไปอีกเท่าไร

“เหตุใดเจ้าถึงโง่เขลาเช่นนี้ เจ้าเป็นถึงแม่ทัพหลิน ขนาดฝ่าบาทมีการเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นนี้เจ้ากลับดูไม่ออก? ส่งคนมาที่นี่ รีบไปดูว่าเยี่ยจิ่งหานหาแผ่นหยกและพระราชโองการเจอหรือไม่?”

“….พระราชโองการและแผ่นหยกมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”

บรรดาทหารที่เต็มไปด้วยบาดแผลและร่างกายเต็มไปด้วยเลือดวิ่งเข้ามาอย่างโซซัดโซเซและนำแผ่นหยกและพระราชโองการออกมาปรากฏสู่สายตาของทุกคน

แผ่นหยกของรัฐปิงนั้นแตกต่างออกไปและทำจากวัสดุพิเศษ ทันทีที่นำออกมาบรรดาขุนนางข้าราชบริพารก็ต่างจำได้และรับรู้ว่าตราแผ่นหยกนั้นเป็นของจริง จากนั้นก็ต่างพากันคุกเข่าลง

“แผ่นหยก เป็นตราหยกของจริง มีเพียงแผ่นหยกที่สามารถส่องประกายแสงสีรุ้งออกมาได้”

“นำพระราชโองการมาให้ข้า”

ท่านอ๋องเสวี่ยรับพระราชโองการมาและอ่านเสียงดังฟังชัด

“พระราชกฤษฎีกาของจักรพรรดิว่าด้วยการสืบทอดราชบัลลังก์ ข้ามีลูกสาวหนึ่งคนถูกทิ้งไว้ในตระกูลมู่ ชื่อว่ามู่หน่วน เป็นผู้มีคุณธรรมที่ยอดเยี่ยมและอยู่ในใจของข้า บัดนี้ข้าขอมอบตำแหน่งจักรพรรดินีให้กับมู่หน่วน เหล่าขุนนางข้าราชบริพารทั้งหลายจำเป็นต้องให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่และห้ามขัดขืนโดยเด็ดขาด”

พระราชโองการสืบทอดราชบัลลังก์มีความเรียบง่าย ไม่ได้เขียนอะไรมากมายและเข้าใจได้อย่างชัดเจนว่าได้มอบตำแหน่งจักรพรรดินีให้กับมู่หน่วน

ท่านอ๋องเสวี่ยได้ส่งพระราชโองการนี้ให้กับขุนนางตรวจสอบทีละคน

บรรดาขุนนางต่างเบิกตากว้างและกล่าวขึ้นมา “เป็นลายพระหัตถ์ของฝ่าบาท เป็นลายพระหัตถ์ของฝ่าบาทไม่ผิดจริงๆ ด้วย และตราหยกก็เป็นของจริง”

“หรือว่านางจะเป็นลูกสาวของฝ่าบาทจริง นางคือทายาทผู้ขึ้นครองราชบัลลังก์ของรัฐปิง?”

“หรือว่าฝ่าบาทตอนนี้คือฝ่าบาทตัวปลอม?”

ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองจักรพรรดินี

จักรพรรดินีเห็นดังนั้นจึงรีบหัวเราะออกมา “พวกเจ้าช่างโง่เขลา ถึงตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่าข้าเป็นตัวปลอม ฮ่าๆๆ…..”

อะไรนะ……

นางเป็นตัวปลอมจริงๆ?

เช่นนั้นพวกเขาจงรักภักดีผิดคนอย่างนั้นหรือ?

สีหน้าของหลินเฟยเปลี่ยนไป จากนั้นก็รีบสั่งการให้กองกำลังของเขาหยุดการต่อสู้ลง และโบกมือสั่งให้คนพากันเข้ามาปิดล้อมจักรพรรดินีตัวปลอม

“เจ้าช่างกล้านัก เจ้ากล้าที่จะปลอมตัวเป็นฝ่าบาท”

“ปลอมตัวก็ปลอมตัวไปแล้ว จักรพรรดินีข้าก็เป็นจนเบื่อแล้ว หากพวกเจ้าอยากได้ เช่นนั้นข้าก็จะคืนให้ แต่ข้ายังต้องแต่งงานกับเหวินเส่าอี๋”

ผู้อาวุโสฉีลุกขึ้นด้วยความโกรธ “ฝันไปเสียเถอะ เจ้าไม่คู่ควรที่จะได้แต่งงานกับหัวหน้าเผ่าของพวกข้า”

“ถ้าเป็นเมื่อก่อนข้าอาจจะกลัวเผ่าเพลิงฟ้าของพวกเจ้า ทว่าตอนนี้ฐานทัพใหญ่ของเผ่าเพลิงฟ้าก็ถูกทำลายลงแล้ว ส่วนที่เหลืออยู่ก็ไม่มีใครมีวรยุทธ์ระดับเจ็ดสักคน เช่นนั้นข้าจะกลัวพวกเจ้าเพื่ออะไร?”

“รองหัวหน้าเผ่า ผู้หญิงคนนี้ทำเกินไปแล้ว เราจะปล่อยนางไปเช่นนี้ไม่ได้”

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเผ่าเพลิงฟ้า ในเมื่อนางไม่ใช่จักรพรรดินี เช่นนั้นเราก็ไม่ต้องแต่งงานกับนาง”

“เช่นนั้นเราไม่ต้องช่วยพวกเขาหรอกหรือ?” หากไม่ช่วยล่ะก็ ลำพังพวกเขาเหล่านี้คงไม่มีทางจัดการกับผู้หญิงชั่วร้ายคนนี้ได้แน่

รองหัวหน้าเผ่าส่ายหน้า

บรรพบุรุษมีคำสั่งว่าห้ามเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องของราชวงศ์

ผู้หญิงคนนี้มีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง พวกเขาเองก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง

ความสงบของเหวินเส่าอี๋ก็ได้มีก้อนหินขนาดใหญ่เข้ามากดทับ

จักรพรรดินีสวรรคตแล้ว นางเป็นลูกสาวของจักรพรรดินี และเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งจักรพรรดินี….

งั้น…..

คนที่เขาจะต้องแต่งงานด้วยก็คือมู่หน่วน?

เหวินเส่าอี๋คิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เขาจะต้องแต่งงานด้วยจะเป็นมู่หน่วน คนที่เขาทั้งรักทั้งแค้น และในขณะที่กู้ชูหน่วนกำลังคิดว่าเหตุใดถึงไม่เจอเยี่ยจิ่งหานและอาม่อ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องตะโกนกึกก้อง

“กระหม่อมคารวะฝ่าบาท ขอฝ่าบาทจงทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน”

เสียงที่ดังอึกทึกแทบทำให้กู้ชูหน่วนกระโดดขึ้นด้วยความตกใจ

นางยังไม่ทำอะไร เหตุใดถึงได้กลายเป็นจักรพรรดินีไปแล้ว?

“พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าไม่ใช่ลูกสาวของจักรพรรดินีเสียหน่อย”

“ฝ่าบาทอย่าได้ปฏิเสธเลย ฝ่าบาทคือผู้นำของรัฐปิงของเราพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อฮวาอิ่งเห็นทุกคนต่างยอมจำนนต่อกู้ชูหน่วนก็โกรธขึ้นมาและฟาดฝ่ามือลงโดยตั้งใจจะทำลายทุกคนด้วยฝ่ามือของนาง

เหวินเส่าอี๋สะบัดข้อมือเบาๆ และจากนั้นก็ดีดฉินขัดขวางแรงจากฝ่ามือของนาง

กู้ชูหน่วนตกตะลึงและกระโดดขึ้นบนอากาศเพื่อเหวี่ยงตาข่ายขนาดใหญ่ในทันที ปกป้องทุกคนที่อยู่ใต้ตาข่าย

เพียงแต่ผู้คนจำนวนมาก และแม้ว่าตาข่ายของนางจะมีขนาดใหญ่ก็ไม่สามารถปกคลุมพวกเขาทุกคนได้

ท่ามกลางตาข่ายขนาดใหญ่ มีคนจำนวนไม่น้อยได้หมดลมหายใจและตายในที่สุด

ตาข่ายขนาดยักษ์เองก็ไม่สามารถรองรับการเคลื่อนไหวภายในได้ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างบาดเจ็บ

แม้แต่สีหน้าของกู้ชูหน่วนก็ซีดเผือด

หลินเฟยและคนอื่นๆ ร้องอุทาน “ฝ่าบาท”

“ฝ่าบาทอะไรของเจ้า ข้าบอกแล้วไงว่าข้าไม่ใช่คนที่พวกเจ้าตามหา”

“ปกป้องฝ่าบาท”

“เรื่องของเราค่อยคุยกันวันหลัง หากพวกเจ้าเชื่อฟังข้าตอนนี้ เช่นนั้นก็แยกย้ายกันออกไป แยกย้ายกันไปให้หมด”

ทหารองครักษ์ต่างมองไปที่หลินเฟยและท่านอ๋องเสวี่ย

ศัตรูอยู่ตรงหน้า พวกเขาจะกล้าทิ้งฝ่าบาทไปได้อย่างไร

“ที่นี่ให้เป็นหน้าที่ของข้า หลินเฟย เจ้าคอยปกป้องคุ้มครองฝ่าบาทออกไปจากที่นี่ก่อน”

ฮวาอิ่งเล่นผมของตัวเองและหัวเราะชอบใจ “หากข้าไม่ต้องการให้พวกเจ้าออกไป ใครก็ออกไปจากที่นี่ไม่ได้ เลิกหวังว่าจะปกป้องนางออกไปจากที่นี่เสียเถอะ”

“อสูรร้ายทั้งหลาย จัดรูปแบบค่ายกล”

หลังจากเสียงตะโกนของกู้ชูหน่วน อสูรร้ายที่นางพามาก็ต่างตั้งแถวจัดค่ายกลเป็นกระบวยขนาดใหญ่

แม้ว่าความสามารถของอสูรร้ายจะไม่สูงมากนัก โดยมีวรยุทธ์ประมาณระดับสาม แต่กลับมีความหลากหลายสายพันธุ์

หลังจากที่สร้างค่ายกล หากมองด้วยตาเปล่าก็แทบไม่เห็นความแตกต่างอะไร

กู้ชูหน่วนตะโกน “ไป เร็วเข้า”

ท่านอ๋องเสวี่ยและหลินเฟยต่างรู้ว่าวรยุทธ์ของผู้หญิงชั่วคนนี้นั้นแข็งแกร่งอย่างมาก พวกเขาจึงปล่อยให้คนอื่นหนีไปอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้าก็ไปกันเถอะ”

“ฝ่าบาทอยู่ที่นี่ เราไม่มีทางไปไหนพ่ะย่ะค่ะ”

“บอกให้พวกเจ้าไปก็ไปสิ มัวพูดอะไรมากมาย”

“ฝ่าบาท”

ฮวาอิ่งหัวเราะและยื่นมือขึ้นมาวาดสัญลักษณ์กลางอากาศอย่างคล่องแคล่ว

นางมีวรยุทธ์ระดับเจ็ด ไม่ว่าเป็นค่ายกลแบบไหนก็ถูกนางทำลายลงได้อย่างรวดเร็ว

ทว่านางกลับทำอะไรค่ายกลกระบวยยักษ์ไม่ได้

เสียงหัวเราะของฮวาอิ่งเงียบลง

และดูเหมือนมีอะไรผิดปกติ

ไม่นานนางก็เริ่มวาดสัญลักษณ์ขึ้นมา ราวกับขีดเขียนอะไรมั่วๆ

และการวาดครั้งนี้ก็ทำอะไรค่ายกลกระบวยยักษ์ไม่ได้

มีวรยุทธ์ถึงระดับเจ็ด ทว่านางกลับทำอะไรค่ายกลนี้ไม่ได้

ฮวาอิ่งรู้สึกโกรธ แต่ไม่นานก็กลับเป็นปกติ

“อ้อใช่ ข้าลืมไปเลยว่าเจ้ามีความเชี่ยวชาญด้านค่ายกล ทว่าต่อให้ค่ายกลของเจ้าแข็งแกร่งมากเพียงใดก็ไม่สามารถทำอะไรได้ คอยดูว่าข้าจะทำลายค่ายกลนี้ของเจ้าอย่างไร”

กระทิงเก้าเขากล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ฮึ วรยุทธ์ระดับเจ็ดก็แค่นี้ แค่ค่ายกลกระบวยยักษ์ก็ทำลายไม่สำเร็จ ยังจะปากดีอยู่อีก”

แม้จะพูดไปเช่นนั้น ทว่ากระทิงเก้าเขาและอสูรร้ายต่างก็รู้ดีว่าพวกเขาแทบทนไม่ไหวแล้ว

วรยุทธ์ระดับเจ็ดน่าสะพรึงกลัวกว่าที่พวกเขาคาดคิดเสียอีก

สัญลักษณ์ที่นางวาดขึ้นอาจวาดขึ้นมาด้วยความไม่ตั้งใจ

วาดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจก็ทำให้พวกเขาแทบทนไม่ได้แล้ว โชคดีที่ยังมีค่ายกลของกู้ชูกน่วนคอยสนับสนุน

หากนางใช้แรงทั้งหมดที่มีเพื่อทำลายค่ายกล บรรดาอสูรร้ายอย่างพวกเขาคงไม่ต้องตายลงที่นี่หรือ

กู้ชูหน่วนมองไปยังเหวินเส่าอี๋และกัดฟันกล่าว “เสี่ยวหูเตี๋ย เจ้าควรลงมือได้แล้ว”

มุมปากของเหวินเส่าอี๋ยกขึ้นเล็กน้อย

ครั้งก่อนนางเกือบทำให้เขาต้องตาย

ครั้งนี้คิดจะหลอกใช้เขาอีกหรือ?

หลอกใช้จนสนุกได้ใจไปแล้วหรือไง?